บทที่ 3 : สัญญาณเตือนภัยที่โรงงานผลไม้กระป๋อง
บรรยากาศในห้องเรียนชั้น ม.3/2 โรงเรียนรัฐบาลชื่อดังประจำจังหวัดเชียงใหม่ เต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามประสาวัยรุ่นที่เพิ่งเปิดเทอมวันแรก
“แกๆ เห็นเอ็มวีเพลงใหม่ของ บอยสเก๊าท์ หรือยัง? พี่ตาน่ารักมาก!”
“เย็นนี้ไปเซ็นกาด (กาดสวนแก้ว) กันป่าว? จะไปถ่ายสติ๊กเกอร์”
“เฮ้ย! ใครเอาเพจเจอร์มาโรงเรียนวะ ครูฝ่ายปกครองเดินตรวจอยู่นะเว้ย เก็บเร็ว!”
รินรดานั่งเท้าคางมองดูภาพความวุ่นวายรอบตัวด้วยสายตาที่ว่างเปล่า... แต่แฝงไปด้วยความเอ็นดู เพื่อนร่วมชั้นที่เคยเห็นหน้ากันในงานเลี้ยงรุ่นตอนแก่ ตอนนี้กลับมาเป็เด็กแก้มใสสิวเกรอะกรังกันทุกคน
สำหรับวิศวกรสาววัยกลางคนในร่างเด็ก บทสนทนาเื่ดาราหรือใครแอบชอบใครดูเป็เื่ไกลตัวเหลือเกิน ในหัวของเธอตอนนี้มีแต่ภาพเครื่องจักรขนาดใหญ่ สายพานลำเลียง และเสียงเครื่องยนต์
‘วันนี้... คือวันที่ 15 พฤษภาคม 2538’
รินรดาจดวันที่ลงในสมุดปกอ่อนตราโรงเรียน พลางขีดเส้นใต้สีแดงสองเส้น
ตามความทรงจำ ่บ่ายวันนี้ เครื่องจักรตัวหลักของ ‘โรงงานแปรรูปผลไม้รุ่งเรืองพานิช’ ของพ่อจะเกิดอาการน็อก กะทันหัน ส่งผลให้ลำไยสดล็อตใหญ่กว่า 5 ตันที่เพิ่งรับซื้อมาคาอยู่ที่ลานผลิต และเน่าเสียทั้งหมดภายใน 3 วัน
เหตุการณ์นั้นทำให้พ่อต้องกู้หนี้นอกระบบมาจ่ายค่าปรับและซื้อเครื่องใหม่ ดอกเบี้ยมหาโหดกัดกินครอบครัวเราจนไม่เหลืออะไร
‘กริ๊งงงงงงงงงง!’
เสียงออดหมดเวลาดังขึ้นราวกับเสียงระฆังช่วยชีวิต รินรดาคว้ากระเป๋าเป้ใบเก่า ไม่รอฟังเพื่อนชวนไปกินลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียน เธอวิ่งฝ่าฝูงชนไปขึ้นรถสองแถวสีแดง (รถแดง) เพื่อตรงดิ่งกลับบ้านทันที
...
โรงงานรุ่งเรืองพานิช (ตั้งอยู่หลังบ้านของรินรดา)
ปกติแล้ว เวลาสี่โมงเย็นแบบนี้ จะต้องมีเสียงเครื่องจักรดัง ครืน... ครืน... และเสียงไอน้ำจากการนึ่งฆ่าเชื้อดังฟู่ฟ่า แต่ทว่าวันนี้...
เงียบกริบ
ความเงียบที่น่าขนลุกปกคลุมไปทั่วโรงงาน รินรดาะโลงจากรถสองแถว รีบวิ่งเข้าไปในโซนการผลิต กลิ่นลำไยสดหอมหวานลอยคลุ้ง แต่ตอนนี้มันเริ่มเจือด้วยกลิ่นของความตึงเครียด
คนงานหญิงสิบกว่าคนยืนจับกลุ่มซุบซิบกันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ที่กลางโรงงาน พ่อของเธอกำลังยืนหน้าซีดเผือด เหงื่อไหลท่วมตัว ทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนขนาดนั้น
ข้างๆ พ่อคือ ‘ลุงชัย’ หัวหน้าช่างวัยเก๋าประจำโรงงาน ผู้มีประแจเลื่อนเหน็บเอวเป็เอกลักษณ์ ลุงชัยกำลังยืนเท้าเอว ส่ายหน้าไปมาหน้าเครื่องจักรขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง
เครื่องปิดฝากระป๋องอัตโนมัติ (Automatic Can Seamer) หัวใจสำคัญของการผลิต
“มันไม่ไหวแล้วครับเฮีย” ลุงชัยพูดเสียงเครียด “ผมลองสตาร์ทเครื่องสามรอบแล้ว มอเตอร์มันครางฮือๆ แล้วก็ตัดไปเลย สงสัยขดลวดข้างในจะไหม้ หรือไม่ก็แกนเพลาขาดใน”
“แล้ว... แล้วซ่อมได้ไหมช่างชัย?” พ่อถามเสียงสั่น “ลำไยห้าตันกองรออยู่นะ ถ้าไม่ลงกระป๋องภายในคืนนี้ เน่าหมดแน่!”
ลุงชัยถอนหายใจยาว “โธ่เฮีย... อาการหนักขนาดนี้ โรงกลึงแถวนี้ทำไม่ได้หรอก ต้องเบิกอะไหล่จากศูนย์ที่กรุงเทพฯ ดีไม่ดีต้องสั่งนำเข้าจากญี่ปุ่น อย่างต่ำๆ ก็รอของ 2 อาทิตย์”
“2 อาทิตย์!” พ่ออุทาน ร่างกายโอนเอนเหมือนจะเป็ลม แม่รีบเข้ามาพยุงไว้
“จบกัน... ออเดอร์ส่งออกล็อตแรก...” พ่อพึมพำ ดวงตาแดงก่ำ
รินรดายืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ภาพความทรงจำในอดีตซ้อนทับเข้ามา พ่อตัดสินใจโทรหา ‘เสี่ยวิชัย’ เ้าหนี้หน้าเืในอีก 10 นาทีข้างหน้า เพื่อขอยืมเงินด่วนไปซื้อเครื่องจักรตัวใหม่มาแทน
‘ไม่... ฉันจะไม่ยอมให้พ่อโทรหาไอ้เสี่ยนั่นเด็ดขาด’
รินรดาสูดหายใจเข้าลึก ปรับโหมดความคิดจาก ‘ลูกสาวเ้าของโรงงาน’ ให้กลายเป็ ‘วิศวกรเครื่องกลระดับ Senior’
เธอเดินแทรกตัวผ่านกลุ่มคนงานเข้าไป “ขอทางหน่อยค่ะ! ขอทางหน่อย!”
“อ้าว หนูริน กลับมาแล้วเหรอ อย่าเพิ่งเข้ามายุ่งลูก พ่อกำลังเครียด” แม่ร้องห้าม
แต่รินรดาไม่ฟัง เธอเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าเ้าเครื่องจักรั์สีเขียวซีดๆ ตัวนั้น เครื่องจักรปี 90 ที่ดูเทอะทะ ระบบแมคคานิคล้วนๆ ไม่มีหน้าจอดิจิตอลัั
[ตรวจพบเครื่องจักรเป้าหมาย: Double Seam Can Seamer (Model: Angelus-60L Clone)]
[เปิดใช้งานสกิล: วิเคราะห์โครงสร้าง (Structural Analysis) Lv.1]
ทันทีที่มือของรินรดาแตะลงบนฝาครอบเหล็กเย็นเฉียบ โลกของเธอก็เปลี่ยนไป
เส้นแสงสีฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วตัวเครื่อง จากเหล็กทึบๆ กลายเป็ภาพโปร่งแสง เธอเห็นเฟืองขบกัน เห็นเพลาลูกเบี้ยว (Camshaft) ที่หมุนวน และเห็นตลับลูกปืน (Bearing) ทุกเม็ด
สายตาของเธอไล่ไปตามจุดต่างๆ ตามเสียงวิเคราะห์ของระบบในหัว
[วิเคราะห์สาเหตุ: มอเตอร์หลัก... สถานะปกติ 85%]
[ระบบไฟฟ้า... สถานะปกติ 90%]
[จุดแจ้งเตือนสีแดง: ชุดเฟืองขับเคลื่อนหัวซีล (Seaming Head Gearbox)]
“เจอแล้ว!” รินรดาอุทานออกมาเบาๆ
ในนิมิตโครงสร้าง เธอเห็นเศษโลหะชิ้นเล็กๆ ขัดอยู่ระหว่างร่องเฟือง ทำให้ระบบเซฟตี้ตัดการทำงานเพื่อป้องกันเฟืองแตก ไม่ใช่มอเตอร์ไหม้อย่างที่ลุงชัยเดา
“ลุงชัยบอกว่ามอเตอร์ไหม้ใช่ไหมจ๊ะ?” รินรดาหันไปถามเสียงเรียบ
ลุงชัยหันมามองเด็กสาวด้วยสายตาหงุดหงิด “ก็เออสิหนูริน เสียงมันอืดขนาดนั้น กลิ่นเหม็นไหม้ตุๆ ด้วยเนี่ย ไม่ไหม้ก็แปลกแล้ว หนูไปเล่นตรงอื่นไป อย่ามาเกะกะช่างจะทำงาน”
“แต่หนูว่ามอเตอร์ไม่ไหม้นะ” รินรดาพูดสวนขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
ทุกคนในโรงงานหันมามองเป็ตาเดียว พ่อขมวดคิ้ว “ริน... พูดอะไรของลูก”
“ลุงชัยลองดมดีๆ สิคะ กลิ่นเหม็นไหม้นั่นมันกลิ่นสายพานเก่าที่เสียดสี ไม่ใช่กลิ่นขดลวดทองแดงไหม้” รินรดาชี้ไปที่สายพานด้านข้างที่เริ่มเปื่อย “แล้วเสียงครางฮือๆ นั่น เพราะระบบเซฟตี้มันพยายามตัดไฟต่างหาก ไม่ใช่ไม่มีแรง”
“โอ๊ย! เด็ก ม.3 จะไปรู้อะไร!” ลุงชัยเริ่มโมโห “ลุงซ่อมเครื่องนี้มาั้แ่หนูยังไม่เกิด ประสบการณ์ 20 ปีของลุงจะผิดได้ไง!”
รินรดาไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ แต่เธอเดินไปหยิบประแจเบอร์ 14 จากกล่องเครื่องมือของลุงชัยอย่างถือวิสาสะ
“พ่อจ๊ะ... ถ้าเราสั่งอะไหล่ใหม่ ต้องรอ 2 อาทิตย์ ของก็เน่าหมด เสียเงินฟรีๆ”
รินรดาหันไปสบตาพ่อ สายตาของเด็กสาววัย 15 ปีในวันนี้ ดูนิ่งลึกและมั่นคงอย่างประหลาด จนพ่อชะงัก
“แต่ถ้าหนูดูไม่ผิด... เราซ่อมมันได้ภายใน 1 ชั่วโมง โดยไม่ต้องใช้อะไหล่ใหม่สักบาท”
“1 ชั่วโมง!?” เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่
“ริน... ลูกทำอะไรเป็หรือไง?” พ่อถามเสียงสั่น แต่ในใจลึกๆ กลับมีความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นมา
“หนูขอโอกาส... พ่อเชื่อใจหนูไหม?”
รินรดากระชับประแจในมือแน่น แสงโฮโลแกรมสีฟ้าที่ไม่มีใครเห็นนอกจากเธอกำลังสว่างวาบขึ้นที่ปลายนิ้ว ชี้จุดเป้าหมายที่จะต้องลงมือผ่าตัดเ้าเครื่องจักรั์ตัวนี้
นี่ไม่ใช่แค่การซ่อมเครื่องจักร... แต่มันคือการซ่อมอนาคตของครอบครัวเธอ!
