ตอนที่ 6 ช่วยชีวิตท่านปู่
กลิ่นหอมกรุ่นของโจ๊กไข่ผสมมันเผือกอบอวลไปทั่วกระท่อมซอมซ่อ มันเป็กลิ่นแห่งชีวิตและความหวังที่ครอบครัวมู่ไม่ได้ััมานานแสนนาน มู่หร่วนชิงและมู่เจ๋ออวี่นั่งตาแป๋วจ้องมองหม้อดินเผาไม่วางตา น้ำลายสอจนแทบจะหยดลงพื้น ส่วนเหล่าผู้ใหญ่ แม้จะพยายามเก็บอาการ แต่แววตาที่จับจ้องไปยังหม้อโจ๊กนั้นก็บ่งบอกถึงความหิวโหยที่ไม่ต่างกัน
โจ๊กไข่มันเผือกชามนั้น แม้จะเป็เพียงอาหารธรรมดา แต่สำหรับตระกูลมู่ที่อดอยากมานาน มันกลับมีรสชาติราวกับอาหารจากสรวง์ กลิ่นหอมกรุ่นที่เกิดจากผงปรุงรสวิเศษและวัตถุดิบสดใหม่ ปลุกสัญชาตญาณความหิวโหยของทุกคนในบ้านให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่
มู่ชิงเหยียนตักโจ๊กใส่ชามกระเบื้องที่บิ่นจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม ยื่นให้ท่านย่าหลิวซื่อเป็คนแรก
“ท่านย่าเ้าคะ ทานเสียหน่อยเถิด ร่างกายจะได้มีเรี่ยวแรง”
หลิวซื่อรับชามโจ๊กมาด้วยมือที่สั่นเทา น้ำตาแห่งความตื้นตันคลอหน่วย นางมองหลานสาวคนโตด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กสาวที่อ่อนแอและใกล้ตาย บัดนี้กลับกลายสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดที่มอบความหวังให้แก่ครอบครัว
จากนั้นมู่ชิงเหยียนก็ตักให้ทุกคนตามลำดับ แม้กระทั่งมู่เฉิงเฟิงผู้เป็บิดา เขารับชามโจ๊กมาอย่างเงียบงัน ไม่กล้าสบตาบุตรสาว แต่กลิ่นหอมที่ยั่วยวนก็ทำให้เขายอมวางไหสุราลง และตักโจ๊กเข้าปากเป็ครั้งแรกในรอบหลายวันที่ไม่ได้แตะต้องข้าวปลาอาหาร
เมื่อทุกคนได้ลิ้มรสชาติของโจ๊กคำแรก ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง รสชาติที่กลมกล่อมและอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ไม่เคยได้ััมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย สร้างความอบอุ่นและพลังงานให้แก่ร่างกายที่อ่อนล้ามานาน ทุกคนกินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดชามอย่างรวดเร็ว แม้แต่หยดสุดท้ายก็ไม่เหลือ
“พี่ใหญ่... โจ๊กของท่านอร่อยที่สุดในโลกเลย!”
มู่เจ๋ออวี่ เอ่ยชมด้วยปากที่ยังเปื้อนคราบโจ๊ก ดวงตาของเขาเป็ประกายสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ความหิวโหยที่กัดกินเขามานานหลายวันได้ถูกแทนที่ด้วยความอิ่มหนำและความสุข แต่ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆ กำลังลิ้มรสความอร่อยของโจ๊กอย่างเต็มที่ มู่เจ๋ออวี่ก็พลันก้มหน้าลง...
เขาแอบเหลือบตามองรอยสักจางๆ ที่ข้อมือขวาของพี่สาวที่กำลังถือชามข้าวให้ท่านย่า มู่เจ๋ออวี่ นั้นั้แ่เด็กเขาเป็คนที่ช่างสังเกต เห็นอะไรแล้วไม่เคยลืม ไม่ว่าจะเป็เื่ราวเล็กๆ น้อยๆ หรือสิ่งของที่ซับซ้อนที่สุด เขาสามารถจดจำทุกอย่างได้ราวกับภาพถ่าย และแน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักพี่ใหญ่ดี... เพราะก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ไม่เคยมีปานหรือรอยสักใดๆ มาก่อน!
ความสงสัยปะทุขึ้นในใจของเขาอย่างรุนแรง... รอยสักรูปมีดผ่าตัด ที่อยู่บนข้อมือของพี่สาวมันคืออะไรกันแน่? และทำไมมันถึงได้ไปอยู่บนข้อมือของพี่ใหญ่ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากความตายได้?
ใบหน้าเล็กๆ ของเขาที่กำลังก้มหน้ากินโจ๊กอยู่ฉายแววความสับสนและประหลาดใจอย่างชัดเจน เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงกินโจ๊กต่อไปอย่างเงียบๆ แต่ภายในจิตใจของเขากลับเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ...
มู่ชิงเหยียนยิ้มอย่างอ่อนโยน ลูบศีรษะน้องชายเบาๆ
"ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ ในหากไม่อิ่มก็ตักเพิ่มได้ในหมอยังมี" มู่ชิงเหยียนเอ่ยตอบน้องชายผู้ผอมแห้งด้วยความเอ็นดู
ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับโจ๊กมื้อแรกที่แสนอร่อย มู่ชิงเหยียนก็พลันสังเกตเห็น ซูิเสวี่ย มารดาของนาง... นางก้มหน้านิ่ง กินโจ๊กอย่างเงียบๆ ราวกับกำลังครุ่นคิดหรือไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่ มุมปากที่ซีดเซียวของนางขยับเบาๆ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
มู่ชิงเหยียนรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง นางจ้องมองมารดาด้วยสายตาที่สงสัย ดวงตาของซูิเสวี่ยที่เคยว่างเปล่าและเลื่อนลอยในยามที่ความจำเสื่อม บัดนี้กลับมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป มันไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป แต่เป็ เหมือนเงาสีทองเลือนลาง ที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่เพียงชั่ววูบมันก็หายไปอีกครั้ง
นางพยายามจะหันกลับไปมองมารดาอีกครั้ง แต่บัดนี้ดวงตาของซูิเสวี่ยก็กลับไปว่างเปล่าเหมือนเดิม ราวกับว่าเมื่อครู่เป็เพียงภาพลวงตาที่นางสร้างขึ้นมาเอง และเพราะนางไม่้าให้ใครรู้นางจึงทำให้ดวงตากลับมาเป็ปกติ??? ท่านแม่เป็อะไรหรือเปล่านะ?
หรือว่าท่านแม่จะจำได้แล้ว??
คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของมู่ชิงเหยียน แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาที่จะหาคำตอบในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ทุกคนได้กินอาหารให้อิ่มให้มีร่างกายที่แข็งแรงเสียก่อนและนางจะต้องหาทางรักษาอาการป่วยของมารดาให้หายขาด!
แต่แล้ว... ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน
“แค่ก... แค่ก... แค่ก!”
เสียงไออย่างรุนแรงดังมาจากมุมห้องที่ปู่ของนางมู่หรงเจ๋อ นอนซมอยู่ ร่างกายที่ชราและผ่ายผอมของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดขาวจนน่ากลัว ริมฝีปากแห้งแตกและเริ่มเปลี่ยนเป็สีคล้ำ
“ท่านพี่! ท่านพี่เป็อะไรไป!”
ท่านย่าหลิวซื่อรีบถลาเข้าไปประคองสามีด้วยความใ มู่ชิงเหยียนรีบวิ่งตามเข้าไปทันที ในฐานะศัลยแพทย์ แค่มองปราดเดียว นางก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่อาการไอธรรมดา นี่คืออาการของโรคปอดอักเสบเรื้อรังที่กำเริบอย่างรุนแรง และกำลังจะนำไปสู่ภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว!
“ท่านพ่อเป็โรคหอบหืดเรื้อรังมานานแล้ว อากาศเปลี่ยนทีไรก็จะมีอาการกำเริบทุกครั้ง แต่ไม่เคยหนักเท่านี้มาก่อน”
มู่หลิวเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน ขณะที่มู่ซินเหยาและมู่ฮุ่ยจูพยายามช่วยกันพัดวีให้ท่านพ่อของพวกนาง
ในยามวิกฤต มู่เฉิงเฟิง ที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากพิษสุราด้วยอาหารและยาของบุตรสาว ก็พุ่งเข้ามาหาผู้เป็บิดาด้วยสัญชาตญาณของหมอที่เคยเป็เลิศ เขารีบจับชีพจรของท่านพ่อมู่หรงเจ๋อ ทันทีใบหน้าของเขายิ่งซีดเผือดลงเรื่อยๆ ราวกับเืในกายเหือดหายไปหมด
“แย่แล้ว ชีพจรเต้นอ่อนและเร็วผิดปกติ ลมหายใจก็ติดขัดอย่างรุนแรง ต้องใช้เข็มเงินเปิดจุดลมปราณฉุกเฉิน!”
เขารีบลุกขึ้นไปรื้อค้นหีบไม้เก่าๆ ที่ไม่ได้แตะต้องมานานหลายปี มือที่สั่นเทาของเขากำลังหาอาวุธคู่กายที่เคยใช้ชุบชีวิตคนมานักต่อนัก แต่แล้วมือของเขาก็ชะงักงัน เข็มเงินชุดสุดท้ายของเขาถูกขายไปเพื่อแลกกับสุราเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว!
ความสิ้นหวังฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของอดีตหมอหลวงอีกครั้ง แววตาที่เพิ่งจะกลับมามีประกายความหวังบัดนี้กลับมืดดับลงอย่างสิ้นเชิง เขาทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง ร่างกายสูงใหญ่ที่เคยแข็งแกร่งดูเล็กจ้อยลงถนัดตา
“จบสิ้นแล้ว ข้ามันเป็ลูกอกตัญญู... แม้แต่บิดาของตัวเองก็รักษาไม่ได้…”
เสียงพึมพำนั้นเต็มไปด้วยความเ็ปและสำนึกผิด มันคือาแในใจที่ฝังลึกที่สุดของเขา และบัดนี้มันกำลังถูกตอกย้ำด้วยชีวิตของผู้เป็บิดาที่กำลังจะจากไป...
“ยังไม่จบ!”
เสียงเด็ดเดี่ยวของมู่ชิงเหยียนดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล นางคุกเข่าลงข้างกายท่านปู่ วางมือลงบนหน้าอกเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอด
“ท่านปู่เป็โรคปอดอักเสบเฉียบพลัน มีเสมหะอุดกั้นหลอดลมจำนวนมาก หากไม่รีบนำเสมหะออกมา ท่านปู่อาจจะขาดอากาศหายใจได้!”
“แล้วจะทำอย่างไรเล่า! เราไม่มีเครื่องมืออะไรเลย!” หลิวซื่อร้องไห้จนแทบจะขาดใจ
“ข้ามีวิธี!” มู่ชิงเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่น
“ท่านย่า ท่านอาทุกคน ช่วยข้าต้มน้ำร้อนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้! ท่านพ่อ ข้า้าให้ท่านช่วยจับท่านปู่ให้นอนตะแคง และเตรียมผ้าสะอาดไว้มากๆ!”
แม้จะยังงุนงง แต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและเฉียบขาดของนาง ทุกคนก็ทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่าต้องเชื่อมั่นในตัวเด็กสาวผู้นี้
มู่ชิงเหยียนรอจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการต้มน้ำและหาผ้า นางแอบหลบไปยังมุมมืดของกระท่อม ตั้งสมาธิอย่างรวดเร็ว...
‘ข้า้าเข้ามิติ... ด่วนที่สุด!’
โลกหมุนคว้าง และในพริบตานางก็มายืนอยู่ในห้องผ่าตัดที่คุ้นเคย นางไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว รีบตรงไปยังตู้เก็บยา คว้ายาปฏิชีวนะชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์กว้าง ยาขยายหลอดลม และยาละลายเสมหะมาอย่างละหลอด พร้อมกับเข็มฉีดยาและสายยางดูดเสมหะขนาดเล็กที่สุด
“ช่วยชีวิตหนึ่งครั้ง... เปิดประตูได้หนึ่งเค่อ...” เสียงในหัวของนางเตือนสติ
นางรู้ดีว่านี่คือโอกาสแรกของนาง! การรักษาท่านปู่ครั้งนี้จะเป็การพิสูจน์ทุกสิ่ง! นางบรรจุยาใส่เข็มฉีดยาอย่างคล่องแคล่ว แล้วซ่อนทุกอย่างไว้ในแขนเสื้อที่กว้างของชุดโบราณ ก่อนจะรีบกลับออกมาจากมิติ ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่ถึงสิบวินาทีในโลกภายนอก
“น้ำร้อนได้แล้ว!”
มู่หลิวเอ๋อร์ะโบอก
“ดีมาก!” มู่ชิงเหยียนสั่งการต่อ
“นำผ้าชุบน้ำร้อนแล้วบิดให้หมาดที่สุด นำมาประคบบริเวณหน้าอกและหลังของท่านปู่ ความร้อนจะช่วยให้หลอดลมขยายตัวและเสมหะอ่อนลง!”
จากนั้นนางก็หันไปทางบิดา
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย!”
นางให้บิดาช่วยจับท่านปู่ให้อยู่ในท่านอนตะแคงที่เหมาะสม ก่อนที่นางจะใช้จังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจกับการประคบร้อน แอบฉีดยาปฏิชีวนะและยาขยายหลอดลมเข้าที่กล้ามเนื้อสะโพกของท่านปู่อย่างรวดเร็วและแเีที่สุด ความรู้ด้านกายวิภาคทำให้นางฉีดยาได้อย่างแม่นยำและเ็ปน้อยที่สุด
ขั้นตอนสุดท้าย... คือการดูดเสมหะ
“ท่านอาทุกคน ช่วยจับท่านปู่ไว้ให้แน่นที่สุด!”
มู่ชิงเหยียนสั่งเสียงเฉียบขาด ก่อนจะหยิบสายยางเส้นเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ออกมา นางอธิบายกับทุกคนว่ามันคือหลอดไม้ไผ่พิเศษที่นางเคยเรียนรู้จากตำราแพทย์เก่าๆ ของบิดา นางค่อยๆ สอดสายยางเข้าไปในปากของท่านปู่อย่างนุ่มนวลแต่แม่นยำ อาศัยความรู้ความชำนาญในการใส่ท่อช่วยหายใจ ค่อยๆ นำทางสายยางผ่านลำคอลงไปยังหลอดลม จากนั้น... นางก็ใช้ เข็มดูดสุญญากาศขนาดเล็กที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ...
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนในครอบครัวอย่างถึงขีดสุด! มู่ชิงเหยียนกดปุ่มเล็กๆ บนเข็มดูดนั้น! ทันใดนั้น... เสียง 'ฮึบ!' ดังขึ้นเบาๆ เสมหะที่เหนียวข้นและอุดตันทางเดินหายใจของท่านปู่ก็ถูกดูดเข้าไปในกระบอกเข็มอย่างรวดเร็ว!
ภาพนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนในครอบครัวอย่างถึงขีดสุด! การกระทำที่ดูเหมือนเป็การใช้ของวิเศษในสายตาคนทั่วไป แต่มันคือ จรรยาบรรณแพทย์ที่ฝังลึกอยู่ในจิติญญาของนาง!
มู่ชิงเหยียนกดปุ่มเล็กๆ อีกครั้ง เสมหะสีเหลืองข้นปนเืก็ถูกดันออกมาจากเข็มอย่างง่ายดาย เธอทำซ้ำอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเสียงหายใจของท่านปู่เริ่มโล่งขึ้น เสียงครืดคราดในลำคอค่อยๆ หายไป ใบหน้าที่เคยเขียวคล้ำเริ่มกลับมามีสีเืฝาดอีกครั้ง
“แค่ก... แค่ก...”
มู่หรงเจ๋อ ไอออกมาอีกสองสามครั้ง แต่คราวนี้เป็การไอที่ดูมีพลังและสามารถขับเสมหะที่เหลืออยู่ออกมาได้เอง ลมหายใจของเขากลับมาเป็ปกติอีกครั้ง ก่อนที่เปลือกตาที่หนักอึ้งจะค่อยๆ ปิดลง และเข้าสู่การหลับใหลอย่างสงบด้วยความอ่อนเพลีย เพราะฤทธิยาที่มู่ชิงเหยียนได้ฉีดให้ก่อนหน้านี่
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งกระท่อม ทุกคนต่างยืนนิ่งอึ้งราวกับถูกสาปให้เป็หิน พวกเขามองภาพเด็กสาวร่างบางที่ แต่แววตากลับเปล่งประกายแห่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจ
"ร... รอดแล้ว... ท่านพ่อ / ท่านปู่ของเ้ารอดแล้ว!"
เสียงของ หลิวซื่อ สั่นเครือด้วยความดีใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด นางทรุดตัวลงร้องไห้โฮด้วยความโล่งใจที่สามีรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด มู่หลิวเอ๋อร์ และเหล่าอาสาวที่ยืนดูอยู่ก็ต่างพากันทรุดตัวลงร้องไห้ด้วยความดีใจ พวกเขากอดกันกลมและขอบคุณ์ที่ได้ส่งปาฏิหาริย์มาช่วยเหลือครอบครัว
ในขณะที่ทุกคนกำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความสุข มู่เฉิงเฟิง กลับยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็หิน เขามองบุตรสาวของตนเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกตะลึง ทึ่ง และละอายใจอย่างสุดซึ้ง! วิธีการรักษาที่แปลกประหลาดแต่ได้ผลชะงัดเช่นนี้... เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อนในชีวิต ความรู้ทางการแพทย์ที่เขาเคยภาคภูมิใจ บัดนี้ดูด้อยค่าไปในทันทีเมื่อเทียบกับการกระทำของบุตรสาว
เขาที่เคยเป็ถึงอดีตหมอหลวงมือฉกาจผู้เคยช่วยชีวิตคนมานักต่อนัก บัดนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ค่า เขาจมอยู่กับความสิ้นหวังและความละอายที่แม้แต่บิดาของตนเองก็ยังไม่อาจช่วยเหลือได้ แต่บุตรสาวของเขา เด็กสาวที่เพิ่งฟื้นขึ้นจากความตายกลับสามารถทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้!
ภาพของมู่ชิงเหยียนที่กำลังเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายแห่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ทำให้มู่เฉิงเฟิงต้องก้มหน้าลงอย่างช้าๆ เขาหลับตาลงเพื่อซ่อนหยาดน้ำตาแห่งความละอาย...
เมื่อเหตุการณ์อันน่าตื่นใผ่านพ้นไป ทุกคนก็สามารถหายใจหายคอได้สะดวก พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง แต่สำหรับ มู่ชิงเหยียน นั้น ตอนนี้จิตใจของนางจดจ่ออยู่กับมิติของนางต่างหาก เพราะตอนนี้เท่ากับว่านางสามารถทำตามเงื่อนไขของประตูบานนั้นได้แล้ว ในตอนนี้เท่ากับว่านางมีเวลา 1 เค่อ หรือ 15 นาที ในการที่จะเข้าไปในประตูบานนั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยนางก็รีบเข้าไปในห้องทันที และรีบเข้าไปในมิติทันที
แต่สิ่งที่นางไม่ได้สังเกตเห็นก็คือ ในห้องของนางนั้นไม่ได้มีแค่นางเท่านั้น แต่ยังมี ดวงตาเล็กๆ คู่หนึ่ง ที่กำลังจ้องมองดูทุกการกระทำของนางอย่างไม่กะพริบตา!
**** ทำไม ไม่ดูก่อนจะเข้ามิติหล่ะ มีคนเห็นแล้วเนี่ย ใครกันนะ *****
