เมื่อได้ยินเช่นนี้บวกกับสีหน้าที่ดูจริงจังและแฝงไปด้วยความระแวดระวังของหลินฟู่อิน เถ้าแก่หลิวจึงวางเหยือกชาลงบนโต๊ะ แล้วโน้มร่างเข้าหาหลินฟู่อิน
สีหน้าเขาเองก็จริงจังขึ้น “ฟู่อิน ว่ามาเลย”
เถ้าแก่หลิวคิดว่าวันนี้หลินฟู่อินช่วยภัตตาคารของพวกเขาไว้มากมายนัก แม้จะมีเพียงสี่จาน แต่ด้วยถั่วเซียนร่ำสุรานี้ หากเขาเก็บสูตรมันไว้เป็ความลับแล้วละก็ เขาต้องได้กำไรจากมันไม่รู้จบอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ อาหารจานเย็นทั้งสี่อย่างที่หลินฟู่อินสอนในวันนี้ต่างก็เป็ของชั้นยอด!
เมื่อคิดแล้ว เถ้าแก่หลิวก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก
ในใจเขายังหวังอยู่ว่าสักวันหลินฟู่อินจะใจกว้างแล้วสอนจานอื่นมาให้อีก แม้ต้องจ่ายเงินมหาศาลแลกเปลี่ยนเขาก็ยอม!
“เื่ที่ข้าถ่ายทอดสูตรอาหารให้ภัตตาคารหลิวจี้ในวันนี้ ข้าอยากให้ทางภัตตาคารหลิวจี้ช่วยปิดเื่ที่สูตรมาจากข้าไว้เป็ความลับ ให้รู้กันเพียงลุงหลิว พี่หลิวฉิน ปรมาจารย์เถี่ยและเหล่าลูกศิษย์ก็พอ” หลินฟู่อินว่ากล่าวเงื่อนไขออกมา
เถ้าแก่หลิวตะลึงไป หลิวฉินเองก็เช่นกัน
ทั้งสองไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะพวกเขานึกว่านางจะอยากได้ส่วนแบ่งด้วยหลังจากที่เห็นความสำเร็จของอาหารจานใหม่เหล่านี้…
“แค่นี้หรือ?” เถ้าแก่หลิวมองนางแล้วถามเพื่อยืนยัน
หลินฟู่อินไม่รู้ถึงความคิดของสองพ่อลูก จึงยิ้มออกมา “ข้ายังอยากใช้ชีวิตอย่างสงบโดยไม่ถูกรบกวนน่ะเ้าค่ะ”
เถ้าแก่หลิวพยักหน้า
ไม่เสียหาย เขาเองก็อยากปกปิดตัวตนของหลินฟู่อินไว้อยู่แล้วเพื่อไม่ให้มีใครรู้เื่สูตรเหล่านี้อีก
“ได้ ลุงจะปิดเป็ความลับให้!” ลุงหลิวปกปิดความตะลึงไว้ไม่มิด ตอบตกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลินฟู่อินพอใจกับคำมั่นนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว ่เวลามื้อเที่ยงได้จบลงแล้ว
ปรมาจารย์เถี่ยของภัตตาคารเองก็ได้ทำอาหารจานเด่นของเขามาขึ้นโต๊ะให้นางและคู่พ่อลูกสกุลหลิวในห้องด้วย
“ท่านลุง นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว ได้เวลาที่ข้าควรกลับหมู่บ้านแล้ว” หลินฟู่อินทำตามเป้าหมายที่มาสำเร็จ โดยได้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าที่คาดไปมากกลับมาด้วย นางจึงคิดที่จะกลับเลย อย่างไรเสีย นางก็ต้องไปทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่อ
เมื่อเถ้าแก่หลิวเห็นว่านางจะไปแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเพื่อขอให้นางอยู่ต่ออีกสักหน่อย แล้วขยิบตาส่งสัญญาณให้หลิวฉิน
หลินฟู่อินเห็นความกระตือรือร้นที่แฝงไว้ด้วยความจริงใจของเขาจึงรับคำ แม้นางจะอยู่ต่อได้อีกไม่นานนักก็ตาม ในระหว่างที่นั่งฟังเสียงจอแจจากภายนอก นางก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา “ลุงหลิว ดูภาพนี้สิเ้าคะ เมื่อเป็เช่นนี้แล้วยอดขายของภัตตาคารหลิวจี้ในฤดูหนาวนี้ต้องก้าวข้ามภัตตาคารเด่นๆ ในเมืองไปได้หมดเป็แน่!”
ลุงหลิวที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะยิ้มอย่างภูมิใจออกมาไม่ได้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟู่อิน เ้าพูดได้ดีนัก แต่เราจะไม่เพียงก้าวข้ามคู่แข่งได้ในฤดูหนาว เดือนนี้เองเราก็จะก้าวข้ามเ้าพวกนั้นได้หมดแน่!”
แท้จริงแล้ว ที่หลินฟู่อินกล่าวไปเมื่อครู่นั้นเป็การสอบถามเถ้าแก่หลิว ว่าดูจากสถานการณ์ในวันนี้แล้วจะมีโอกาสโค่นภัตตาคารเยว่เค่อได้หรือไม่ และเมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว นางจึงยิ้มขึ้นมา
หลังจากสนทนากันต่อไปได้อีกเล็กน้อย นางจึงตั้งท่าจะขอตัวลาอีกครั้ง เมื่อเถ้าแก่เห็นว่าเขาหยุดนางไว้ไม่ได้แล้ว เขาจึงะโหาหลิวฉิน
“มาแล้ว มาแล้ว มาแล้ว!” หลิวฉินผู้ที่กำลังถือถุงห่อกระดาษน้ำมันไว้หลายถุงยื่นซองอั่งเปาในมือให้เถ้าแก่หลิว
เถ้าแก่หลิวรับเอาซองอั่งเปามาแล้วยื่นให้หลินฟู่อินด้วยรอยยิ้ม “ฟู่อิน นี่อั่งเปาที่ลุงสัญญาไว้ และลุงเห็นว่าจานที่เ้าสอนมาในวันนี้มันให้ผลตอบรับดีเยี่ยมนัก ลุงจึงให้เพิ่มไปอีก เ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“หากท่านลุงว่าเช่นนั้น จะปฏิเสธได้เช่นไรกัน?” หลินฟู่อินรับอั่งเปามาด้วยรอยยิ้ม
“ฉินเอ๋อร์ เ้าไปจ้างรถม้าที่ดีที่สุดในเมืองให้ไปส่งฟู่อินเสีย” เถ้าแก่หลิวมองบุตรชาย แล้วใจก็สั่นไหวขึ้นมา
เ้าลูกชายนี่มันถึงวัยแต่งงานแล้วนี่…
แต่หลินฟู่อินที่ไม่อยากเป็ที่เตะตานักรีบปฏิเสธทันที “ท่านลุงไม่จำเป็ต้องทำเช่นนั้น ข้าจะนั่งเกวียนเทียมลากลับเองเ้าค่ะ”
น่าขัน หากนางกลับด้วยรถม้าที่หรูที่สุดในเมืองหลังจากที่นางออกมาจากภัตตาคารหลิวจี้ในวันที่ภัตตาคารหลิวจี้เพิ่งออกอาหารจานใหม่ แม้แต่คนโง่ก็คงเดาได้ไม่ยากว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นนางปฏิเสธ เถ้าแก่หลิวจึงตะลึงไป แต่ก็ยังพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่
หลินฟู่อินหัวเราะออกมา “ข้าไม่อยากเป็จุดสนใจ หากกลายเป็ที่รู้จักไปทั่วแล้ว ข้าคงมิอาจใช้ชีวิตอย่างสงบๆ ได้อีกเป็แน่”
เถ้าแก่หลิวจึงยอมหยุดลง
หลิวฉินที่ถือถุงกระดาษใส่ห่อกระดาษน้ำมันอยู่หน้าหลินฟู่อินโบกมือให้นาง “เหล่านี้คือสิ่งที่หัวหน้าพ่อครัวทำให้เ้า เป็ขาหมูผัดเจี้ยง ไม่ใช่อื่นใด แต่เป็อาหารจานเด่นของภัตตาคารเราเอง!”
หลินฟู่อินรับไว้ “ฝากขอบคุณปรมาจารย์เถี่ยให้ข้าด้วย”
ปรมาจารย์เถี่ยลงมือทำอาหารจานเด่นให้นางในเวลาที่กำลังยุ่งๆ เช่นนี้ ช่างมีน้ำใจนัก
ที่นางมาสอนเขาทำอาหารนี้ นางก็ได้รับอั่งเปามาจากเถ้าแก่หลิวแล้ว ดังนั้นจึงพูดได้ว่าปรมาจารย์เถี่ยมิได้ติดค้างอะไรนาง ดังนั้นขาหมูผัดเจี้ยงนี้จึงทำให้ฟู่อินดีใจมาก
มนุษย์ควรเป็เช่นนี้ ข้าปฏิบัติกับเ้าดี เ้าปฏิบัติกับข้าดี เราไปด้วยกันได้ ทำงานด้วยกันได้ บรรยากาศของการทำงานร่วมกันก็จะดีขึ้น
หลินฟู่อินที่แบกถุงใส่ห่อกระดาษน้ำมันมิได้ตรงไปยังจุดรอเกวียนเทียมลา แต่จงใจเดินผ่านหน้าภัตตาคารเยว่เค่อก่อน
นางอยากเห็นว่าภัตตาคารเยว่เค่อเป็อย่างไรบ้างหลังจากสิ่งที่นางทำไปในวันนี้
เมื่อไปถึงภัตตาคาร นางก็ได้เห็น
ภาพของผู้ดูแลฮวาร่างอ้วนท้วมที่ห่มร่างไว้ด้วยอาภรณ์ถักจากไหม กำลังดุด่าลูกน้องอยู่ภายในร้าน
หลินฟู่อินเลิกคิ้วขึ้น แล้วจึงไปหลบมุมอยู่หลังร้านขายของทอดเพื่อมองภาพนั้นด้วยสายตาเ็า
ผู้ดูแลฮวากำลังเดือดดาลเป็อย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยเสียงอันแข็งกร้าว “ข้าให้ข้าวให้น้ำพวกเ้า ให้ค่าจ้างพวกเ้า แล้วนี่คืองานที่พวกเ้าตอบแทนข้าหรือ? ข้าบอกให้พวกเ้าไปเรียกลูกค้ามา แต่ผ่านไปครึ่งวันแล้วกลับไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่โต๊ะเดียวเนี่ยนะ?”
และเพราะกลัวที่จะถูกได้ยิน ผู้ดูแลฮวาจึงมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขาแล้ว เขาจึงลดเสียงลง “พวกเ้าก็น่าจะรู้ บ่ายนี้พวกเราได้ลูกค้าเพียงยี่สิบโต๊ะเท่านั้น! หากเป็เช่นนี้ต่อไป พวกเ้าคงต้องกินหมอกแทนข้าวแน่นอน!”
แม้เขาจะลดเสียงลงแล้ว แต่เพราะหลินฟู่อินตั้งใจฟังอยู่ นางจึงยังได้ยินอยู่ดี
นางแค่นจมูก หึ! สมน้ำหน้าแล้ว!
“แล้วเ้าว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” ผู้ดูแลฮวาโกรธจัดจนดึงคอเสื้อของลูกน้องมาแล้วจ้องเขาเขม็ง “เ้าอยู่ข้างนอก ก็น่าจะได้ยินอะไรบ้างไม่ใช่หรือไง?”
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
แต่ใครมันจะกล้าพูดกัน!
เมื่อผู้ดูแลฮวาเห็นว่าลูกน้องของเขาเงียบไปแล้ว จึงยกมือขึ้นมาเพื่อเตรียมตบ หลินฟู่อินเห็นความป่าเถื่อนไร้อารยะของเขาเช่นนี้สายตาก็ยิ่งเ็า
ตอนที่พบกันครั้งแรก นางก็นึกว่าเขาเป็นักธุรกิจที่รู้จากมารยาทอยู่หรอก แต่มาถึงตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่ามันหน้าเนื้อใจเสือจริงๆ!
เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งถูกตบ ไหล่เขาจึงสั่น เงยหน้าขึ้น สีหน้าดูโศกเศร้าราวกับเพิ่งเห็นมารดาเสียไปต่อหน้า “นายท่านขอรับ อย่าตีข้าเลย ขอร้อง... ขอร้อง!”
“งั้นก็พูดออกมาสิ!” ผู้ดูแลฮวากัดฟัน
“ตอนแรกก็พอมีลูกค้าอยู่บ้าง แต่กลับมีลูกค้าอีกกลุ่มมาเชิญชวนลูกค้ากลุ่มนั้น บอกว่าภัตตาคารหลิวจี้เพิ่งออกอาหารจานใหม่มา จนตอนนี้ลูกค้าแทบจะอัดกันเข้าไปในร้านอยู่แล้ว ลูกค้าพวกนั้นจึงรีบตามไปต่อแถวด้วย...”
“บ้าที่สุด!” ผู้ดูแลฮวาผลักเสี่ยวเอ้อร์ตัวจ้อยทิ้งด้วยสองมือ แล้วคำรามด้วยเสียงต่ำ “ภัตตาคารหลิวจี้อีกแล้ว!” และเมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อร์ยังคงไอโขลกจนไหล่สั่นอยู่ เขาจึงมองเสี่ยวเอ้อร์ด้วยสายตาดุดัน “ต้องให้ข้าบอกอีกหรือ? รีบไปดูเสียสิว่ามันมีจานอะไรใหม่!”
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นว่าตนหนีห่างจากเ้านายใจดำผู้นี้ได้ เขาจึงรีบพยักหน้าแล้วออกวิ่งไปทันที
“ไอ้หมูโง่เอ๊ย!” เมื่อเห็นเขาวิ่งหนีหายไปแล้ว แต่ผู้ดูแลฮวาก็ยังไม่หายอารมณ์เสีย
หลินฟู่อินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็แสยะยิ้มออกมาอย่างเสียดสี “ผู้ดูแลฮวา เกมมันเพิ่งเริ่ม อย่ารีบตายเสียล่ะ!”
จากนั้นหลินฟู่อินจึงซื้อเมล็ดทานตะวันทอดมาสองอีแปะอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินไปยังจุดรอเกวียนเทียมลาพลางฮัมเพลงไปด้วยเบาๆ
“อ้าว ฟู่อิน ได้ยาเรียบร้อยแล้วหรือ?” ลุงหลิวหัวเราะออกมาเมื่อเขาเห็นนาง ฟู่อินจึงนึกขึ้นได้ว่านางบอกเขาไปว่านางมาที่โรงหมอเพื่อรับยา แต่ตอนนี้นางกลับไม่มียาในมือ และพูดตรงๆ นางลืมเื่นี้ไปเลย
นางจึงหยิบเอาเมล็ดที่ซื้อมาเมื่อครู่ขึ้นมายื่นให้ลุงหลิว “นี่คือผงยา ข้าเก็บมันไว้ในถุงน่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง นึกว่าต้องกลับไปเอาเสียแล้ว” ลุงหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วเขาจึงยื่นมือไปรับเมล็ดทานตะวันมาจากหลินฟู่อินอย่างสุภาพ
จากนั้นเขาจึงเล่าถึงข่าวลือที่ลอยมาเข้าหูให้หลินฟู่อินฟัง ซึ่งนางสนใจมาก
ลุงหลิวบอกว่าในแคว้นเป่ยหรงนั้นไม่มีเทียน เพราะมันเป็สินค้าที่มีแต่ขุนนางเท่านั้นที่จะมีเงินพอซื้อเทียนจากต้าเว่ยกลับไปใช้งานได้ ตอนนี้จึงมีตระกูลพ่อค้าที่ค้าขายเทียนมาหลายรุ่นคิดจะเปิดโรงผลิตในหมู่บ้านหูลู่
หลินฟู่อินคิดถึงความเป็อยู่ของผู้คนในเป่ยหรงดู การจะบอกว่าชาวเป่ยหรงส่วนมากโตมากับวัวและม้าก็ไม่ผิดนัก เพราะต้องใช้มูลวัวตากแห้งในการจุดไฟทั้งในการทำกับข้าวในตอนกลางวันและเพื่อให้แสงในยามค่ำคืน ดังนั้นแม้จะไม่มีเทียนก็มิได้มีปัญหาอะไรนัก
แต่ในเมื่อขุนนางและคนมีเงินในเป่ยหรงพอใจที่จะใช้เทียน เช่นนั้นแล้วธุรกิจขายเทียนมันก็คงไปได้จริงๆ
แต่นี่มิใช่สิ่งที่หลินฟู่อินสนใจ เพราะนางนึกขึ้นมาได้ว่าวัตถุดิบหนึ่งในการทำเทียนคืออิ้งจือซวน!
หากนางจำไม่ผิด อิ้งจือซวนถูกนำไปใส่ในเทียนเพื่อเพิ่มความอ่อนนุ่ม นั่นแปลว่าที่ต้าเว่ยมีอิ้งจือซวนใช้ด้วย หลินฟู่อินจึงยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ แล้วถามลุงหลิวไม่หยุดว่าพ่อค้าเ่าั้จะมาเปิดโรงผลิตเมื่อไร
ลุงหลิวนึกว่านี่เป็เพียงความใคร่รู้ของเด็กๆ เขาจึงเอียงคอแล้วหยุดคิด “ได้ยินมาว่าทางนั้นเช่าบ้านในทางตะวันตกของเมืองไว้เรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มประมาณเดือนหน้า แต่ข้าไม่ได้ยินรายละเอียดลึกๆ มา จะให้ข้าไปถามให้เ้าหรือไม่?”
หลินฟู่อินกลัวว่าจะไปกระตุกหนวดเสือเข้า นางจึงหัวเราะแล้วรีบบอกปัด “ข้าแค่สงสัยเ้าค่ะท่านลุง ไม่ต้องลำบากก็ได้”
แต่ที่จริงแล้ว นางอยากให้ลุงหลิวไปถามมาให้นางมากๆ
ลุงหลิวจึงกล่าวออกมา “ข้าไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว ไม่ลำบากหรอก” หลินฟู่อินยิ้มออกมา คิดในใจว่าลุงหลิวน่ารักจริงๆ แล้วจึงหยิบเอาเมล็ดทานตะวันออกมากำใหญ่ให้เขากินฆ่าเวลา
อิ้งจือซวน... นางคิดอย่างเริงร่า มีกันโหยวอยู่แล้ว ตอนนี้ได้อิ้งจือซวนมาเพิ่มอีก เช่นนี้จะทุ่นแรงไปได้มาก!
พี่สาวจะไปหาแล้วนะ!
ชาดหิมะหลอมก็ด้วย!
เพียงนึกถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวราคาถูกในยุคปัจจุบันเหล่านี้ ดวงตานางก็เป็ประกายขึ้นมาแล้ว เพราะนี่คือเงินทั้งนั้น... ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ ชาดทั้งสองอยู่ใกล้มือนางแค่เอื้อมแล้ว
นอกจากนี้ วันนี้นางยังได้อั่งเปาซองโตมาจากเถ้าแก่หลิวอีก เถ้าแก่บอกด้วยว่าเขาเพิ่มให้อีก ซึ่งนั่นหมายความว่ามันมีมากกว่าห้าร้อยตำลึงเงิน
นางต้องวางแผนใช้เงินก้อนนี้ให้ดี จะใช้ซื้อที่ดี หรือจะใช้เป็เงินหมุนสำหรับทำกิจการดี
หลินฟู่อินกลับถึงบ้านที่หมู่บ้านหูลู่ด้วยอารมณ์เริงร่า แล้วค่อยนำขาหมูผัดเจี้ยงไปให้บ้านสอง
พี่น้องหลินเฟินหลินฟางอยู่ที่บ้านพอดี นางจึงขอให้ทั้งสองไปช่วยนางเก็บดอกหอมหมื่นลี้จากหลังเขามาให้นาง
ดอกหอมหมื่นลี้สามารถนำมาใช้ทำน้ำหอมได้ และนางจะนำมันมาใช้ทำชาด นอกจากนี้ยังใช้เป็วัตถุดิบทำอาหารเช่นตั้นเกาได้ หรือนำไปตากแห้งเพื่อทำเป็ชาก็ได้เช่นกัน
มันมีประโยชน์มาก
สองพี่น้องไม่ถามอะไรและตอบตกลงทันที จากนั้นจึงคุยกับหลินฟู่อินเื่ที่จ้าวซื่อตั้งท้อง
“วันนี้ป้าใหญ่ก็ทะเลาะกับย่าอีกแล้ว ข้าวเที่ยงก็ไม่ยอมกิน เอาแต่นอนฮัมเพลงอยู่บนเตียง” หลินฟางเบ้ปากอย่างชิงชัง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสะใจ
เมื่อเห็นสีหน้าแฝงความสะใจนั้นแล้ว หลินเฟินจึงรีบดึงไหล่นาง “นั่นย่าเรานะ ต่อให้ไม่พอใจก็อย่าได้แสดงออกทางสีหน้า มิเช่นนั้นหากคนนอกมาเห็นแล้วจะถูกหาว่าอกตัญญูเอาได้นะ!”
“ก็ให้พูดไปสิ ขอให้ท่านแม่กับพวกเราสามพี่น้องได้ปลดปล่อยบ้างเสียหน่อยจะไม่ได้เลยหรือไงกัน? แล้วคนที่มีเื่ด้วยน่ะคือป้าใหญ่ ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย แค่พูดถึงก็ไม่ได้หรือ?” หลินฟางกล่าวอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นว่านางไม่สำนึก หลินเฟินจึงทำตาเหลือกใส่น้องสาวของนาง “พูดอะไรของเ้า ก็เ้ากำลังสะใจอยู่ชัดๆ!”
หลินฟู่อินถามต่อ “แล้วย่าเป็อะไรหรือไม่?”
แม้นางจะมิได้สนใจสุขภาพอู๋ซื่อมากนัก แต่นางกลัวว่าถ้าอู๋ซื่อล้มพับไปแล้ว พวกบ้านใหญ่จะหาภาระมาให้นางอีก
“จะเป็อะไรไปได้อย่างไรกัน?” หลินเฟินแค่นจมูก “ที่ต้องเจอก็มีแค่ป้าใหญ่ที่แกล้งป่วยแล้วเอาแต่นอนหายใจทิ้งไปวันๆ เท่านั้นเอง”
“ที่ตลกก็คือ ก่อนหน้านี้ป้าใหญ่เองก็เชื่อฟังนาง แต่ตอนนี้กลับหัวแข็งต่อต้านนางทุกคำ ไม่พอ ยังกล้าทะเลาะกับนางอีก ย่าจึงลากพี่ใหญ่มาเป็พวกด้วย แล้วโยนให้ไปดูแลป้าใหญ่ เป็ลูกคนโตแต่กลับต้องมาดูแลคนป่วยนี่นะ” หลินฟางหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ตอนนี้จ้าวซื่อสนเพียงแค่การหายใจทิ้งไปวันๆ เท่านั้น ส่วนหลินต้าหลาง... นางไม่สนอยู่แล้ว เพราะมั่นใจว่าอย่างไรครั้งนี้ก็สอบผ่านแน่ เช่นนั้นก็ให้ไปสร้างชื่อเสียงดีๆ ด้วยการแลคนป่วยดีกว่า
นางจึงบอกว่าการที่จะให้หลานคนโตไปรับใช้คนป่วยนั้นมันเป็เื่แน่นอนอยู่แล้ว และไม่กล่าวอะไรอีก
หมัดนี้ทำเอาอู๋ซื่อแทบกระอักเื ตอนนี้นางจึงไปอาละวาดใส่หลินต้าหลางด้วย นางไม่เพียงดุด่าเขา แต่จะให้เขาไปทำงานรอบบ้านด้วย
นางทำไปเพื่อที่หวังว่าจะให้จ้าวซื่อรู้สึกเ็ปบ้าง แต่จ้าวซื่อกลับเมินเฉย ไม่สนความเป็อยู่ของหลินต้าหลางเลยแม้แต่น้อย
หลินต้าหลางที่โดนไปเช่นนั้นจึงเดือดดาลขึ้นมา แล้วบอกว่าจะกลับไปอยู่กับซิ่วไฉชรา โดยอ้างว่าไปเพื่อเตรียมสอบ และมีคำถามที่อยากถามซิ่วไฉชราอยู่
“อย่าพูดเช่นนั้นสิ ท่านแม่น่ะ... ” หลินเฟินถอนหายใจ และมีท่าทีเหมือนอยากพูดอะไรอีก หลินฟู่อินจึงมองนางแล้วถามอย่างเป็กังวล “ป้าสองเป็อะไรไปหรือ?”
“ท่านแม่เห็นป้าใหญ่ท้องได้ด้วยวัยเช่นนั้น นางจึงรู้สึกแย่ขึ้นมาน่ะ” หลินฟางกล่าวอย่างรวดเร็ว “เพราะได้ยินมาว่าหากมีลูกไม่ได้ ก็จะมีไม่ได้ไปเลย แต่ก็มีพวกข้าแล้วแท้ๆ!”
หลินเฟินยกมือขึ้นมาง้าง “อย่าพูดเื่เช่นนั้นสิ แล้วอย่าไปพูดต่อหน้าท่านพ่อกับท่านแม่เชียว”
“อะไร จะตีข้าหรือ!” หลินฟางสะดุ้งแล้วชี้ใส่หลินเฟินพลางบ่น “คิดว่าข้าโง่หรือไงกัน?”
คำพูดคำจาเหล่านี้ไม่ดีเลย หลินฟู่อินได้แต่ถอนหายใจ
คงอีกสักพักกว่าฟ้าจะมืด ฟู่อินจึงยกถุงผ้าเก่าๆ ที่หลินเฟินให้นางมาแล้วตามสองพี่น้องไปหลังเขาเพื่อเก็บดอกหอมหมื่นลี้
ทั้งสามเก็บกลับมาได้หนึ่งถังใหญ่ก่อนจะกลับลงจากเขา เมื่อถึงตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หลินฟู่อินจึงบอกให้สองพี่น้องนำหอมดอกหมื่นลี้ไปเตรียมไว้กลางแดด ให้นานเท่าที่อากาศยังดี แล้วจึงแยกย้ายกันกลับ
เมื่อนางกลับถึงบ้าน ก็ได้พบย่าหลี่ที่กำลังเก็บผักสำหรับใช้ทำมื้อเย็นอยู่ หลินฟู่อินจึงพยายามเข้าไปช่วย
แต่ย่าหลี่หยุดนางไว้ ใบหน้าชรานั้นยิ้มออกมา “เ้าไปล้างไม้ล้างมือแล้วจัดการธุระของเ้าเถอะ”
หลินฟู่อินจึงยิ้มรับ ไปล้างมือ แล้วเข้าห้องไป
จากนั้นจึงหยิบเอาซองอั่งเปาออกมาจากถุงที่เอว หยิบเอาเงินออกมา แล้วนั่งนับด้วยรอยยิ้ม
“หนึ่ง สอง สาม... แปด!”
ฮ่าฮ่า ในนี้มีตั๋วแลกเงินทั้งหมดแปดใบ แต่ละใบมีค่าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ทั้งยังเป็ตั๋วแลกเงินใหม่ทั้งหมด
หลินฟู่อินยิ้มเคลิ้มจนตาหยี หากมิใช่เพราะกลัวว่าเงินจะสกปรกนางคงจูบตั๋วแลกเงินเหล่านี้สักหลายๆ ครั้งไปแล้ว
แม้จะร่ำรวยแล้วแต่ก็ยังทำท่าทีขี้งกป่าเถื่อนออกมาได้ ก็ใครใช้ให้นางบูชาเงินกันล่ะ!
แปดร้อยตำลึงเงิน หลินฟู่อินทิ้งร่างลงบนเตียงโดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากตั๋วแลกเงิน แขนขาเหวี่ยงไปมาด้วยความลิงโลด
ในใจนางคำนวณทรัพย์สินที่มีอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้นางมีบ้านหลังใหญ่ในเมืองหนึ่งหลัง ร้านอีกสอง มีเงินติดตัวอีกกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน ทั้งยังมีถั่วที่เก็บไว้รอเปลี่ยนเป็เงินเมื่อถึงเวลา รวมไปถึงไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสน…
และหากไม่มีอะไรผิดพลาด สิ้นปีนี้นางก็จะได้อั่งเปาซองใหญ่จากภัตตาคารหลิวจี้อีก
หากคำนวณง่ายๆ แล้ว ปีหน้านางจะมีเงินมากกว่าสามพันตำลึงเงิน!
ในต้าเว่ยนี้ หากมีที่สักร้อยหมู่ก็เรียกได้ว่าเป็เ้าที่แล้ว และเงินหนึ่งพันตำลึงเงินสามารถซื้อที่ได้ราวหนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยยี่สิบหมู่ หากว่าตามทฤษฎีนี้ ก็แปลว่านางกลายเป็เ้าที่รายย่อมๆ ได้แล้วมิใช่หรือ?
รู้สึกดียิ่งนัก!
ยิ่งหลินฟู่อินคิดเื่นี้มากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น จนเผลอหลับไปด้วยความสุขใจ
สุดท้ายแล้วจึงตกเป็หน้าที่ของย่าหลี่ที่ไปทำอาหารเย็นแล้วมาปลุกนาง
เมื่อทานอาหารเสร็จ ย่าหลี่จึงพานางกลับห้องเพราะคิดว่านางคงยังง่วงอยู่
หลินฟู่อินที่ได้นอนไปตื่นหนึ่งตาสว่างขึ้นจนหลับยาก แม้ย่าหลี่และน้องๆ จะหลับกันไปหมดแล้ว นางก็ยังคงกลิ้งไปกลิ้งมา
ความรู้สึกนี้ มันช่างสุดยอดนัก
นางกลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด จนกระทั่งได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากอีกฟากประตู “คุณหนูหลิน ไม่ทราบว่าจะช่วยเปิดประตูให้ได้หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้