ข้าถือเหล้าสองเหยือกที่หวังตัวจวี๋ให้มาเดินไปตามทางเพื่อกลับไปยังหุบเขาตอนนี้ในหัวของข้าทั้งมึนและหนักอึ้งไปหมด ฝ่าเท้าราวกับกำลังเหยียบอยู่บนปุยนุ่นทว่าความรู้สึกเบาหวิวนี้กลับสบายตัวเป็อย่างมาก
ใน่สองปีที่ผ่านมา ข้าให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดากินอาหารสามมื้อต่อวัน หลงใหลไปกับการดื่มเหล้าและเที่ยวเล่นฟังเื่ซุบซิบนินทาเหมือนคนทั่วไป เนื่องจากการดื่มเหล้าคือสิ่งที่ข้าโปรดปรานที่สุดพอถึงตอนบ่ายก็อดใจไม่ไหวจนมักจะแอบซ่งฉียวนหนีออกมาดื่มเหล้าสองสามจอกอยู่บ่อยๆ
วันนี้ที่หวังตัวจวี๋มาพบนอกจากจะหารือกับข้าเื่โลกปีศาจอยู่สองสามเื่แล้วยังนำเหล้าชั้นดีมาให้ข้ามากพอควรอีกด้วย แม้ตัวเขาเองจะดื่มไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์นึกถึงข้าเมื่อครู่ตอนอยู่ในโรงน้ำชาก็เอาแต่กรอกเหล้าใส่ปากข้าไม่ยอมหยุด เพียงข้าได้สูดดมกลิ่นหอมนี้เดิมทีก็ไม่มีแรงต้านทานอยู่แล้วและแน่นอนว่าเมื่อเผลอดื่มเข้าไปชั่วครู่ก็เริ่มมึนเสียแล้ว...
เดิมทีข้าอยากจะสลัดกลิ่นสุราทิ้งไปแต่ความรู้สึกที่เหมือนว่าตัวเบาหวิวเช่นนี้ช่างน่ารื่นรมย์ไม่น้อยเลย ข้าจึงค่อยๆเดินโซซัดโซเซกลับไปเช่นนั้น แต่ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวคงได้ถูกเ้าเด็กน้อยซ่งฉียวนผู้นั้นบ่นอีกแล้วกระมัง?
เพราะที่ที่ข้าอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่ทางด้านล่างของหุบเขาหาก้าจะเข้าไปก็ต้องข้ามูเาไปลูกหนึ่งที่ความสูงไม่มากนักปกติข้าเพียงแค่ต้องเหาะเข้าไปก็ได้แล้ว ทว่าตอนนี้ข้าทำได้เพียงเดินขึ้นเขามาเองเท่านั้นแต่ข้าไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ก็คิดเสียว่ามันเป็การออกกำลังกายเท่านี้ชีวิตก็รื่นรมย์แล้ว
ดังนั้นข้าจึงถือสุราด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถือเนื้อวัวผัดสองชั่ง[1] ที่ซื้อมาจากโรงน้ำชาไปด้วย แล้วเริ่มเดินขึ้นเขาอย่างทุลักทุเล...
แต่ข้าไม่คิดว่าฤทธิ์สุรานี้จะแรงถึงเพียงนี้ เมื่อเดินๆอยู่เปลือกตาก็เริ่มปรือ มือเท้าเริ่มอ่อนแรงและง่วงจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหวจนอยากจะนอนอยู่กลางูเาแบบนี้ไปเลย
ทันใดนั้นข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อนึกถึงท่าทางและรอยยิ้มเ้าเล่ห์ของหวังตัวจวี๋ตอนที่มอมเหล้าข้าขึ้นมาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเหล้านี้ไม่ใช่เหล้าธรรมดา! จึงลอบสบถอยู่ในใจขณะที่กำลังจะร่ายเวทเพื่อสลายกลิ่นสุราอยู่นั้นก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดอาการหมดแรงไปทั้งร่าง แล้วร่วงลงไปกองกับพื้นทันทีพร้อมกับเหยือกสุราที่ร่วงหลุดจากมือ ตกไปกระแทกกับก้อนหินเสียงดังเพล้งจนแตกละเอียดทำให้กลิ่นสุราอันแสนหอมกรุ่นลอยโชยออกมาในทันใด มันตลบอบอวลไปทั่วบริเวณราวหนึ่งถึงสองลี้
ในหัวข้าหมุนวนไปมาอยู่เป็ร้อยเป็พันรอบในที่สุดก็จำได้ว่าในหนังสือของข้าได้กล่าวถึงผลจิติญญาชนิดหนึ่งเอาไว้กลิ่นของมันหอมอย่างหาที่เปรียบมิได้เหล้าที่เกิดจากการหมักส่งกลิ่นหอมกระจายออกมาจนได้กลิ่นไปไกลถึงสิบลี้สามารถดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบการดื่มสุราให้น้ำลายไหลย้อยลงมาได้จนถึงสามฟุตแต่ฤทธิ์ของสุรานี้ค่อนข้างรุนแรงมาก สามารถทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปที่ได้ดื่มเข้าไปถึงกับหลับไปนานได้ถึงหนึ่งเดือนหากเป็มนุษย์ธรรมดาได้ดื่มเข้าไปก็อาจจะหลับจนตายไปในทันทีคือการเมาจนไหลตายขนานแท้
แม้ว่าพลังบำเพ็ญเพียรของข้าจะสูงแต่ตัวเองดื่มไปราวสามถึงสี่เหยือก มิหนำซ้ำยังไม่ได้ขับกลิ่นสุราออกไปั้แ่แรกตอนนี้ก็นับว่าเสียท่าไปแล้ว!
ข้ารู้สึกว่าสมองเริ่มสับสนและความคิดก็เริ่มยุ่งเหยิง ข้าพยายามอ้าปาก หวังจะเรียกให้อาจิ่วมาหา ทว่าพอเรียกไปหลายครั้งจึงนึกขึ้นได้ว่าเด็กคนนี้กลับเผ่าหงส์เพลิงไปแล้วเมื่อหนึ่งปีก่อนบอกว่าการชุมนุมร้อยปีของเผ่าตระกูลสัตว์เทพใกล้จะเริ่มขึ้นแล้วในฐานะที่เป็ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ของเผ่าหงส์เพลิง อาจิ่วจึงต้องกลับไปรับบัญชาแต่คิดไม่ถึงว่าการจากไปในครั้งนี้จะกินเวลาได้หนึ่งปีแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละนิดหมอกเหล่านี้ก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ข้านอนแผ่อยู่บนพื้นมองดูกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ ถูกเมฆดำบดบัง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเหงาขึ้นมาเนื่องจากการระเหยของสุราที่ร่วงตกแตก จึงทำให้กลิ่นสุราในอากาศยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆข้าจึงรู้สึกมึนเมาเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ทำให้ต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้และยิ้มอย่างขมขื่นออกมา
ข้าคงคิดถึงบ้านแล้วจริงๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านมานอนอยู่ตรงนี้เองหรอกหรือแล้วท่านก็เลยเรียกให้ข้ามาหาอย่างนั้นสินะ”
ขณะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น ก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายของใครบางคนกำลังพัดโชยใกล้เข้ามาจากนั้นก็สอดสองมือเข้ามาใต้ร่างแล้วอุ้มข้าขึ้นมาซ้ำยังเป็ท่าเ้าสาวที่ค่อนข้างน่าอึดอัดใจเสียด้วย
ทันทีที่ได้ยินคำว่าท่านอาจารย์คำนั้น ทำให้ข้ารับรู้ได้ทันทีว่าคนที่มาหาก็คือซ่งฉียวนนั่นเองแม้จะรู้สึกตื้นตันใจอยู่เล็กน้อย แต่ว่า... วะ วะวิธีการอุ้มเช่นนี้มันดูไม่เหมาะหรือเปล่า? เขาจะขับกลิ่นสุราออกไปให้ข้าก็ได้ ไม่เห็นจำเป็ต้องอุ้มข้ากลับไปเลยนี่? แล้วอุ้มด้วยท่านี้ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดจนจะบ้าตายอยู่แล้ว!
ข้าบ่นพึมพำในใจไปสารพัดอยู่พักใหญ่ แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยหนำซ้ำเปลือกตาก็หนักอึ้งเสียจนลืมไม่ขึ้น ทำได้เพียงปล่อยให้เ้าเด็กคนนี้อุ้มขึ้นมาที่ระดับเอวแล้วเดินไปทีละก้าว
ใช่แล้วเขาไม่แยแสแล้วเดินไปอย่างเอ้อระเหยขนาดนี้ได้อย่างไร! ข้ามอบวิชาให้กับเขาเพื่อไปเรียนทิ้งเรียนขว้างอย่างนั้นหรือ? ให้ “เคล็ดวิชาเทียนเฉิน” ไปฝึกฝนเล่นๆ ใช่หรือไม่? พลังขั้นจินตัน [2] ถูกสุนัขกินไปแล้วใช่ไหม?
สองปีที่ผ่านมานี้เขาเติบโตแบบก้าวะโ รูปร่างั้แ่หัวจรดเท้ามีพัฒนาการพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตอนแรกเขาสูงแค่เอวข้า แต่ตอนนี้สูงเท่าไหล่ข้าแล้ว ทั้งยังกินอิ่ม นอนหลับ และมีสุขภาพแข็งแรงการที่อุ้มข้าไว้แบบนี้จึงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาสักนิดแต่ความรู้สึกของข้าในตอนนี้ช่างกระอักกระอ่วนเสียเหลือเกินศีรษะของข้าแนบไปบนหน้าอกของเขาอย่างเหมาะเจาะ ทำให้รับรู้ได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นเป็จังหวะหนักหน่วงอยู่ภายในมันเป็ความรู้สึกที่แปลกมาก
ข้าถูกเขาอุ้มอยู่ในท่านี้ไปตลอดทางด้วยสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นอย่างทรมานแบบนี้จนกลับถึงเรือนไม้กระทั่งเขาอุ้มข้ามานอนลงบนเตียงของตัวเอง จึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอารมณ์ตึงเครียดทำให้กลิ่นเหล้าพวกนี้สลายหายไปได้บางส่วน
หลังจากที่ซ่งฉียวนวางข้าลงนอนบนเตียงก็ไม่ได้ไปไหนต่อมาก็ได้ยินเสียงดังครืด จึงรับรู้ได้ว่าเขายกเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียงของข้า อีกทั้งกลิ่นอายนั่นก็พัดโชยมาอีกครั้งพร้อมกับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้รวมอยู่ด้วย ข้าเดาว่าเขาน่าจะอยู่ใกล้กับข้ามากจากนั้นความตึงเครียดก็บังเกิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ทำให้ข้าหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว
“ท่านอาจารย์ นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้ว” เสียงของซ่งฉียวนดังขึ้นที่ข้างหู เป็เสียงแหบแห้งแบบวัยแรกรุ่น “ท่านจะหนีข้าไปอีกแล้วใช่หรือไม่? ”
“...” ทำไมถึงพูดว่าจะหนีข้าไปอีกแล้ว? เด็กคนนี้พูดเื่อะไรกัน? ข้าที่กำลังนอนแผ่เหมือนศพอยู่บนเตียงได้แต่ทำหน้ามึนงง
“ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านหนีหายไปอีกเด็ดขาด!” จากนั้นเสียงของเด็กหนุ่มก็เงียบไป แล้วเขาก็กุมมือของข้าเอาไว้อย่างไม่คาดคิด ข้ารู้สึกว่าที่หลังมือเหมือนกับมีบางสิ่งที่เรียบเนียนแนบอยู่ จึงใมากแต่พอจะเดาได้ว่าสิ่งที่แนบอยู่กับหลังมือของข้าก็คือแก้มของซ่งฉียวนนั่นเอง “ในโลกนี้มีเพียงท่านอาจารย์คนเดียวเท่านั้นที่ดีกับข้าหากข้าเสียท่านไปอีก ข้าคงจะไร้สิ้นทุกสิ่งเหมือนเมื่อก่อน”
ขณะที่กำลังฟังเขาพูด ขนทุกเส้นทั่วทั้งร่างของข้าก็ลุกซู่ขึ้นมา วันนี้เ้าเด็กนี่กินยาผิดไปหรือเปล่า? ทำไมถึงได้พูดเื่อะไรที่ฟังแล้วเข้าใจยากราวกับคนสติฟั่นเฟือนเหล่านี้ออกมา? ไหนจะคำว่าหนีหาย “ไปอีก” อีกด้วย? ข้าเคยหนีไปตอนไหนกัน?
ซ่งฉียวนแนบใบหน้ากับหลังมือของข้าพร้อมกับถูไถไปมาอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “แต่การที่ต้องคอยห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำตามใจปรารถนาในตอนกลางวันนั้นช่างเป็ปัญหาจริงๆ ”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่งแต่วินาทีต่อมากลับวางมือลงบนหน้ากากของข้าอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว หัวใจของข้าเกิดบีบรัดขึ้นมาในทันทีคิดว่าเขากำลังจะกระตุ้นลมปราณเพื่อขับกลิ่นเหล้าออกไป แต่กลับกลายเป็ว่ามือของเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย
“ข้าอยากจะถอดหน้ากากอันนี้ของท่านอาจารย์ออกจริงๆอยากจะดูว่าใบหน้าที่องค์หญิงแห่งเผ่าภูตหิมะโปรดปรานนั้นจะมีรอยแผลเป็เหมือนอย่างที่ท่านเคยกล่าวไว้ในวันนั้นหรือไม่” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เข้ามาประชิดกับใบหูของข้า แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านอาจารย์ ท่านซ่อนอะไรไว้ภายใต้หน้ากากนี้กันแน่?”
ข้าใจนหัวใจแทบจะเต้นกระเด็นออกมานอกอกแต่จู่ๆ กลับไม่คิดว่าจะรู้สึกถึงแรงกดทับเบาๆ ตรงตำแหน่งหน้าผากของหน้ากากคราวนี้ข้าจึงรู้สึกว่าสมองอันสับสนนั้นมีสติขึ้นมาแล้ว
ลองนึกภาพว่ามือข้างหนึ่งของเขากำลังเท้าอยู่บนเตียงทางด้านซ้ายของตัวข้าขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังวางอยู่บนหน้ากากซีกขวาของข้าเช่นนั้นความรู้สึกกดทับอันแ่เบานี้ก็คือ... เ้าเด็กบ้านี่จูบข้า!!!
หลังจากนั้นสักพักหนึ่งความรู้สึกที่ถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็หายไปแล้วเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นที่ข้างหูของข้าอีกครั้ง “สักวันข้าจะกำจัดสลักเงินนี้ออกไปให้ได้!”
......
เชิงอรรถ
[1] ชั่ง คือ มาตราชั่งน้ำหนักของจีน1 ชั่ง เท่ากับ 500 กรัม
[2] ขั้นจินตันเป็ขั้นที่ 4 ของการฝึกลมปราณตามแบบลัทธิเต๋าโดยขั้นนี้จะเป็ขั้นที่สร้างแกนลมปราณเพื่อเข้าสู่ขั้นต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้