หลิ่วฉางผิงมองอย่างพิจารณาเสร็จ ทันทีหลังจากนั้นก็แสดงออกว่าการระบายของเสียออกไม่มีปัญหา แค่หลุมส้วมนี้ต้องหาเตาเผาแบบอื่นทำการเผาถึงจะได้
สุดท้ายแผนงานการสร้างห้องส้วมกับห้องอาบน้ำไว้ด้วยกันเป็อันต้องปัดตก สาเหตุเป็เพราะหลุมหมักปุ๋ยคอกของครอบครัวเกษตรกรเป็ของล้ำค่า การเพาะปลูกในที่ดินทุกปีล้วนอาศัยปุ๋ยเหล่านี้ หากสร้างไว้ด้วยกันกับห้องอาบน้ำก็ไม่ใช่ว่าสาดปุ๋ยของครอบครัวเกษตรกรทิ้งไปหรือ
เจินจูกล่าวไม่ออก แต่ก็ไม่เห็นเป็ไร สร้างห้องอาบน้ำมากขึ้นสองห้องเท่านั้นเอง ภายใต้การช่วยเหลือของหลิ่วฉางผิงไม่นานนางก็กำหนดรูปแบบและทิศทางของบ้านลงในแบบแปลนเรียบร้อย
หลังจากนั้นหูฉางกุ้ยกับหลิ่วฉางผิงก็ช่วยกันเรียกหาชาวไร่ชาวนาที่คุ้นเคยประมาณสิบคนให้มาเริ่มจัดระเบียบปรับพื้นที่รกร้างว่างเปล่าก่อน เพื่อจัดเตรียมทำการขุดฐานก่อสร้าง
เดิมทีหูฉางกุ้ยคิดว่าครอบครัวตนเองไม่กี่คนทำงานหนักขึ้นเล็กน้อย ใช้เวลามากหน่อยในการจัดระเบียบพื้นที่ ไม่จำเป็ต้องเสียค่าใช้จ่ายนอกรายการเพื่อจ้างคน
เจินจูจึงนำทางเขาไปชี้ตำแหน่งจริงๆ แล้วถามว่าแปลงที่ดินผืนใหญ่นี้แค่พวกเขาสองสามคนต้องกี่วันถึงจะจัดการทั้งหมดเสร็จ?
หูฉางกุ้ยมองไปบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหญ้ารกในพื้นที่กว้างใหญ่ ทั้งเศษหินกับกิ่งก้านแห้งของพุ่มไม้เตี้ยยุ่งเหยิงเต็มไปหมดก็กล่าวไม่ออก
เช่นนี้เลยใช้ค่าแรงสิบสองเหวินหาชาวไร่ชาวนาสิบคนที่ขยันและสามารถทำงานได้ทุกวันมา ภายใต้การนำของหลิ่วฉางผิงก็เริ่มจัดทำความสะอาดปรับพื้นดินขึ้นได้
เพิ่งผ่านปลายปี ยังมีเวลาอีกระยะหนึ่งก่อนการปรับปรุงดินเพื่อหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ชาวไร่ชาวนาที่ว่างและขยันล้วนยินดีหาเงินค่าแรง
ทำตามแบบที่เคยทำแล้วๆ มา โดยเ้าบ้านห่ออาหารกลางวันให้จะเป็ค่าแรงสิบเหวิน หากไม่ห่อก็เพิ่มขึ้นสองเหวิน บ้านหูฉางกุ้ยอาศัยอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน สถานที่ก่อสร้างอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน ไปกลับหนึ่งรอบต้องเสียเวลาไม่น้อย รวมกับหลี่ซื่อไม่ชินกับคนมาก เจินจูจึงเสนอจ่ายสองเหวินให้ชาวไร่ชาวนาที่มารับจ้างกลับไปทานข้าวบ้านตนเอง อย่างไรเสียที่มารับจ้างล้วนเป็คนในหมู่บ้าน บ้านห่างออกไปไม่ไกลแล้วก็สะดวกมากกว่า
หนนี้หูฉางกุ้ยไม่ได้คัดค้าน หลี่ซื่อไม่คุ้นชินกับการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน ถ้าต้องจ่ายเพิ่มสองเหวินก็สองเหวินเถิด มองใบหน้าที่ขาวสะอาดและอ่อนโยนของหลี่ซื่อ หูฉางกุ้ยก็กลัวว่าหากที่บ้านมีชายหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสิบคนก็จะชนเข้ากับภรรยาตนเอง
เจินจูจะมองความคิดของหูฉางกุ้ยไม่ออกได้อย่างไร นางแอบมองบน บิดาผู้นี้ของนางมีเพียงเื่ที่เกี่ยวโยงกับมารดาของนางถึงใจกว้างเช่นนี้ได้
สิบคนที่มารับจ้างทำงานนี้ หลายคนล้วนเป็ชาวไร่ชาวนาที่คุ้นเคยกันดีของสองพี่น้องสกุลหู เจิ้งซวงหลินกับจ้าวเฮยโต้วก็อยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน สองคนหลังพอได้ยินข่าวแล้วก็ออกมาหาถึงบ้านด้วยท่าทีเกรงใจเล็กน้อย แม้ชาวบ้านทั่วไปล้วนทำงานจำพวกสร้างคอกหมูและคอกวัวด้วยตนเองได้ก็ตาม แต่อย่างไรเสียก็เทียบไม่ได้กับผู้เชี่ยวชาญที่คุ้นเคยทางด้านนี้และทั้งสองคนก็ไม่ได้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ แม้พวกเขาจะหยิบยืมเส้นสายความเป็คนรู้จักกันเข้ามาทำงาน แต่ก็ไม่ทำให้เป็ตัวถ่วง พากันติดตามอยู่ข้างหลังหลิ่วฉางผิงทำงานอย่างขยันขันแข็ง
บนที่ดินรกร้างว่างเปล่ามีผู้ชายหยาบกร้านสิบกว่าคนทำงานอย่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ส่วนเจินจูที่อยู่บ้านก็ไม่ได้ว่างเฉย
ผิงอันกับผิงซุ่นสองสามวันนี้ต้องเตรียมตัวเข้าโรงเรียน เจินจูหยิบผ้าป่านผืนหนาและหยาบที่ซื้อไว้นานแล้วออกมา ตั้งใจจะเร่งทำกระเป๋าสะพายหลังออกมาสองใบ
แน่นอนว่านางแค่รับผิดชอบวาดรูปแบบออกมาเท่านั้น ผู้ที่ลงมือจริงๆ ยังต้องอาศัยหลี่ซื่อ
บัณฑิตของยุคสมัยนี้ก็มีกระเป๋าหนังสือและถุงหนังสือ แต่ส่วนใหญ่ที่พวกเขาแบกจะเป็ตะกร้าไผ่สานใบเล็กที่ปรับแก้ให้ดีขึ้น ไม่บังแดดบังฝน พอไม่ระวังนิดหน่อยตำราก็จะเสียหายได้
กระเป๋าใส่หนังสือมีสายสะพายสองเส้นที่เรียบง่าย วาดขนาดบนผ้าป่านหนาหยาบและตัดออกมา ใช้สว่านที่ใช้เจาะพื้นรองเท้ามาเจาะให้เป็รู หลังจากนั้นใช้เข็มใหญ่ใส่ด้ายป่านทำการเย็บ ภายใต้ความช่วยเหลือของหลี่ซื่อ ไม่นานกระเป๋าสายสะพายสองเส้นที่เรียบง่ายหนึ่งใบก็เย็บออกมาสำเร็จ
ผ้าป่านผืนหนาถูกเย็บจนเป็รูปสี่เหลี่ยม ส่วนที่คลุมปิดปากกระเป๋าที่อยู่้าทำรังดุมขนาดใหญ่ไว้สองรู เมื่อปิดทับลงมาจะตรงพอดีกับกระดุมกลมข้างล่าง และด้านซ้ายขวาสองฝั่งเย็บเป็กระเป๋าไว้ทั้งสองข้าง ส่วนล่างที่เป็ก้นประเป๋าก็ใช้ผ้าป่านสองชั้นทำเป็ที่รอง
หลี่ซื่อมองกระเป๋าสะพายหลังที่อยู่ข้างหลังเจินจูด้วยใบหน้าแปลกใจ ที่แท้ผ้าป่านยังสามารถทำกระเป๋าแบกหลัง ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครออกมาได้เช่นนี้ด้วย
ตอนนางเย็บตามความคิดเห็นของเจินจู ในใจยังประหลาดใจว่าผ้าป่านเนื้อหยาบเหล่านี้จะสามารถทำของใช้อะไรออกมาได้? พอนึกถึงสิ่งของใหม่ที่เจินจูคลำหาทางออกมาได้ก็ไม่ใช่อย่างสองอย่างแล้ว หลี่ซื่อจึงทำตามความคิดเห็นของนางและเย็บออกมาอย่างตั้งใจมาก
ไม่คาดคิดเลยว่าผลของการที่เย็บเสร็จแล้วจะเป็เช่นนี้ หลี่ซื่อหยิบพลิกดูไปมาในมืออยู่หลายรอบ
เย็บใบที่หนึ่งออกมาได้ ใบที่สองก็คล่องมือแล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วยามกระเป๋าสะพายหลังใบที่สองก็เย็บเสร็จ
กระเป๋าสองใบขนาดเท่ากัน วางเคียงกันอยู่บนโต๊ะ เจินจูยิ้มพึงพอใจเป็อย่างยิ่ง ฝีมือการเย็บของหลี่ซื่อไม่เลว รอยที่เย็บต่างก็แ่ามาก ผ้าป่านหนาและหยาบทนทานความสกปรก กระเป๋าสะพายหลังเช่นนี้สามารถวางใจใช้ได้ระยะยาว่หนึ่ง
หลี่ซื่อละเอียดรอบคอบ นางให้เจินจูเขียนตัวอักษรตรงที่ปิดกระเป๋าทั้งสองใบ เขียน ‘อัน’ หนึ่งใบ เขียน ‘ซุ่น’ หนึ่งใบ หลังจากนั้นนางจึงปักตามรูปร่างออกมาอีกครั้ง เพื่อให้เด็กสองคนแยกแยะความแตกต่างของกระเป๋าตนเองได้
ผิงอันกับผิงซุ่นเห็นกระเป๋าหนังสือใหม่ของตนเองเข้า ต่างพากันดีใจและแปลกใจไม่หยุด แบกไว้บนหลังอยู่นานไม่ยอมวางลง แทบอยากจะแบกไปอวดที่โรงเรียนสักรอบทันทีทันใด
ตลอดทั้งหนึ่งเดือน ครอบครัวสกุลหูผ่านไปอย่างมีความสุขรักใคร่กลมเกลียว
สองบ้านล้วนรวบรวมเงินไว้ไม่น้อย เงินติดตัวไม่ขาดมืออีกต่อไป สภาพจิตใจย่อมมีความสุขไม่คิดเล็กคิดน้อย ที่เรียกกันว่าคนพบเจอกับเื่น่ายินดีจิตใจสว่างไสว [1] รอยยิ้มบนใบหน้าสกุลหูทุกคนอิ่มเอมความสุขเป็พิเศษ
แม้แต่เหลียงซื่อที่ท่าทางอยู่ไม่สุข ถึงแม้ในก้นบึ้งหัวใจจะยังไม่พอใจเื่ที่หูฉางกุ้ยซื้อที่ดินสร้างบ้านก็ตาม แต่ครั้งก่อนหลังผ่านการสนทนาที่ลึกซึ้งและกระตุ้นให้คิดได้ของหวังซื่อ ที่สกุลหูมีสภาพการณ์เช่นนี้ได้ในทุกวันนี้ยังต้องขอบคุณหูเจินจู อาศัยความเฉลียวฉลาดของหลานสาวที่มากสติปัญญา คิดอาหารการกินที่แปลกใหม่ออกมา คนสองบ้านจึงสามารถหาเงินที่แต่ก่อนไม่กล้าจะคิดมาได้
หูฉางกุ้ยยังให้เงินเป็การส่วนตัวกับนางอีกสิบเหลียง และบอกกับหวังซื่อว่าเข้าใจความรู้สึกที่นางตั้งครรภ์ตอนอายุเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ให้นางเก็บไว้ใช้ติดตัว ทันใดนั้นเหลียงซื่อก็ดวงตาแดงรื้นร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
ไม่เพียงเท่านี้ เื่ที่บ้านบิดามารดาของนางเอ่ยขึ้นว่าอยากจะเรียนรู้วิธีเลี้ยงกระต่ายกับบ้านสกุลหู หวังซื่อก็ตกปากรับคำด้วย แค่กล่าวอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องซื้อพันธุ์กระต่ายเอง ส่วนวิธีการเลี้ยงกระต่ายจะบอกกล่าวอย่างละเอียดไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย
รวมกับอีกไม่กี่วันผิงซุ่นก็จะเริ่มเข้าโรงเรียน ท้องของนางก็มั่นคงปลอดภัยแล้ว ความเป็อยู่ของเหลียงซื่อราวกับเปลี่ยนแปลงไปจนมีความสุขและเต็มไปด้วยความชื่นมื่นขึ้นมาทันที
หลังจากนั้น แม้นางยังอิจฉาที่บ้านหูฉางกุ้ยซื้อที่ดินสร้างบ้านอยู่บ้าง แต่ภายนอกกลับรักใคร่กลมเกลียวไม่ยึดติดอีก
...ต้อนรับการมาของวันที่สิบห้าในเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติจีนด้วยงานที่ยุ่งวุ่นวาย
เมื่อถึงเทศกาลซ่างหยวน [2] งานปรับระดับพื้นที่รกร้างของครอบครัวหูก็หยุดชั่วคราวหนึ่งวัน
รุ่งเช้าหลี่ซื่อจึงตั้งใจทำบัวลอยเป็พิเศษ โดยใช้แป้งข้าวเหนียวนวดคลึงกับเมล็ดงาและยัดไส้ถั่วลิสง ทุกคนทานคนละหนึ่งชามใหญ่ หวานๆ เหนียวๆ รสชาติไม่เลวเลย
เทศกาลซ่างหยวนเป็เทศกาลโคมไฟ ประเพณีของวันนี้ส่วนใหญ่เป็การทานบัวลอยยัดไส้ ไปเดินเล่นงานวัดดูโคมไฟประดับ เดาปริศนาที่ติดบนโคมไฟ แบบนี้เป็กิจกรรมที่ไม่ต้องเดินหรือขยับอะไรมาก หรือชื่นชมพระจันทร์และลอยโคมไฟ...
แน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านี้ผิงอันกับเจินจูล้วนไม่เคยััมาก่อน
บ้านของครอบครัวหูห่างจากในเมืองค่อนข้างไกล หลี่ซื่อไม่สามารถพูดจาได้ ผิงอันร่างกายมักเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ เทศกาลโคมไฟที่แล้วๆ มาทั้งครอบครัวล้วนใช้เวลานั้นอยู่ที่บ้าน
ดังนั้นตอนที่ผิงซุ่นวิ่งะโโลดเต้นมาบอกพวกเขาว่าเย็นนี้จะไปเดินเล่นงานวัดดูโคมไฟประดับ ผิงอันจึงตื่นเต้นจนะโขึ้นลงไม่หยุด ดีใจมากจนกอดผิงซุ่นแล้วเอาแต่ถามไม่หยุดว่า จริงหรือ? จริงหรือ?
หวังซื่อตั้งใจให้สองพี่น้องสกุลหูพาหลานชายและหลานสาวตนเองไปเดินเล่นงานวัดดูโคมไฟประดับ เมื่อก่อนการเงินที่บ้านไม่ดี มีโอกาสพาเด็กๆ ไปเดินเล่นที่งานวัดน้อยมาก
ตอนนี้ที่บ้านเอื้ออำนวยแล้วก็ต้องให้เด็กๆ ได้เปิดหูเปิดตานอกบ้านมากหน่อย
ตอนบ่ายพวกเขาหนึ่งขบวนจึงเคลื่อนเกวียนออกเดินทาง
หูฉางหลินพาชุ่ยจูกับผิงซุ่นมา หูฉางกุ้ยพาเจินจูกับผิงอันมา ส่วนหลี่ซื่อตลอดมาไม่ชอบคนมากอยู่แล้วจึงไม่ได้ออกมาด้วยกัน หลัวจิ่งขายังไม่คล่องแคล่วดี จึงปฏิเสธการออกเดินทางไปข้างนอกอย่างสุภาพอ่อนโยน เหลียงซื่อก็ตั้งครรภ์ที่หนักอยู่ไม่เหมาะจะออกเดินทาง
สองพี่น้องสกุลหูพาเด็กน้อยสี่คนไปเดินเล่นงานวัด ยังมีที่ติดเกวียนไปทางเดียวกันอย่างพ่อลูกจ้าวต้าซานกับจ้าวเสี่ยวเหล่ยด้วย
จ้าวต้าซานอาศัยอยู่ละแวกบ้านเก่าของสกุลหู ทั้งครอบครัวไปมาหาสู่กับสกุลหูบ่อยๆ หินโม่เล็กที่หวังซื่อยืมครั้งก่อนก็เป็ของบ้านเขา
คนเร่งเข้าเมืองไปเดินเล่นงานวัดมีมาก บนถนนทางการแบ่งเป็สามกลุ่มห้ากลุ่ม เดินเท้าบ้าง นั่งเกวียนบ้าง ผู้คนมากมายหลั่งไหลออกมาทีละกลุ่มๆ จากทางแยกของแต่ละหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียง ทั้งหมดล้วนมุ่งมาข้างหน้าทิศทางเดียวกัน สองฝั่งถนนทางการสายใหญ่เช่นนี้เต็มไปด้วยผู้คนยั้วเยี้ย
“ว้าว คนเยอะมากเลย!” ผิงอันนั่งอยู่บนเกวียนวัวอดมองไปรอบๆ ไม่ได้ ถึงแม้ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งไร้ลม อากาศทางทิศเหนือยังคงหนาวเหน็บ แต่ความกระตือรือร้นของเ้าหนุ่มน้อยกลับไม่ถูกความหนาวเย็นลบเลือนไปเลย
“ใช่แล้ว คนเยอะมากจริงๆ!” จ้าวเสี่ยวเหล่ยก็พยักหน้าติดๆ กัน ปีนี้เขาอายุหกปี เป็ครั้งแรกที่ตามผู้ใหญ่ไปเดินเล่นงานวัด ความรู้สึกภายในใจจึงตื่นเต้นมากนัก
“ก็ใช่น่ะสิ ปีก่อนท่านพ่อของข้าพาข้าเดินเท้ามา คนเยอะมากเลยล่ะ” ผิงซุ่นเชิดคางขึ้น ปีก่อนหูฉางหลินพาเขาไปงานวัดดูโคมไฟประดับ เขาจึงลำพองใจอยู่นาน “รอถึงงานวัดแล้ว คนจะเยอะยิ่งกว่านี้ ผิงอัน เ้าต้องตามท่านพ่อติดๆ เล่า คนมากคนล่อลวงก็มากด้วยเช่นกัน เ้าระวังจะถูกคนลวงไป”
ผิงซุ่นเอาคำที่หูฉางหลินสั่งสอนเขาย้อนกลับมาสอนผิงอัน แสดงอารมณ์ความภาคภูมิของคนที่เคยมาก่อน
“อื้มๆ… ข้าจะคว้ามือท่านพ่อให้แน่นเลย” ผิงอันคว้ามือใหญ่ของหูฉางกุ้ยไว้ทันที
หูฉางกุ้ยหัวเราะแล้วพลิกฝ่ามือกุมมือเล็กที่เย็นเฉียบของเขาไว้ด้วยสองมือเพื่อสร้างความอบอุ่น
“วันนี้อากาศดี คนเลยออกมาเดินเล่นงานวัดและดูโคมไฟประดับกันมาก” มองผู้คนที่หลั่งไหลอยู่สองข้างทางบนถนนทางการ จ้าวต้าซานถอนหายใจด้วยเสียงทุ้มหนัก
“จริงดังว่า ต้าซาน เ้าต้องเอาเสี่ยวเหล่ยติดตัวไว้อย่างระมัดระวังหน่อยนะ” หูฉางหลินชูเชือกขึ้นโบกไปมาหลบหลีกผู้คนด้วยความระมัดระวัง
“นั่นต้องแน่นอนอยู่แล้ว พวกเ้าก็ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน” ล้วนพาลูกออกมาดูความครึกครื้นเปิดหูเปิดตา ความปลอดภัยย่อมเป็สิ่งสำคัญที่สุด
จนกระทั่งลงจากเกวียน อารมณ์ไม่สงบเหลือบซ้ายแลขวาของผิงอันกับเสี่ยวเหล่ยจึงค่อยๆ สงบลง ทันทีหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็เด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ เห็นอะไรก็ล้วนรู้สึกแปลกใหม่น่าสนใจไปหมด
หน้าหนาวเวลากลางวันสั้น ตอนพวกเขามาถึงประตูเมือง ดวงตะวันก็ค่อยๆ ลาลับไปทางทิศตะวันตกแล้ว อาทิตย์ยามอัสดงแสงของท้องฟ้ายามใกล้ค่ำโปรยปรายเป็สีทองหนึ่งผืน
ฝากเกวียนวัวเสร็จก็นัดหมายเวลาขากลับกับจ้าวต้าซานเรียบร้อย สองพี่น้องสกุลหูจึงต่างคนต่างนำทางลูกๆ เดินตามกลุ่มคนไปทางงานวัด
งานวัดของเมืองไท่ผิงอยู่ที่วัดผู่หลงฝั่งตะวันตก พวกเขาจึงเดินไปทางประตูทิศตะวันตกจากถนนสายใต้พร้อมกับผู้คนที่หลั่งไหลไปช้าๆ
หน้าร้านบนสองฝั่งถนนทางใต้พากันประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟ ก่อนความมืดยามค่ำคืนจะกล้ำกรายเข้ามา โคมไฟอันวิจิตรตระการตาและมีเอกลักษณ์หลากหลายแบบกำลังจะส่องสว่างในคืนที่มืดมิดของเทศกาลโคมไฟขึ้น
เ้าของร้านหลิวของฝูอันถังกำลังสั่งการลูกจ้างให้แขวนโคมประดับสี
“เจินจู พวกเราต้องทักทายเ้าของร้านหลิวหรือไม่?” หูฉางหลินเห็นอยู่ไกลๆ อดก้มหน้าถามเบาๆ ไม่ได้
เจินจูลังเลเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองสีท้องฟ้า แสงของอาทิตย์ใกล้จะตกดินสาดส่องทะลุชั้นเมฆลงมาบนถนนกว้าง ปล่องไฟของหลังคาบ้านหลายหลังที่อยู่ไกลๆ มีควันผุดขึ้นมาแล้ว แสดงว่าทำอาหารมื้อค่ำอยู่นั่นเอง หากเข้าไปทักทายเวลานี้ พวกเขาไม่ต้องดูแลพวกเราด้วยอาหารมื้อค่ำหนึ่งกลุ่มเลยหรือ
เจินจูส่ายหน้าทันที นางไม่อยากรบกวนผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้คนหนึ่งขบวนจึงพยายามอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน และตามกันไปทางข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
นับั้แ่ที่หลิวผิงถูกเฉินเผิงเฟยกล่าวไว้คราวก่อน ทำให้ใส่ใจผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนถนนตลอดเวลา ก็ไม่ใช่เพราะเช่นนี้หรือเขาจึงมองผู้คนที่หลั่งไหลอยู่เต็มถนนไปด้วยตามปกติ ทันใดนั้นดวงตาพลันสว่างวาบขึ้น
“แม่นางหู! แม่นางหู!” ทั้งร้องะโไปด้วยวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วย
เชิงอรรถ
[1] คนพบเจอกับเื่น่ายินดีจิตใจสว่างไสว หมายถึง คนที่พบเจอกับเื่ที่ปีติยินดีสภาพจิตใจย่อมมีความสุข
[2] เทศกาลซ่างหยวน เป็อีกชื่อหนึ่งของเทศกาลโคมไฟเช่นกัน ซึ่งจะตรงกับสิบห้าค่ำเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติจีน