หลังจากขึ้นเวทีไปแล้ว และกรรมการเพิ่งจะถามไปว่าพร้อมหรือยังได้มันไร ยังไม่ได้ประกาศเริ่มการต่อสู้เลย สิงหงอวี้ก็โคจรพลังิญญาในกาย ก่อให้เกิดเมฆขึ้นที่เท้า แล้วร่างกายก็ลอยขึ้นมาในอากาศ
‘เมฆลอยตามใจ’ วิชาิญญาระดับเหลืองขั้นล่าง
หลายคนรู้จักวิชาิญญานี้ดี แต่มีน้อยคนนักที่จะฝึกกัน เพราะวิชาลอยเมฆตามใจนี้ค่อนข้างไร้ประโยชน์ ประการแรกต้องใช้พลังิญญาอย่างต่อเนื่อง ประการที่สองความสูงในการบินสูงสุดก็สูงแค่เพียงยี่สิบจั้งเท่านั้น และความเร็วก็ค่อนข้างช้าอีก นักยุทธ์ระดับสูงส่วนใหญ่วิ่งอย่างสุดกำลังบนพื้นยังทำความเร็วได้มากกว่าวิชาเมฆลอยตามใจที่บินอยู่บนท้องฟ้าเสียด้วยซ้ำ
แต่ในเวลานี้สิงหงอวี้ได้ขึ้นไปเหยียบเมฆ ลอยขึ้นไปในอากาศ ซึ่งทำให้บรรดาศิษย์ที่เข้าร่วมการท้าชิงพากันตาเบิกกว้างทีละคน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของเซียวหลิงอวิ๋นคืออะไร? ความเร็ว ความเร็วที่รวดเร็วราวกับภูตผีปีศาจคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวกันมากที่สุด! ด้วยพลังระดับผู้ใช้พลังิญญาขั้นต้นของพวกเขา หากไร้ซึ่งวิชาตัวเบาในระดับสูงๆ แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีของเซียวหลิงอวิ๋นบนเวทีประลองเล็กๆ นี้ได้แน่ เพราะว่าความเร็วของอีกฝ่ายนั้นเหนือกว่าพวกเขาทุกคนมาก
เมื่อถูกอีกฝ่ายบุกเข้าประชิดตัว วิชาิญญาที่กำลังจะปล่อยออกมาก็จะสูญเสียพลังที่มีอยู่แต่เดิมไปทันที ราวกับถูกทำให้กลับไปสู่ระดับนักยุทธ์ นี่คือความเป็จริงที่ผู้ท้าชิงทั้งสองคนก่อนหน้าต้องพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วและน่าสลดอย่างสุดๆ พวกเขาถูกทำให้ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายก่อนที่จะได้โชว์ความสามารถและใช้วิชาิญญาออกมาเสียอีก
หากลอยตัวในอากาศได้ ด้วยพลังยุทธ์ระดับนักยุทธ์ของเซียวหลิงอวิ๋นที่ยังไม่ได้เปิดเส้นลมปราณนั้น ยิ่งเป็ไปไม่ได้เลยที่จะมีพลังที่ทำให้ลอยตัวบนขึ้นไปบนฟ้าได้ แล้วความได้เปรียบด้านความเร็วนี้ก็จะหายไปในทันที และเมื่อไม่ได้เปรียบด้านความเร็วแล้ว ก็จะไม่มีการบุกเข้าประชิดตัวของอีกฝ่ายอีก ในขณะที่ตัวเองที่ยืนอยู่สูงกว่าจะสามารถใช้วิชาิญญาโจมตีใส่อีกฝ่ายที่อยู่ข้างล่างได้อย่างไม่เกรงกลัว เมื่อนึกได้เช่นนี้แล้วเหล่าศิษย์อีกสองคนที่ฝึกวิชาเมฆลอยตามใจมาเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายราวกับเห็นชัยชนะกำลังโบกมือเรียกพวกเขาอยู่!
ส่วนผู้ท้าชิงที่เหลืออีกหลายคนที่ไม่ได้ฝึกวิชาเมฆลอยตามใจ หรือวิชาิญญาที่คล้ายคลึงกันก็พากันรู้สึกอิจฉาขึ้นมา หากรู้แบบนี้พวกเขาคงยอมลงทุนจ่ายแต้มสำนักบางส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนเอาวิชาิญญานี้มาและหมั่นฝึกฝน!
กลับมีเพียงคนหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในอันดับแรกของบรรดาผู้ท้าชิงในครั้งนี้เท่านั้นที่แววตาของเขาฉายแววยินดีออกมา แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ฝึกวิชาเมฆลอยตามใจ แต่ตัวเขาก็ได้ฝึกวิชา ‘บันได์แปดขั้น’ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า
“อ๊ะ ตอนนี้ศิษย์น้องหลิงอวิ๋นตกอยู่ในอันตรายแล้ว!” หยางลู่ร้องเสียงหลงเมื่อมองไปยังสิงหงอวี้ที่กำลังลอยตัวขึ้นไปในท้องฟ้าหลายสิบหมี่!
“อันตรายอะไรกัน ชายหนุ่มที่ดูหน้าหวานคนนี้ มีหรือจะสามารถสร้างความคุกคามให้กับหลิงอวิ๋นน้อยได้ คนเหล่านี้ไม่มีใครที่เป็คู่มือของหลิงอวิ๋นน้อยได้หรอก!” เห็นได้ชัดว่าสายตาของฉินหรูเยียนนั้นเหนือกว่าหยางลู่มาก พูดอย่างไม่คิดมากอะไร น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเซียวหลิงอวิ๋นอย่างมาก
“รอบสามก็ชนะ” จ้าวหนีอิ่งพูดสั้นๆ และห้วนๆ แต่แน่วแน่! นางเองก็ชื่นชอบเซียวหลิงอวิ๋นเช่นกัน!
บนเวทีประลองเซียวหลิงอวิ๋นได้หรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปยังสิงหงอวี้ที่ลอยขึ้นไปในอากาศ มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ ออกมา!
ผู้ตัดสินวัยกลางคนมองไปที่เด็กหนุ่มรูปงามซึ่งลอยตัวอยู่ในอากาศแล้วประกาศทันที “เริ่มการประลองได้!”
สิงหงอวี้ที่ลอยตัวอยู่ในอากาศประกบฝ่ามือของตัวเองเข้าหากัน หอกพลังิญญาที่เกิดจากการควบแน่นของพลังิญญาก็ปรากฏขึ้น “ไป!” เขาะโด้วยเสียงเย็นะเื ในขณะที่เหวี่ยงมือลงด้านล่าง หอกพลังิญญาก็หมุนควงลงมาด้วยความเร็วอันน่าทึ่งในอากาศ พุ่งทะยานลงมา!
‘ฟิ่ว!’
หอกพลังิญญาที่เพิ่งถูกปล่อยออกไปนี้ได้หมุนควงด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังถูกปล่อยออกมา ราวกับเป็กระแสน้ำวนที่หมุนวนและดูดเอาพลังิญญาโดยรอบเข้ามาตัว ขยายขนาดด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง หอกพลังิญญาขนาดเล็กตอนแรกได้กลายเป็พายุลูกใหญ่ที่รุนแรง หมุนควงด้วยความเร็วสูง เมื่อยิ่งผ่านไปลมก็ยิ่งหมุนเร็วจนเกิดเสียงหวีดหวิวที่น่าขนลุก สั่นะเืจิตใจยิ่งนัก!
พลังนี้ไม่เลวเลย!
สายตาของเหล่าผู้าุโหลายคนสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย
ในฐานะที่เป็ศิษย์ใหม่เพิ่งเปิดเส้นลมปราณได้สำเร็จเมื่อไม่กี่สิบวันก่อน ใน่เวลาสั้นๆ นี้ไม่เพียงแต่จะฝึกวิชาเมฆลอยตามใจจนสำเร็จวิชาแล้ว พลังของหอกพลังิญญานี้ก็ยังเทียบได้กับบรรดาศิษย์เก่าทั้งหลายที่เปิดขดพลังิญญาได้ถึงสามขด
อัจฉริยะ เป็อัจฉริยะที่โดดเด่นมาก!
เซียวหลิงอวิ๋นบนเวทีประลอง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
พลังนี้ไม่เลวเลย!
แต่น่าเสียดายที่การโจมตีค่อนข้างจำเจซ้ำซาก
จึงได้ยืนอยู่นิ่งๆ โดยไม่แม้แต่จะใช้พลังปราณเข้าช่วยเลย
จนกระทั่งเสียงหอนดังก้องอยู่เหนือศีรษะของเขา ตัวของเซียวหลิงอวิ๋นก็ราวกับเป็สายลมที่รวดเร็ว พุ่งทะยานออกไปทันที
“ตูม!” พร้อมด้วยเสียงดังสนั่นกึกก้อง! พื้นอันแข็งแรงของเวทีประลองถูกทุบจนเป็หลุมลึกทันที ทั้งเวทีประลองก็สั่นไหวไปมา
เซียวหลิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านนอกปากหลุมขนาดสามหมี่ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม “ปล่อยมาอีกสิ!”
ใบหน้าที่หล่อเหลาของสิงหงอวี้เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ประกบมือทั้งสองอีกครั้ง
หอกพลังิญญาพุ่งทะยานลงมาอีก!
“ตูม ตูม ตูม!” หลุมสี่หลุมปรากฏขึ้นบนเวทีประลอง หลุมหลังๆ จะมีขนาดเล็กกว่าและตื้นกว่าหลุมแรก
เซียวหลิงอวิ๋นนั้นพลิ้วไหวมาก ไม่แม้แต่จะถูกหินที่กระเด็นออกมาเลย
“ยังจะสู้ต่อหรือไม่?” เขาเงยหน้าขึ้นมองข้างบนแล้วถามออกไป
กลางอากาศ ใบหน้าเล็กๆ อันหล่อเหลาของสิงหงอวี้นั้นแดงก่ำ เมฆที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเริ่มสั่นคลอน เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวหลิงอวิ๋น เมฆก็แตกสลายออกเป็เสี่ยงๆ “ว๊าก!” พร้อมด้วยเสียงร้อง ร่างหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า!
เมื่อใกล้จะถึงพื้น แขนเสื้อของผู้ตัดสินวัยกลางคนก็สะบัดขึ้น พาสิงหงอวี้ที่หน้าแดงก่ำให้ร่วงลงพื้นอย่างแ่เบา ก่อนจะประกาศ “เซียวหลิงอวิ๋นเป็ฝ่ายชนะ!”
เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็พากันอ้าปากค้าง และตกตะลึง
น่ะ...นี่มัน...
ไม่มีใครคาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็แบบนี้
เซียวหลิงอวิ๋นไม่แม้แต่จะได้ขยับมือเลย เขาพูดเพียงไม่กี่คำ และหลบเพียงไม่กี่ครั้ง คู่ต่อสู้ที่อยู่กลางอากาศก็ใช้พลังปราณจนหมดและพ่ายแพ้ไปเอง
บ้าจริง ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ชนะสามรอบติดต่อกัน!
สีหน้าของเซียวหลิงอวิ๋นสงบนิ่งมาก ตัวเขาคิดจะะโลงจากเวทีประลอง เพราะแต่ละคนมีผู้ท้าชิงแค่สามคน ดังนั้นภารกิจของเขาก็จบลงแล้วจึงคิดจะไปพัก
แต่เพิ่งจะก้าวขาออกไปเท่านั้น!
ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งะโขึ้นมาบนเวทีประลอง “อย่าเพิ่งไป ข้าขอท้าเ้า!”
เซียวหลิงอวิ๋นหันหน้ากลับมา ใช้ปลายนิ้วจิ้มจมูกของตัวเอง “ท้าข้า!”
ผู้มาใหม่เป็ชายหนุ่มร่างกำยำ พยักหน้าอย่างหนักแน่น “อืม!”
สายตาของเซียวหลิงอวิ๋นมองไปที่ผู้ตัดสิน “ท่านผู้าุโ ไม่ใช่ว่าแต่ละคนมีผู้ท้าชิงแค่สามคนหรอกหรือ ข้าได้สู้กับสามคนแล้ว เหตุใดยังต้องสู้ต่อ?”
เห็นได้ชัดว่าผู้ตัดสินวัยกลางคนเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน และกำลังจะไปขอคำแนะนำ แต่แล้วเสียงของหม่าหัวอวิ๋นที่ได้รับคำสั่งมาก่อนแล้วก็ดังขึ้น “หลิงอวิ๋น พวกเ้าทั้งสี่คนจะมีผู้ท้าชิงทั้งหมดสิบสองคน และผู้ท้าชิงเหล่านี้สามารถเลือกคู่ต่อสู้เพื่อท้าชิงได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเลือกคนอื่นเพื่อท้าชิง หรือเลือกเพียงคนเดียวก็ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว เซียวหลิงอวิ๋นถึงกับพูดอะไรไม่ออก
หนอยแน่ะ! นี่ตั้งใจจะให้ข้ารับผู้ท้าชิงทั้งสิบสองคนด้วยตัวคนเดียวเลยชัดๆ
ก็ได้ ใครใช้ให้ตัวเขาเป็ผู้ชายเพียงคนเดียวล่ะ! ฉินหรูเยียนกับจ้าวหนีอิ่งคงไม่มีใครหน้ามืดตามัวเข้าไปท้าแน่ แล้วที่เหลือก็คือตัวเขาเองกับหยางลู่สองคน
หยางลู่ ถึงแม้ตัวเขาจะรู้ว่าเด็กสาวคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ แต่คนอื่นยังไม่รู้ เด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ดูน่ารักคนหนึ่ง มีพลังยุทธ์เพียงนักยุทธ์ระดับเจ็ด เหล่าคนเก่งที่เปิดขดพลังิญญาได้สามขดไปท้าชิงกับเด็กสาวที่น่ารักเช่นนั้น ต่อให้ชนะได้ก็ไม่ใช่เื่น่ายินดีอยู่ดี หากแพ้ก็ยิ่งเสียหน้าหนัก ดังนั้นจึงมีเพียงนักยุทธ์ระดับเจ็ดอย่างตัวเขาเท่านั้นที่สามารถท้าชิงได้อย่างสมศักดิ์ศรี
อีกทั้งตัวเขาเองยังคงมีตำแหน่งเป็อัจฉริยะในรอบหมื่นปีของสำนักด้วย!
ก่อนหน้านี้ได้สู้ไปแล้วสามครั้ง ก็พอจะเข้าใจได้บ้าง ต่อให้แพ้ก็ไม่น่าอาย แต่ถ้าชนะได้ก็จะถือว่าเป็กำไร
ไม่เพียงแต่จะได้รับตำแหน่งศิษย์ก้นกุฏิเท่านั้น แต่ยังเอาเื่นี้ไปอวดกับคนทั้งโลกได้ตลอดชีวิต!
ก็ได้ รับคำท้าก็ได้! จะสู้ให้หมดนี่แหละ!
เซียวหลิงอวิ๋นหันหน้ากลับมา มองไปที่ชายหนุ่มร่างกำยำ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “เ้าคิดจะท้าชิงกับข้าจริงๆ หรือ!”
ชายหนุ่มร่างกำยำถูกสายตาของเขาจ้องมอง ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวราวกับถูกสัตว์อสูรโบราณจ้องมอง แต่ทันใดนั้นความ้าก็เอาชนะความกลัวได้ สายตาของเขาขยับวูบไหวเล็กน้อย เพื่อหลบเลี่ยงสายตาที่น่ากลัวของเซียวหลิงอวิ๋น พลังิญญาในกายพลันไหลเวียนอย่างแรง กลาวตอบอย่างแน่วแน่ว่า “ใช่!”
