หลังจากทานอาหารเช้าแสนอร่อยที่จวนสกุลหงแล้ว ลู่เต้าก็มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองเพียงลำพังเพื่อสืบหาความลับทะเลสาบัทมิฬ
เสื้อผ้าที่จวนสกุลหงเตรียมไว้ให้แขกคนสำคัญนั้นสะดุดตาเกินไป ไม่เอื้อต่อการลอบเคลื่อนไหวอย่างลับๆ พอดีกับที่เสื้อผ้าชุดเดิมถูกนำไปซักจนสะอาดแล้ว ลู่เต้าจึงเปลี่ยนกลับมาเป็ชุดดำเหมือนเดิม
ตามแผนที่วางไว้ เดิมทีลู่เต้าควรจะพาไป๋เสียไปที่ทะเลสาบัทมิฬในตอนนี้ เพื่อดูว่าก้นทะเลสาบมีทางเข้าซากปรักหักพังซ่อนอยู่หรือไม่
แต่ระหว่างที่เดินผ่านตลาดอันคึกคัก กลุ่มคนที่มุงดูอะไรบางอย่างก็ดึงดูดสายตาลู่เต้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงเดินเข้าไปมุงดูด้วย และก็เห็นว่าที่นี่ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัดยิ่ง
เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ ถึงกับทำให้ผู้คนมากมายขนาดนี้หยุดดูได้ เขาฝ่าฝูงชนเข้าไปดูอย่างยากลำบาก พบว่าเป็เพียงแผงหมากรุกข้างทางเท่านั้น
เ้าของแผงเป็ชายร่างท้วมหัวโล้นฟันทอง ผู้คนต่างเรียกว่าเ้าคลั่งหมากรุก ปกติเขามักจะหาเลี้ยงชีพด้วยการพนันหมากรุก และบางครั้งก็จะวางหมากล่อให้คนอื่นติดกับ แต่ชาวเมืองัทมิฬส่วนใหญ่ล้วนเคยตกหลุมพรางกลของเขามาแล้ว เขาจึงหลอกได้แค่คนต่างถิ่นที่ไม่ประสีประสาเท่านั้น
ประโยคแรกที่ลู่เต้าได้ยินหลังจากเบียดตัวออกมาจากฝูงชนก็คือ “เ้าคลั่งหมากรุกโชคดีชะมัด! ดันมาเจอโจวเทียนหยวนเข้าให้!”
“แพ้สามสิบตารวด! โจวเทียนหยวนนี่ดื้อด้านจริงๆ”
“วันนี้เ้าคลั่งหมากรุกคงจะโกยเงินเข้ากระเป๋าไม่น้อย”
เ้าคลั่งหมากรุกเอ่ยถามชายชราผู้หุนหันที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกระดานหมากรุกด้วยท่าทางพึงพอใจ “เป็อย่างไรบ้าง คิดออกหรือยังว่าจะเดินหมากอย่างไรต่อ”
“ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว อย่าเพิ่งมากวนใจข้า!” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่มันเสียงของอาจารย์...!” ไป๋เสียเอ่ย
หัวใจลู่เต้าพลันกระตุก เมื่อคืนเขายังรู้สึกผิดไม่หายที่ถูกเฉายวนิจับได้ก็รีบเอ่ยด้วยความร้อนรน “รีบไปกันเถอะ ก่อนที่จะถูกเขาพบเข้า”
ลู่เต้าหันหลังจะจากไป ทว่ากลับถูกไป๋เสียรั้งไว้ “ช้าก่อน”
“มีอะไรหรือ”
“ถึงแม้ว่าอาจารย์จะมีฝีมือสูงส่งที่สุด แต่กลับมีจุดอ่อนไม่ค่อยรู้ทันคนอื่น ขอเพียงข้าควบคุมกลิ่นอายให้ดี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบเข้าหรอก”
แต่ลู่เต้าก็ยังคงไม่ค่อยสบายใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าไป๋เสียยืนกรานจะอยู่ต่อ เขาก็ได้แต่หยุดฝีเท้าดูโจวเทียนหยวนเล่นหมากรุกอยู่ด้านหลัง
เห็นได้ชัดว่าโจวเทียนหยวนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาเกาหูเกาศีรษะครุ่นคิดการเดินหมากรุกที่ถึงทางตันแล้วอย่างหนัก คิดเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าจะเดินหมากต่ออย่างไร
เ้าคลั่งหมากรุกที่ได้เปรียบก็เอ่ยเร่งเร้า “เร็วเข้า! เ้าคิดมาเกือบเค่อแล้ว”
โจวเทียนหยวนขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะวางมือบนกระดานหมากรุกแล้วเอ่ยลอยๆ “ใกล้แล้ว! ใกล้แล้ว!”
เ้าคลั่งหมากรุกบ่นไม่สบอารมณ์ “เร็วหน่อย ถ้าคิดไม่ออกก็ยอมแพ้เสียสิ จะมัวรีรออะไรอีก!”
“อะฮ่า!”
โจวเทียนหยวนไม่สนใจคำพูดของเ้าคลั่งหมากรุกแม้แต่น้อย เขายิ้มดีใจ ก่อนจะหยิบหมากรุกขึ้นมาวางลงบนกระดาน และนั่นคือคำตอบที่เขาใช้เวลาครุ่นคิดนานเกือบหนึ่งเค่อ
“กินขุน” โจวเทียนหยวนเอ่ยด้วยท่าทีมั่นใจ
“คราวนี้ถึงตาเ้าที่ต้องปวดหัวบ้างแล้ว” เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
ไป๋เสียหัวเราะ “ผ่านไปสิบปี ฝีมือการเล่นและมารยาทบนกระดานหมากรุกของเขาก็ยังแย่เหมือนเดิม ช่างเป็นักเลงหมากรุกเสียจริงๆ”
“นักเลงหมากรุกหรือ” ลู่เต้าถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ก็คือคนที่มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมบนกระดานหมากรุกเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย”
เมื่อเผชิญหน้ากับการรุกไล่ของโจวเทียนหยวน เ้าคลั่งหมากรุกก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่เหลือบมอง แล้วหยิบหมากรุกขึ้นมาวางลงอย่างสบายๆ “คราวนี้ถึงตาข้ากินขุน แต่ข้าขอกินเรือของเ้าด้วย! เหอะๆ ขออภัยด้วย!”
โจวเทียนหยวนพ่นน้ำชาออกมาทันใด เขามองกระดานหมากรุกด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ คำตอบที่เขาใช้เวลาครุ่นคิดเกือบเค่อ กลับถูกแก้เกมได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ!
บนมือเขาเหลือเรือเพียงตัวเดียวที่ใช้บุกได้ หากถูกเ้าคลั่งหมากรุกกินไป ถึงแม้จะปกป้องขุนเอาไว้ได้ แต่เขาก็ไร้หนทางบุกโจมตีอีก นี่เท่ากับว่าได้พ่ายแพ้ไปแล้ว
“อืม...” โจวเทียนหยวนเริ่มครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขอีกครั้ง เขากระดิกขาอย่างกระวนกระวายใจโดยไม่รู้ตัว
“ยอมแพ้เถอะ อย่าเสียเวลาเลย!” เมื่อเ้าคลั่งหมากรุกเห็นว่าตนเองได้เปรียบแล้วก็เอ่ยขึ้น
“ไม่นับ! ไม่นับ! ขอย้อนได้หรือไม่! ข้าขอย้อนหมาก!” โจวเทียนโบกมือ พลางเลื่อนหมากรุกของทั้งสองฝ่ายกลับไปที่เดิม
ผู้คนที่มุงดูต่างก็หัวเราะกับท่าทางเอาแต่ได้ของโจวเทียนหยวน เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณ
เมื่อเห็นเช่นนั้น เ้าคลั่งหมากรุกก็เดินหมากกลับไปที่เดิม แล้วเอ่ยเซ็งๆ “ท่านผู้เจริญ สุภาษิตกล่าวว่า ‘บุรุษลั่นวาจาแล้วมิอาจคืนคำ’ ทุกๆ ตาเ้าขอย้อนหมากหลายสิบครั้ง ยิ่งเกมนี้เกือบยี่สิบครั้งแล้ว! ข้าไม่รู้จะพูดกับเ้าอย่างไรแล้ว”
บางคำพูดนั้นต่อให้ตำหนิตรงๆ ก็ไม่ใช่เื่ดี โจวเทียนหยวนก็รู้สึกว่าตนเองทำเกินไป จึงยอมแพ้แต่โดยดี แล้ววางเงินหนึ่งตำลึงลงบนกระดานหมากรุกโดยไม่เต็มใจ “ยอมแพ้ก็ยอมแพ้! แล้วมันจะทำไมเล่า”
ครั้นตรวจสอบถุงเงินก็พบว่าเงินเกลี้ยงแล้ว โจวเทียนหยวนที่ไม่มีเงินลงเล่นอีกต่อไปจึงได้แต่ลุกออกไปอย่างขุ่นเคือง ก่อนไปก็ยังไม่ลืมทิ้งท้าย “อย่าเพิ่งหนีไปไหนเล่า! ข้าจะกลับไปเอาเงิน!”
เ้าคลั่งหมากรุกดูออกตั้งนานแล้วว่าโจวเทียนหยวนเงินหมดแล้ว จึงได้แต่ขอเล่นใหม่ในตาสุดท้าย ใจเขาภาวนาให้โจวเทียนหยวนจากไปเร็วๆ และแสร้งเอ่ยด้วยท่าทีเสียดาย “ตกลง! ข้ารอเ้าอยู่ที่นี่!”
โจวเทียนหยวนผลักฝูงชนออกไปด้วยความโมโห เ้าคลั่งหมากรุกเห็นว่ามีผู้คนมุงดูมากมาย นี่เป็โอกาสอันดีที่จะหาเหยื่อรายต่อไป เขาจึงฉวยโอกาสนี้ยืนขึ้นป่าวประกาศกับฝูงชน
“เชิญ เชิญ! มีใครอยากท้าทายข้าอีกหรือไม่ หากท่านชนะ ข้าให้เงินสิบสองตำลึง หากข้าชนะท่านจ่ายเพียงหนึ่งตำลึงก็พอ! มีใครอยากท้าทายข้าหรือไม่”
เ้าคลั่งหมากรุกล่อใจด้วยเงื่อนไขอันน่าดึงดูด มีหลายคนในฝูงชนที่รู้การเล่นหมากรุกคิดอยากจะท้าทาย
ถึงแม้ว่าชายชราเมื่อครู่จะดูโง่งม แต่สำหรับฝีมือการเล่นหมากรุกของเ้าคลั่งหมากรุกแล้ว ทุกคนต่างก็รู้กันดี ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะะโอย่างไร หลังจากโจวเทียนหยวนจากไป ก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาท้าทาย
เพื่อกระตุ้นความโลภของผู้ชม เ้าคลั่งหมากรุกจึงนำเงินที่เพิ่งชนะโจวเทียนหยวนมาเป็เดิมพัน แล้วประกาศต่อหน้าธารกำนัล “เอาเถิด! ในเมื่อทุกคนไม่มีท่าทีใดๆ ข้าจะเพิ่มเงินเดิมพัน! หากชนะ เงินพวกนี้เป็ของท่านทั้งหมด! หากแพ้ ขอเพียงจ่ายหนึ่งตำลึงก็พอ!”
“เป็อย่างไรบ้าง” เ้าคลั่งหมากรุกเผยอรอยยิ้มให้ฝูงชน “แค่เล่นหมากรุกเท่านั้น คุ้มค่ามากไม่ใช่หรือ”
ผู้คนมากมายต่างก็สนใจถุงเงินที่ดูหนักอึ้งนั้น แต่ด้วยความที่ตนมิได้เก่งหมากรุก จึงล้มเลิกความคิดไปในที่สุด
ยังคงไร้วี่แววของผู้ท้าชิงคนต่อไป เมื่อฝูงชนที่ตั้งใจมาดูความสนุกสนานเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็พากันแยกย้ายไป จากที่เคยมีผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด บัดนี้ก็กลายเป็อดีตไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังทยอยกันจากไป เ้าคลั่งหมากรุกที่้ากู้คืนความนิยมที่กำลังลดลงจึงได้แต่ควานหาเป้าหมายรายต่อไป ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ขอแค่ทำอะไรบางอย่าง พวกเขาก็จะยังคงดูอยู่ ยิ่งคนดูมากเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสหลอกคนได้มากขึ้นเท่านั้น
“เ้าก็แล้วกัน!” เขามองเห็นคนเดินผ่านคนหนึ่งดูซื่อๆ
และแล้วก็เป็ลู่เต้านั่นเองที่ถูกดึงออกมาจากฝูงชน!
ลู่เต้ายังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เ้าคลั่งหมากรุกก็กดเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ และจัดเรียงหมากรุกพลางกล่าวว่า “เชิญเลย! น้องชาย! หากเ้าชนะ เงินบนโต๊ะทั้งหมดนี้เป็ของเ้า!”
ลู่เต้ามองถุงเงินที่พองโตด้วยความโลภ “จะ...จริงหรือ ข้าเอาไปได้ทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ”
“แต่ถ้าเ้าแพ้ เ้าต้องจ่ายให้ข้าหนึ่งตำลึง เข้าใจหรือไม่” เ้าคลั่งหมากรุกยื่นมือออกไปอย่างนอบน้อม “เชิญเ้าก่อนเลย”
“โอ้? ไม่คิดเลยว่าเ้าจะเล่นหมากรุกเป็ด้วย” ไป๋เสียมองลู่เต้าด้วยความประหลาดใจ
“แต่ก่อนท่านปู่มักจะเล่นหมากรุกกับพ่อหวังเหล่ยอยู่บ่อยๆ ข้าก็ยืนดูอยู่ข้างๆ รู้กฎกติกาทั้งหมด! การเล่นหมากรุกก็เหมือนกับการล่าสัตว์ ขอเพียงทำด้วยความมุ่งมั่น ก็ไม่วายประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!” ลู่เต้าหยิบหมากรุกขึ้นมาหนึ่งตัวอย่างมั่นใจ แล้ววางลงไปบนกระดานหมากรุก
หมากรุกกระทบกระดาน ทุกคนต่างตกตะลึง บรรยากาศพลันเงียบสงัดไป
ไป๋เสียเบิกตากว้าง
ในดวงตาของเ้าคลั่งหมากรุกฉายแววประหลาดใจ เขามองกระดานหมากรุกด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ชมคนอื่นๆ ต่างก็ตะลึงกับการเดินหมากที่แปลกประหลาดของลู่เต้า พวกเขาต่างกระซุบกระซิบกัน เสียงเบาๆ ล้วนดังขึ้นเป็ระยะๆ
“เ้าคิดอย่างไรกับการเดินหมากเช่นนี้” ลู่เต้าเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมั่นใจ
“เ้าเพิ่งเคยเล่นหมากรุกเป็ครั้งแรกหรือ” หลังจากได้สติกลับมา เ้าคลั่งหมากรุกจึงถามอย่างระมัดระวัง
ลู่เต้าใจนรีบถามกลับ “เ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าเปิดแผงหมากรุกมานานหลายสิบปี เพิ่งเคยเห็นคนเดินขุนเป็ตัวแรกก็วันนี้แหละ”
“เอ๊ะ?”
