พ่อครัวหลักเห็นหนิงมู่ฉือยืนยันที่จะทำบะหมี่อายุยืน คิดในใจว่าหญิงสาวมีฝีมือการทำอาหารสูงส่ง ต่อให้ทำบะหมี่ธรรมดาหนึ่งถ้วยก็น่าจะเป็บะหมี่ที่แตกต่างจากทั่วไป และต้องมีรสชาติที่อร่อยล้ำอย่างแน่นอน จึงไม่เอ่ยห้ามอีก
หนิงมู่ฉือกำลังคิดว่าจะทำบะหมี่อายุยืนอย่างไรให้แตกต่างจากทั่วไป บะหมี่อายุยืนเป็อาหารหลักที่ทานกันในวันคล้ายวันเกิดและเป็อาหารที่ต้องทาน ทว่าในวังหลวง นางต้องทำให้แตกต่างจากบะหมี่อายุยืนที่ทำทานกันทั่วไปถึงจะดึงดูดความสนใจจากคนในวังได้ มิเช่นนั้นต่อให้รสชาติจะอร่อยสักเพียงใด แต่หน้าตาไม่แตกต่างจากบะหมี่ทั่วไปก็จะไม่มีใครทาน หากเป็เช่นนั้นจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ
วันเกิดเป็วันที่เด็กเกิดมา และเป็วันที่มารดาที่อุ้มท้องมาสิบเดือนต้องได้รับความลำบาก เช่นนั้นวันคล้ายวันเกิดจึงไม่ใช่วันที่ผู้คนเฉลิมฉลองที่มีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีเท่านั้น แต่เป็วันที่ทุกคนต้องนึกถึงมารดา นึกถึงความยากลำบากและความยิ่งใหญ่ของมารดา
คิดได้ดังนั้นนางจึงตัดสินใจว่า บะหมี่ที่นางจะทำถ้วยนี้จะต้องเป็บะหมี่ที่ทำให้นึกถึงพระคุณของมารดา
ขั้นตอนแรกในการทำบะหมี่อายุยืนคือนวดแป้ง ซึ่งเป็ขั้นตอนสำคัญ หากอยากทำบะหมี่อายุยืนให้ดี สิ่งที่สำคัญคือคุณภาพของแป้งและอีกอย่างก็คือน้ำแกง
หากนางทำคนเดียวต้องยุ่งมากแน่ นาง้าผู้ช่วย แม้การทำแป้งจะมีวิธีทำง่ายๆ แต่การผสมแป้งให้ดีไม่ได้ทำได้โดยง่าย
“พ่อครัวหลัก ไม่ทราบว่าในห้องครัวมีน้ำแกงกระดูกหมูหรือไม่” หากไม่มีคงแย่แน่ เพราะการต้มกระดูกหมูมันต้องใช้เวลา หากเวลาไม่นานพอรสชาติที่แท้จริงของกระดูกหมูก็จะไม่ออกมา ทั้งบะหมี่ยังต้องทำให้เสร็จภายในเย็นนี้ น่ากลัวว่าเวลาอาจจะไม่พอ
“แม่นางหนิง ที่นี่มีน้ำแกงกระดูกหมู เมื่อตอนกลางวันห้องครัวทำน้ำแกงกระดูกหมูตุ๋นถังเช่าและดอกไม้จีน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่เท่านั้น”
ดีที่ไม่ใช่ของเหลือจากเมื่อวาน เพียงแต่เป็น้ำตุ๋นกระดูกหมูจากเมื่อตอนเที่ยง เวลายังไม่นานพอ แต่ก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่ถ้าเป็น้ำตุ๋นกระดูกหมูจากเมื่อวาน รสชาติส่วนใหญ่จะถูกทำลายไปหมดแล้ว จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้
“ใช้ได้ นำมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” ไม่รู้ว่าน้ำแกงจะมีลักษณะอย่างไร นางต้องเห็นก่อนถึงจะลงมือทำได้
ขันทีพ่อครัวอายุน้อยผู้หนึ่งยกหม้อน้ำแกงกระดูกหมูมาให้นางดู น้ำแกงเริ่มขุ่น ไม่ใสเหมือนเช่นตอนแรก และสีของน้ำแกงก็เริ่มกลายเป็สีขาวขุ่น ้าสุดยังมีคราบสีเหลืองของไขมัน
นางขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ยังใช้ไม่ได้ น้ำแกงกระดูกหมูยังเคี่ยวไม่ได้ที่ ถ้าเป็น้ำแกงที่เคี่ยวได้ที่ ต่อให้เย็นก็จะยังใส นำไปเคี่ยวต่ออีกสองชั่วยาม แล้วก็จำเอาไว้ว่าไฟต้องแรง น้ำแกงกระดูกหมูถึงจะได้ที่”
“ได้ขอรับแม่นางหนิง” ขันทีพ่อครัวอายุน้อยผู้นั้นรีบยกหม้อออกไปทำตามที่สั่ง
ตอนนี้เมื่อไม่ต้องเป็ห่วงเื่น้ำแกงแล้ว เช่นนั้นก็มาตั้งใจทำส่วนของแป้งให้ดี พ่อครัวหลักแอบมองอยู่ด้านข้างไม่ไกล ซึ่งนางเองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ ถึงอย่างไรอยู่ในนี้ก็ไม่มีเื่ใดที่จะสามารถปิดบังอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว หากอีกฝ่ายดูแล้วสามารถทำได้ นางก็จะได้ไม่ต้องสอนอีก
สิ่งที่นางทำอย่างแรกไม่ใช่การนวดแป้ง แต่เป็การหยิบปวยเล้งออกมา พ่อครัวหลักที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกสงสัยยิ่งนัก ต่อให้บะหมี่ใส่ปวยเล้งก็ไม่น่าต้องใช้เยอะถึงเพียงนั้น
แต่สิ่งที่หนิงมู่ฉือทำต่อมาทำให้พ่อครัวหลักถึงกับต้องตาโตยืนนิ่งอย่างโง่งม นางนำปวยเล้งไปตำในครกจนมีน้ำสีเขียวออกมา ซึ่งน้ำสีเขียวนี่แหละคือสิ่งที่นาง้า
ครั้นพ่อครัวหลักเห็นเยี่ยงนั้นก็รู้ทันทีว่าหญิงสาว้าทำสิ่งใด เพียงแต่มันเป็วิธีที่เขาคาดไม่ถึงเท่านั้นเอง การนวดแป้งต้องใช้น้ำเปล่า แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้น้ำของผักแทนเล่า ไม่เพียงเป็วิธีใหม่ แต่ยังทำให้แป้งมีรสชาติของผักชนิดนั้นอยู่อีกด้วย จึงไม่ต้องพูดถึงรสชาติเมื่อทำเสร็จเลย
ตำอยู่นาน ไม่ง่ายเลยกว่าปวยเล้งจะแหลกละเอียด เท่านี้ยังไม่พอ นางนำหูหลัวปอ[1] มาหั่นเป็ชิ้นใส่ในครก เติมน้ำเล็กน้อยก่อนจะตำจนได้น้ำสีส้มออกมา ต่อไปคือมะเขือเทศและจื่อเป้ยเทียนขุย[2] นางก็ตำจนได้น้ำสีแดงกับสีม่วงออกมาเช่นกัน
ในครกเต็มไปด้วยผักที่ถูกบดละเอียดจนกลายเป็น้ำ มันออกจะเละเทะจนไม่น่ามองไปสักหน่อย
นางไม่ใช่คนหยิบโหย่งและด้วยความที่นางเป็แม่ครัว จึงไม่รังเกียจของเหล่านี้ นางขมวดแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมทำขั้นตอนต่อไป
“พ่อครัวหลัก ช่วยข้าหาที่กรองได้หรือไม่ ข้า้าจะกรองเอาแต่น้ำ” นางยังไม่คุ้นกับของต่างๆ ในห้องเครื่อง รู้แค่ว่ามีดวางอยู่ตรงไหนแค่นั้น ปกติเวลานางทำอาหาร ที่นี่จะมีคนเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม นางไม่ต้องหาเอง นางจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดอยู่ตรงไหนบ้าง
ที่กรองที่พ่อครัวหลักหามาเป็ผ้าผืนบางสีขาวบริสุทธิ์ บางจนเห็นลายผ้าซึ่งเป็ลายถี่ๆ ได้อย่างชัดเจน เป็ผ้าสำหรับใช้กรองของเหลวโดยเฉพาะ ห้องเครื่องในวังหลวงเป็สถานที่สูงส่ง ของทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็ของชั้นดี แค่คิดว่าอีกเดี๋ยวผ้าสีขาวสะอาดผืนนี้ต้องเปลี่ยนสี นางก็ทำใจใช้ไม่ลง
พ่อครัวหลักนำกะละมังใบเล็กมารองผ้าขาวบาง หนิงมู่ฉือเทปวยเล้งที่ตำละเอียดอยู่ในครกลงไปบนผ้าขาวบาง ไม่นานผ้าขาวบางก็ถูกย้อมจนกลายเป็สีเขียว น้ำไหลลงไปในกะละมังใบเล็ก ส่วนเศษของปวยเล้งที่อยู่บนผ้าขาวบางไม่ร่วงลงไปในกะละมังเลยแม้แต่น้อย
เพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา นางบีบเศษปวยเล้งที่อยู่ในผ้าขาวบางเพื่อคั้นน้ำออกให้หมด
นางทำเช่นเดียวกันกับมะเขือเทศ หูหลัวปอและและจื่อเป้ยเทียนขุย ทำแยกไว้อย่างละกะละมัง
ทำเสร็จเรียบร้อย นางไม่วายบอกพ่อครัวหลักว่า สามารถนำเศษผักเหล่านี้ไปทำเป็โจ๊กได้ แม้คุณประโยชน์จะเหลือไม่มากเท่าไหร่ แต่หากนำไปทำโจ๊กก็ยังมีรสชาติของผักพวกนี้อยู่ จะได้ไม่ต้องนำไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
นางใช้โอกาสนี้บอกทุกคนในห้องเครื่องว่า ต้องช่วยกันประหยัดวัตถุดิบ จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้โดยเด็ดขาด
น้ำผักที่จะนำมาใช้นวดแป้งเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางแบ่งแป้งสาลีออกเป็ห้าชุด เติมน้ำผักทีละน้อยทุกครั้งที่เติม ก็ใช้มือนวดแป้งไปด้วย น้ำผักในกะละมังน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่แป้งค่อยๆ เริ่มจับตัวเป็ก้อนมากขึ้น
นวดแป้งนานเท่าใด นวดจนนิ่มหรือนวดแค่พอประมาณขึ้นอยู่กับว่าจะนำแป้งไปใช้ทำอะไร และปริมาณของน้ำที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับอยากให้แป้งนิ่มหรือแข็ง ยกตัวอย่างเช่นเกี๊ยวกับบะหมี่ อันหนึ่งต้องนวดให้แป้งนิ่ม อีกอันต้องให้แข็งเล็กน้อย
หนิงมู่ฉือสมกับเป็เทพแม่ครัว นางมีสัญชาตญาณที่แม่นยำ นำน้ำผักผสมลงไปในแป้งได้อย่างพอดิบพอดี ทำให้บรรดาขันทีพ่อครัวที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใส
การนวดแป้งเป็เื่ที่ต้องใช้ความพิถีพิถัน ผู้ที่มีความรู้ในเื่การนวดแป้งได้คิดค้นหลักสามหมดจดซึ่งเป็หลักในการนวดขึ้นมา คือหนึ่ง...กะละมังต้องเอี่ยมหมดจดไม่เหลือเศษแป้ง สอง...มือที่ใช้นวดแป้งจะมีแป้งติดที่มือเยอะไม่ได้ และหลักการสุดท้ายคือแป้งต้องเรียบหมดจด มิเช่นนั้นมันจะส่งผลต่อคุณภาพของแป้ง
[1] หูหลัวปอ คือแครอท
[2] จื่อเป้ยเทียนขุย คือต้นบีโกเนีย เป็ไม้อวบน้ำอายุยืน มีลำต้นสูง ใบมีลักษณะเป็รูปหัวใจสีม่วงเข้ม