“องค์รัชทายาทเป็คนมีเหตุผล ท่านอ๋องทำงานให้เขา ไม่มีทางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นหรอก” กู้เจิงได้แต่ปลอบใจเช่นนี้ นางหวังว่าจะเป็ตามที่นางกล่าว เพราะว่าตระกูลเสิ่นของนางก็อยู่บนเรือลำนี้เหมือนกัน
กู้อิ๋งพยักหน้าอย่างยอมรับ
นับแต่โบราณ การให้ผู้หญิงออกมารับโทษแทนไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ผู้ชายแบบนั้นล้วนมีจุดจบไม่ดีนัก กู้เจิงคิดว่าว่าเสี่ยนอ๋องคนนี้ต้องถูกขุนนางในราชสำนักรังเกียจแน่ และหากราษฎรรู้ถึงสาเหตุของเื่ เขาก็ต้องรังเกียจบุรุษเช่นนี้อย่างแน่นอนเช่นกัน
มีคนจากในวังมาแจ้งที่จวนกู้ว่า คุณหนูสี่กู้จะกลับมาหลังจากกินข้าวเสร็จ ดังนั้นทุกคนในจวนจึงคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนที่สามจะกลับมา และยิ่งคิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่ก็จะมาด้วยกัน
เว่ยซื่อสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปจากห้อง เนื่องจากเห็นสีหน้าของกู้อิ๋งดูไม่ค่อยดีนัก น่าจะมีเื่อยากคุยกับนาง
กู้เจิ้งชินยังอยู่กับองค์ชายสิบสอง ยังไม่กลับมา
“เป็อะไรหรือ?” กู้หงหย่งถามกู้อิ๋ง
กู้อิ๋งยืนเงียบอยู่นาน กู้เจิงจึงอธิบายแทนว่า กู้อิ๋งกลับมาเพราะรู้สึกไม่สบายใข
“เ้าคิดเหลวไหลอะไรกัน” กู้หงหย่งตะคอกอย่างโมโหเพราะความคิดฟุ้งซ่านของบุตรสาว “เสี่ยนอ๋องนั้นเป็คนต่ำทรามั้แ่เด็ก เอาแต่ทำเื่ไม่ดีได้ทุกวัน เ้าจะเอาไปเทียบกับตวนอ๋องได้ยังไง? ั้แ่ตอนที่เ้าช่วยตวนอ๋องตอนอายุหกขวบ อาจกล่าวได้ว่าพวกเ้าโตมาด้วยกัน ตวนอ๋องเป็คนประเภทไหนยังไม่รู้อีกหรือ? เ้าสงสัยสามีของตัวเองเช่นนี้ได้ยังไง?”
“ใช่” นายหญิงเว่ยซื่อรีบเอ่ยสนับสนุนคำพูดสามี “เ้าน่ะ คิดมากไปแล้ว”
เมื่อบิดามารดาพูดเช่นนี้ กู้อิ๋งก็ละอายใจ ถึงอย่างไรตวนอ๋องก็เป็สามีของนาง นางไม่ควรคิดไม่ดีต่อเขา แต่พอนึกถึงแรงกดดันที่นางได้รับจากการเป็พระชายาตวน ในใจก็รู้สึกขมขื่นอยู่หลายส่วน “ทุกครั้งที่เกิดเื่อะไร คนที่ถูกตำหนิก็มักจะเป็ลูกเสมอเ้าค่ะ”
เว่ยซื่อมองบุตรสาวอย่างห่วงใย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เื่ของน้องรองในคราก่อน และเื่ของน้องสี่ในครั้งนี้” กู้อิ๋งกล่าวเสียงอู้อี้ “พระสนมซูจะเรียกลูกเข้าวังเพื่อสอบถามเื่ราวเสียทุกครั้ง พระสนมมักจะตำหนิลูกก่อนเป็คนแรก นางบอกว่าเหตุใดตระกูลกู้ของเราถึงก่อเื่มากมาย และสร้างปัญหาให้ท่านอ๋องเ้าค่ะ”
เว่ยซื่อและกู้หงหย่งมองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาดูกดดันยิ่งนัก
“แล้วเ้าตอบไปว่ายังไง?” กู้หงหย่งถาม
“ลูกพยายามแก้ต่างว่านั่นไม่ใช่ความผิดของตระกูลกู้ แต่พระสนมซูไม่ทรงฟังเ้าค่ะ”
“ตวนอ๋องเป็บุตรชายของพระสนมซู ใต้หล้านี้มีแม่คนไหนบ้างที่จะไม่ห่วงลูกของตน?” เว่ยซื่อออกความเห็น
กู้หงหย่งกล่าวต่อว่า “อย่าได้คิดมาก ตอนนี้เ้าเป็พระชายาของตวนอ๋องแล้ว ทนเสียหน่อยจะเป็อะไรไป” เขามองไปทางกู้เจิงพร้อมเอ่ยว่า “เจิงเอ๋อร์ เ้าก็ช่วยปลอบกู้อิ๋งหน่อยเถอะ”
“เ้าค่ะ ท่านพ่อ” กู้เจิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“เหยาเอ๋อร์พูดถูกเ้าค่ะ” กู้อิ๋งมองกู้เจิงแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้พี่ใหญ่จะแต่งเข้าตระกูลชนชั้นสามัญ แต่นางก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระ สบายกว่าพวกเรามากนักเ้าค่ะ”
“เ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน” เว่ยซื่อไม่คิดว่าบุตรสาวจะคิดฟุ้งซ่านเช่นนี้
“น้องสาม ต่อไปอย่าได้พูดเช่นนี้อีกเด็ดขาด” กู้เจิงคิดไม่ถึงว่ากู้อิ๋งจะคิดฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้“อิสรภาพของข้า ไม่ใช่เพราะข้าแต่งงานกับคนธรรมดาสามัญ แต่ที่เป็อย่างนั้นก็เพราะข้างหลังข้ายังมีจวนกู้ และมีน้องสามเป็แรงกำลังที่อยู่เื้ั”
กู้หงหย่งพยักหน้าเห็นด้วย เขาคิดว่ากู้เจิงนั้นพูดจาโน้มน้าวได้ดี
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เว่ยซื่อได้ยินกู้เจิงพูดเช่นนี้
กู้เจิงกล่าวเสริมอีกว่า “น้องสามเวลาที่เ้าได้รับความไม่เป็ธรรม ให้เ้าลองย้อนคิดดูบ้างว่า เวลาพระสนมซูอยู่ต่อหน้าฮองเฮา นางก็ต้องทนรับความไม่เป็ธรรมด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่?”
กู้อิ๋งนิ่งคิด ก่อนจะหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้น
เมื่อเห็นบุตรสาวยังยิ้มออก ทั้งกู้หงหย่งและเว่ยซื่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังทานอาหารกันเสร็จ กู้เจิงกับชุนหงก็แยกตัวไปเยี่ยมซู่เหนียง
หวังซุ่เหนียงคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะกลับมากะทันหันแบบนี้ นางวิ่งเข้าไปกอดบุตรสาวสุดที่รักของนางอย่างดีใจ
“ซู่เหนียง ร่างกายท่านเพิ่งจะหายดีได้ไม่นาน ควรพักผ่อนให้เต็มที่นะเ้าคะ” กู้เจิงประคองนางให้นั่งลง
“เ้าสบายดีใช่ไหม วันนี้กลับมาได้ยังไง?”
กู้เจิงเห็นว่าซู่เหนียงทั้งขาวนวลและอ่อนเยาว์ นางรักษาความงามไว้ได้ในอายุเท่านี้นับว่าไม่เลวเลย “ซู่เหนียงยิ่งสวยวันสวยคืนนะเ้าคะ”
“ทำไมเ้าถึงปากหวานได้ขนาดนี้” เมื่อถูกบุตรสาวชมขนาดนี้ หวังซู่เหนียงก็หัวเราะดีใจไม่หยุด
กู้เจิงเล่าเื่ที่ตนจะย้ายมาอยู่แถวนี้ให้นางฟัง
“จริงหรือ?” หวังซู่เหนียงตื่นเต้นจนมือไม้สั่นไปหมด “แล้วจะย้ายมาที่นี่เมื่อไหร่?”
“น่าจะเร็วๆ นี้เ้าค่ะ”
“ดีเลย แม่จะได้ไปเยี่ยมเ้าบ่อยๆ” หวังซู่เหนียงไม่รู้ว่าคิดถึงบุตรสาวมากน้อยเพียงใด แต่นางรู้ว่าหากนางไปตระกูลเสิ่นบ่อยๆ ด้วยฐานะเช่นนี้ อาจทำให้บุตรสาวโดนดูแคลนได้ นางจึงอดกลั้นไว้และยอมที่จะไม่ไปเยี่ยมนางที่บ้านตระกูลเสิ่น
ชุนหงพูดขึ้นบ้าง “คุณหนู ท่านเห็นแล้วใช่ไหมเ้าคะว่าเหมือนที่บ่าวพูดไว้ไม่มีผิด ซู่เหนียงต้องดีใจเป็ที่สุดแน่ๆ”
กู้เจิงซาบซึ้งใจมาก บนโลกใบนี้คนที่เป็ห่วงนางมากที่สุดก็คือซู่เหนียงกับชุนหง พวกเขาเป็สองคนที่รักนางอย่างไร้เงื่อนไข
ขณะที่กู้เจิงกำลังสนทนากับซู่เหนียงอยู่นั้น จู่ๆ กู้เหยาก็วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ “พี่ใหญ่”
“เ้ากลับมาแล้วหรือ?” เมื่อเห็นกู้เหยา กู้เจิงก็ถามถึงเื่นางกับองค์หญิงสิบเอ็ด
“ต้องโทษฟู่ผิงเซียงเ้าค่ะ” กู้เหยาแค่นเสียงตอบ “ก่อนหน้านี้องค์หญิงกับข้าเข้าใจผิดกัน ตอนนี้ได้คลายความเข้าใจผิดนั้นให้ชัดเจนแล้วถึงได้พบว่าพวกเราเข้ากันได้ดีมากเ้าค่ะ”
เป็เช่นนี้จริงด้วย? ก่อนหน้านี้กู้เจิงเองก็สงสัยว่าระหว่างพวกนางคงจะเกิดเื่เข้าใจผิดกันหรือไม่
“คุณหนูสี่ ตอนนี้ท่านเข้ากับองค์หญิงสิบเอ็ดได้ดีปานนี้ ต่อไปก็ต้องดูแลพี่ใหญ่ของท่านให้ดีนะเ้าคะ” หวังซู่เหนียงกับกู้เหยาสนิทกันมาก คำพูดคำจาจึงค่อนข้างพูดตามใจกันไปบ้าง
“แน่นอน เื่นี้ไม่ต้องให้หวังซู่เหนียงบอก ข้าก็จะทำอยู่แล้ว” กู้เหยาหัวเราะรู้ทัน จากนั้นนางก็เริ่มเล่าเื่ราวที่น่าสนใจบางอย่างที่เกิดขึ้นในวังกับองค์หญิงสิบเอ็ดให้ทุกคนฟัง
ตอนที่เสิ่นเยี่ยนมาถึงจวนกู้ กู้เจิงกับกู้เหยาก็เดินออกมาจากเรือนของซู่เหนียงแล้ว
กู้อิ๋งก็กำลังจะกลับจวนอ๋อง ทั้งเว่ยซื่อและกู้ห่งหย่งจึงเดินออกมาส่งกันอย่างพร้อมเพรียง
ทุกคนส่งกู้อิ๋งขึ้นรถม้าไปก่อน แล้วก็เป็ตานางกับเสิ่นเยี่ยน
ชุนหงไม่ชอบนั่งในรถม้า นางจึงออกมานั่งที่หน้ารถ ภายในรถม้าจึงมีเพียงเสิ่นเยี่ยนและกู้เจิง
กู้เจิงเมื่อได้ขึ้นรถนางก็เอนกายพิงร่างเสิ่นเยี่ยนอย่างเคยชิน
“พระชายาเสี่ยนทรงผูกคอตายแล้ว พระชายาตวนน่าจะบอกเ้าแล้วกระมัง” เสิ่นเยี่ยนได้รู้จากบ่าวรับใช้ของจวนตวนอ๋องมาว่าภรรยาจะไปทานอาหารเย็นกับพระชายาตวน เลยคิดว่าคุณหนูสามคงจะเล่าเื่นี้ให้กู้เจิงฟังแล้ว
กู้เจิงพยักหน้า ก่อนจะบอกความกังวลของกู้อิ๋งให้เขาฟัง
“เ้าเองก็คิดเช่นนี้กับตวนอ๋องเหมือนกันหรือ?” เสิ่นเยี่ยนถามขึ้น
“ข้าจะคิดยังไงไม่สำคัญหรอกเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยตอบ “น้องสามยังมีท่านพ่อท่านแม่คอยหนุนหลัง และท่านตาก็ยังเป็แม่ทัพเก่า ในฐานะสามีแล้วตวนอ๋องต้องให้ความเคารพน้องสามแน่นอน คงไม่ทำเื่เลอะเลือนแบบนั้นหรอกเ้าค่ะ” กู้เจิงเงยหน้ามองเข้าไปในั์ตาเฉยชาของเสิ่นเยี่ยน “ท่านพี่ ข้าขอถามอะไรหน่อยสิเ้าคะ”
“เื่อะไรหรือ?”
สีหน้าของกู้เจิงดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ถ้าท่านไม่ได้พบข้า ท่านจะแต่งงานกับสตรีอื่นหรือไม่เ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยน “...”
“อย่างเช่นคุณหนูตระกูลจากตระกูลเก่าแก่อะไรทำนองนั้น” กู้เจิงแสร้งทำเป็คุยอย่างผ่อนคลาย
เสิ่นเยี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบคำถาม “แต่ง”
กู้เจิงมองเขาด้วยสายตาเ็า “แต่งหรือ?”
“แล้วถ้าเ้าไม่ได้พบข้า เ้าจะแต่งงานกับชายอื่นหรือไม่?” แววตาของเสิ่นเยี่ยนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
กู้เจิงสะอึกไป หากนางไม่ได้พบเขา เช่นนั้นนางก็ต้องแต่งงานกับบุรุษอื่นอย่างแน่นอน ในยุคสมัยนี้ นางมีเพียงการแต่งงานกับสามีที่แข็งแกร่งมีอำนาจเท่านั้นถึงจะมีหน้ามีตาได้
“ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกันเ้าค่ะ” นางหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด
เสิ่นเยี่ยนหลุดยิ้ม “ถ้าไม่ได้พบเจอเ้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะชอบสตรีประเภทไหน แต่พอได้พบเ้า ข้าถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข้าก็ชอบสตรีเช่นนี้นี่เอง”
กู้เจิงตะลึงงัน เสิ่นเยี่ยนพูดว่าพูดอะไรนะ? นางหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาที่เป็ประกาย
“ถ้าข้าไม่ได้พบเ้า ข้าก็คงจะแต่งงานกับสตรีอื่น และทำหน้าที่สามีให้ดีที่สุด โดยถือเป็การรับผิดชอบต่อพ่อแม่ และเป็คำตอบที่น่าพอใจสำหรับชีวิตของตัวเอง แต่พอได้พบกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ข้าก็จะรักใคร่ทะนุถนอมถ้อยทีถ้อยอาศัยและให้เกียรติเ้าจนแก่เฒ่า และข้าก็นึกอยากได้บุตรชายและบุตรสาว ถ้าทำได้ทั้งหมดนี้ชีวิตของข้า ถึงจะสมบูรณ์แบบ”
“ทะ ท่านชอบข้าหรือเ้าคะ?” ในสมองของกู้เจิงได้ยินเพียงประโยคที่ว่า ‘พอได้พบเ้า ข้าถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข้าก็ชอบสตรีเช่นนี้นี่เอง’ นางไม่อยากจะเชื่อว่าสามีที่เ็าแบบเขาจะเอ่ยคำสารภาพรักได้หวานขนาดนี้
“ข้าชอบเ้า”