เดือนแขวนสูงกลางฟ้าราตรี ฉายผ่านหน้าต่างแง้มครึ่งบานนวลแสงส่องสู่ภายใน ประกายละมุนแต่งเติมหอห้อง
ภายในห้องเงียบงัน แต่ละคนล้วนกำลังไตร่ตรองความคิดของตนเอง
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยคิดว่าองค์หญิงกล่าวถูกต้อง เพราะยามนี้พวกเราไม่มีเบาะแสชั่วขณะเช่นนั้นก็เริ่มจากการสืบค้นทุกคนในจวนแม่ทัพให้ถี่ถ้วนเสียก่อนเถิดขอรับ”
นายกองเฉินเอ่ยปากระงับความเงียบสงัดภายในห้องเป็คนแรก
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ ข้าก็คิดว่าควรทำเช่นนี้ มิใช่องค์หญิงบอกแล้วหรือว่าโจรพวกนั้นบอกว่าเป็ท่านไปชิงฮูหยินของมันมา”
อาเหมิ่งต๋าพูดถึงตรงนี้พลันลูบหัว ค่อยๆ เงยหน้าอย่างระมัดระวังขึ้นมาเจอสองตาที่กำลังถลึงตาใส่เขา
“คือว่า น้องชายเช่นข้าหาได้หมายถึงเช่นนั้น ก็เพียงตั้งข้อสมมติตามคำที่องค์หญิงได้ยินมาเท่านั้นน้องชายเห็นพ้องอย่างยิ่งว่าพี่ใหญ่ไม่ใช่คนชั่วช้าที่จะลงมือ่ชิงสตรีของผู้อื่นมาเป็แน่”
“เลิกพูดไร้สาระ มีเื่ใดก็รีบว่ามา”หั่วอี้ยังคงถลึงตาใส่อาเหมิ่งต๋า คิดในใจว่าคนไม่ละเอียดอ่อนชนิดนี้ไม่รู้จักพูดจาเสียจริงคำพูดเ่าั้จะมาพูดส่งเดชต่อหน้าฮูหยินได้หรือ?
หลิ่วจิ้งมองหั่วอี้ด้วยสายตาพินิจพิจารณาบรรยากาศประหลาดเช่นนี้ทำนายกองเฉินนึกอยากหัวเราะอยู่ในใจ แต่กลับไม่กล้าหัวเราะ เขาจะเคยเห็นท่านแม่ทัพมีท่าทีระวังตัวเช่นนี้มาก่อนที่ใดนั่นคือแม่ทัพใหญ่ที่ยามพูดไม่เข้าหูก็หวดดาบสวนกลับไปทันใดทีเดียวนะ
ไหล่ของนายกองเฉินไหวอยู่น้อยๆเขาต้องกลั้นหัวเราะอย่างลำบากเต็มทน
ดีที่หั่วอี้กำลังจ้องอาเหมิ่งต๋าอย่างมีน้ำโห ส่วนอาเหมิ่งต๋าก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาพูดผิดไปจึงกำลังเดือดร้อนใจอยู่ไม่ได้มาสนใจนายกองเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เช่นนั้นข้าก็จะพูดต่อนะ” อาเหมิ่งต๋ามองหั่วอี้ เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้คัดค้านจึงพูดต่อว่า“เมื่อดูจากการศึกน้อยใหญ่ของแคว้นเราในระยะนี้ ครั้งแรกก็คือเมื่อสามปีก่อนท่านแม่ทัพเคยยึดครองแคว้นเป่ยอี๋ทางทิศใต้ของแคว้นเราหลังจากนั้นจึงทยอยเข้าทำลายแคว้นเล็กๆ อีกหลายแคว้นในเวลาต่อมา
เช่นนั้นก็ตรวจสอบพวกบ่าวไพร่ที่เข้ามาในจวนแม่ทัพเมื่อสามปีก่อนเป็ต้นมาซึ่งแน่นอนว่าพวกเด็กรับใช้ย่อมไม่อาจละเว้นด้วยเช่นกัน”
อาเหมิ่งต๋าพูดจบก็หันไปมองหั่วอี้อย่างระวังตัวอีกหน ยามพบเจอกับเื่สำคัญเขาก็เก็บอาการไม่รู้ที่ต่ำที่สูงที่มีกับหั่วอี้ไปเสีย
เวลานี้สีหน้าของหั่วอี้ยิ่งคร่ำเครียดกว่าเก่า ไม่น่าดูจนผิดปกติจะทำการตรวจสอบทั้งจวนก็มิใช่ว่าทำไม่ได้ แต่อีกเดือนกว่าๆก็จะเป็วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว อย่าสร้างความตื่นตระหนกรบกวนจิตใจฮูหยินผู้เฒ่าจะดีกว่า
“ฮูหยินคิดเห็นเช่นใดกับเื่นี้” พักใหญ่ๆ หั่วอี้จึงหันหน้ามาหาหลิ่วจิ้งจะอย่างไรนางก็เป็เ้าทุกข์ จึงมีสิทธิ์พูดมากที่สุด
หลิ่วจิ้งเลิกคิ้วอีกครั้ง ดวงตาแวววาวจับจ้องหั่วอี้
หั่วอี้เห็นเงาของตัวเขาอยู่ในดวงตาสดใสของหลิ่วจิ้งเขาเลิกคิ้วขึ้น ในใจกลับเกิดความคิดอื่นขึ้นมา หากมิใช่เพราะยามนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเขาก็อยากจะจัดการหลิ่วจิ้งเสียตรงนี้เลยจริงๆ
แผนการที่หลิ่วจิ้งวางเอาไว้ก็คือ นางจะอาศัยการตรวจสอบขนาดใหญ่ในครานี้รับบ่าวใหม่จำนวนหนึ่งเข้ามาเพิ่มในจวน
การลงมือใดๆ ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกภายในจวนแม่ทัพเป็สิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนาง้ากำลังคนและเรี่ยวแรงที่เป็ของตนเองหากมีแค่นางและอวี้จิ่นสองคนวางแผนทำการใดก็เป็เื่ที่ยากยิ่งเช่นกัน
เมื่อดูจากเื่ที่นางถูกลักพาตัวครานี้ อิ๋งเหอภักดีก็ส่วนภักดีแต่เป็คนใจอ่อนเกินไป ไม่อาจทำงานเหี้ยมโหดได้
“ท่านแม่ทัพ เื่ต่างๆ ในจวนอย่างไรก็ต้องแจ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเสียก่อนฟังความเห็นของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วค่อยตัดสินใจเถิดเ้าค่ะอย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็ผู้ดูแลเรือนหลังในจวนแม่ทัพเป็หลักมิใช่หรือเ้าคะ?”
หลิ่วจิ้งโยนลูกแพร [1] ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างงดงามประการแรกเป็การทำให้หั่วอี้รู้สึกว่าอย่างไรนางก็ยังให้ความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าก่อนเื่อื่นใดประการที่สองเป็การหาเื่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีต่อนาง
ในสองวันนี้เพื่อเป็การหลบหน้าฮูหยินผู้เฒ่านางสามารถใช้ข้ออ้างว่าพักฟื้นเกรงว่าอาการเจ็บป่วยยังไม่หายดีจึงไม่กล้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทว่านี่ก็เป็เพียงแผนรับมือเฉพาะหน้าเท่านั้นเพราะเจ็บป่วยก็ต้องมีวันหายสักวันหนึ่ง
คำเสนอแนะของหลิ่วจิ้งทำให้นายกองเฉินแอบมองนางอยู่หลายครั้งเขาวิ่งเล่นอยู่ในจวนแม่ทัพมาแต่เล็กย่อมใกล้ชิดกับฮูหยินใหญ่ที่ติดตามหั่วอี้มานานปีมากสักหน่อยในใจเขาฮูหยินของท่านแม่ทัพ เขารู้จักนางจ้าวเพียงผู้เดียว นอกนั้นล้วนเห็นพวกนางเป็เครื่องให้เตียงท่านแม่ทัพมีไออุ่นเท่านั้นเขาย่อมเห็นพวกนางต่ำต้อยเสียยิ่งกว่ามด
นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงที่มาจากแคว้นต้าเว่ยผู้นี้องค์หญิงที่กษัตริย์แห่งชางอี้ประราชทานออกไปราวกับของกำนัลกลับฉายแววแห่งสติปัญญาออกมาทุกขณะ ทำให้เขาไม่กล้าคิดปรามาสนางและด้วยเหตุนี้จึงเป็คราแรกที่เขาได้พบเห็นกับตาว่าความมีตัวตนของหลิ่วจิ้งนั้นแตกต่างจากสตรีคนก่อนๆของหั่วอี้
นายกองเฉินรู้สึกขึ้นมาว่าฮูหยินใหญ่จะต้องร้อนใจเขามองออกว่าองค์หญิงผู้นี้้าเป็ศัตรูตัวฉกาจของฮูหยินใหญ่ด้วยเหตุนี้เขาจึงแอบจับตาดูนางและไม่คิดว่านางเป็เครื่องอุ่นเตียงให้ท่านแม่ทัพอีก
หั่วอี้ยิ่งรู้สึกชื่นชมหลิ่วจิ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่นางกล่าววานนี้นางยังถูกฮูหยินผู้เฒ่าโมโหใส่อยู่เลยแต่เวลานี้กลับคอยคำนึงถึงฮูหยินผู้เฒ่าไปเสียทุกเื่
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ก่อนก็แล้วกันเพื่อไม่ให้เป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น อาเหมิ่งต๋ากับนายกองเฉินสองคนก็ให้แสร้งทำเป็ว่าวันนี้พวกเราไม่พูดคุยกันเื่นี้รอจนข้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่าในวันพรุ่งก่อน ค่อยมาคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
อาเหมิ่งต๋าและนายกองเฉินพากันพยักหน้าคำพูดนี้ไม่จำเป็ต้องให้ท่านแม่ทัพสั่ง พวกเขาก็จะทำเช่นนี้อยู่แล้ว
“องค์หญิงก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วเื่นี้เอาไว้หารือกันวันพรุ่ง วันนี้แยกย้ายกันไปก่อนเถิด”หั่วอี้มองใบหน้าอ่อนเพลียที่ยังพยายามฝืนทำว่ากระปรี้กระเปร่าของหลิ่วจิ้งแล้วรู้สึกสงสารนางยิ่งนัก
เดิมทีเขาไม่ต้องให้หลิ่วจิ้งเข้ามามีส่วนร่วมในเื่นี้ก็ได้เพียงแต่ครั้งนี้ก็อุตส่าห์กลับมาที่บ้านแล้ว เขาตัดใจอยู่ห่างจากหลิ่วจิ้งไม่ได้จึงอ้างว่าหลังจากทานข้าวด้วยกันแล้วก็จะได้หารือธุระกันต่อไปในคราเดียว
ขณะนั้นเอง อวี้จิ่นก็ยกยาที่หลิ่วจิ้งต้องกินในคืนนี้เข้ามา
หลิ่วจิ้งมองสาวใช้ของตนพลางขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันใด นางหันไปหาหั่วอี้ด้วยสีหน้าพะอืดพะอมและทำท่าน่าสงสารเพราะนางไม่อยากกินยา
หั่วอี้กลับก้มมองนางด้วยสีหน้าราวกับบอกว่าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์จะขัดขืนนี่เป็หนที่สองของวันนี้ที่เขาต้องรับมือกับเื่ให้นางกินยาแล้ว
ครั้งเขากลับมาเมื่อตอนบ่ายก็ถึงเวลาที่หลิ่วจิ้งต้องทานยาเช่นกันเื่ที่จะกินยาหรือไม่นี้ หลิ่วจิ้งกลับทำให้เขาต้องใช้เวลาไปเกือบครึ่งก้านธูปนางเอาแต่ยืนกรานเสียงแข็งหนแล้วหนเล่าว่านางหายดีแล้ว
ทั้งยังบอกว่ายานี่จะต้องขมกว่าน้ำดีของนางเองเสียอีกอย่างไรก็ไม่ยอมดื่ม จนเมื่อหั่วอี้ดื่มยาและอมเอาไว้ในปากคำหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะใช้วิธีของเขาป้อนยานางจึงใยกใหญ่และดื่มยาจนหมดในคำเดียว
อาเหมิ่งต๋ามองท่าทีที่หลิ่วจิ้งและหั่วอี้มีต่อกันก็รู้สึกว่าแปลกใหม่นักเขากำลังดูอย่างสนุกสนาน แต่นึกไม่ถึงว่าดันถูกนายกองเฉินลากตัวกลับไปเสียได้
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] โยนลูกแพร มีความหมายเหมือนกับคำว่า “โยนกลอง” “โยนเผือกร้อน”หมายถึงการปัดหรือผลักภาระไปให้ผู้อื่น
