“ความจริงแล้วเ้าไม่จำเป็ต้องช่วยเปิ่นจุนปราบมันและปล่อยไปสักพักก็ย่อมได้ แต่ทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง เืสัตว์ร้ายจะปะทุขึ้นมา ในเวลานั้นเปิ่นจุนจะไม่อ่อนโยนและควบคุมตัวเองได้เหมือนเช่นทุกวันนี้”
ซู่หลิงมองนางที่กำลังกะพริบตาสีดำขลับงดงาม ด้วยท่าทางสงสัยเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็ก้มศีรษะลง เส้นผมสีดำขลับยาวสลวยที่ปรกไหล่ร่วงไหลลงมาบนไหล่และหน้าอกของนาง สร้างความใกล้ชิดสนิทสนมที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
เสียงของบุรุษผู้นั้นชัดเจนและสงบนิ่ง ทว่ากลับทำให้ใจสั่นโดยไม่รู้ตัว
คนผู้นี้...พูดจาไร้สาระอะไรอย่างนี้!
หญิงสาวหลุบตาลงราวกับกำลังหลีกเลี่ยง
การปล่อยเขาไปหมายความว่าอย่างไร นางจะเป็สตรีตัณหาจัดหรือไม่?
มู่เทียนอินคิดในใจอย่างมีเหตุผล ทว่าใบหน้าเล็กกลับก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ในคืนนั้นเ้าได้รับโอสถเร้ากำหนัดเข้าไปและร่างกายยังพอทนได้ ทว่าด้วยร่างกายที่เปราะบางของเ้าแล้ว จะทนรับความ้าอันไม่มีที่สิ้นสุดของเปิ่นจุนได้อย่างไร”
ซู่หลิงมองใบหน้าแดงก่ำของนางอย่างสงบ เนื้อเสียงยังคงเ็าอยู่เช่นเคย
เมื่อมู่เทียนอินได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็ราวกับะเิ!
เขาพูดเื่เช่นนี้อย่างสงบ ราวกับเป็เื่ธรรมดา!
“เมื่อเืสัตว์ร้ายปะทุขึ้น เปิ่นจุนจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป หากไม่อยากถูกเปิ่นจุนทำอะไรตามอำเภอใจในอนาคต เ้าก็ควรให้ความร่วมมือให้มากที่สุด”
มู่เทียนอินเพียงรู้สึกหนังศีรษะชา เขินอายมากจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
แต่แล้วก็คำพูดที่ทำให้รู้สึกเขินอายมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เ้าหน้าที่ทั้งสองในห้องหนังสือก็แสดงสีหน้าใ
ฮ่องเต้แห่งหลิงเทียนกั๋ว เป็บุคคลที่สูงส่งและมีนิสัยเย่อหยิ่งขนาดไหนกัน?
เขาเคยไปเยือนหลายแคว้น ก่อนที่จะมาที่แคว้นมู่สุ่ย ทว่าไม่เคยได้ยินเลยว่าองค์ฮ่องเต้ใหญ่จะเคยมีความสัมพันธ์กับสตรีคนใด
มีเพียงมู่เทียนอินเท่านั้น เพราะอสรพิษเขมือบนภาจึงได้มีปฏิสัมพันธ์กับฮ่องเต้ใหญ่
พวกเขาต่างเชื่อกันมาตลอดว่าฮ่องเต้ใหญ่จะไม่สนใจการยั่วยวนของมู่เทียนอิน
ใครจะคิดว่าเมื่อมู่เทียนอินกลับมายังตระกูลมู่ ฮ่องเต้ใหญ่ผู้เ็าจะพูดว่าจะพานางกลับไปส่งด้วยตนเอง!
“หลิงอวิ๋น ส่งคุณหนูสามกลับไปที่จวนตระกูลมู่”
ซู่หลิงยกยิ้มมมปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
มู่เทียนอินรู้ดีว่าเขาจะไม่ให้โอกาสนางโต้เถียง
ทว่าเมื่อนางกลับไปยังตระกูลแล้ว จะไม่สามารถกลับมาง่ายดายได้
“คุณหนูสามตระกูลมู่ เชิญขอรับ”
หลิงอวิ๋นยังคงมีสีหน้าเ็าราวกับูเาน้ำแข็ง ทว่ากลับมีท่าทีเคารพต่อมู่เทียนอินอย่างมาก
มู่เทียนอินพยักหน้า และเดินตามเขาออกไปนอกพระราชวัง
…
เมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ มู่เทียนอินก็ถูกท่านปู่มู่ดึงตัวไว้ทันที
“อินเอ๋อร์ ในที่สุดเ้าก็กลับมาเสียที”
เป็เื่ดีที่อินเอ๋อร์ได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้ใหญ่
ทว่าเมื่ออยู่ห่างจากจวนนนานเกินไปจึงอดเป็ห่วงไม่ได้
“เ้าไม่ได้ผอมลงและสีหน้าก็สดใสดี อินเอ๋อร์ ฮ่องเต้ใหญ่บอกว่าเ้ามีร่างกายที่พิเศษ เขาอาจมีวิธีช่วยเ้าฝึกฝนจิติญญาได้”
ท่านปู่มู่สำรวจนางอยู่สักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของนางปลอดภัยดี จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามความคาดหวัง
เป็เช่นนี้นี่เอง เขาบอกกับผู้อื่นไปเช่นนี้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านปู่จะไว้ใจให้หลานสาวที่รักและห่วงใยอยู่วังนานถึงเพียงนั้น
“ท่านพ่อขอรับ ท่านใจร้อนเกินไป ฮ่องเต้ใหญ่ตรัสว่าอาจจะนะขอรับ”
มู่เทียนอินกำลังจะตอบ ทว่ามู่จิ่งเทียนท่านลุงใหญ่ก็เดินเข้ามา
“เทียนอิน ปู่ว่าเ้าคงเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถะ”
มู่ฉินเทียนพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
แม้จะหาหลักฐานเื่การผิดประเวณีไม่ได้ ทว่ามู่เทียนอินก็เป็เพียงคนขี้โรค ไม่สามารถเป็ภัยคุกคามต่อเยียนเอ๋อร์และหลิงเซียนได้
“ท่านปู่ ข้ากลับมาเพื่อเข้าร่วมการประลองในตระกูลในวันพรุ่งนี้เ้าค่ะ”
อย่างไรก็ตาม คำพูดถัดไปของมู่เทียนอินทำให้สีหน้าของคนสองคนเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้แต่ใบหน้าของท่านปู่มู่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เหตุการณ์ต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่ามู่เทียนอินไม่เพียงแต่กลายเป็ผู้มีพลังิญญาเท่านั้น อีกทั้งยังยังก้าวะโขึ้นมาเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่อีกด้วย
แม้แต่องค์ชายห้าเย่ิเซวียนก็เพิ่งบรรลุเข้าสู่ระดับิญญาสีชาด
ส่วนมู่เทียนอินที่อายุเพียงสิบสี่ปีกลับอยู่ห่างจากระดับิญญาสีชาดเพียงก้าวเดียว
“ปีนี้ตระกูลมู่ของเรามีบุตรหลานที่โดดเด่นมากมาย”
"คุณหนูสามเก่งกาจเกินคาดจริงๆ"
“อายุเพียงสิบสี่ปีก็บรรลุถึงขั้นที่ห้าของระดับิญญาขาวแล้วและยังมีอสรพิษเขมือบนภาอีก ในพิธีทดสอบปีนี้จะต้องทำคะแนนได้ดีเป็แน่!”
“ครั้งที่แล้ว อันดับดีที่สุดของเราในพิธีคือไม่เกินลำดับที่สามสิบเท่านั้น ปีนี้ก็ไม่รู้ว่าอันดับจะสูงได้กว่าเดิมหรือไม่”
เมื่อการประลองในตระกูลสิ้นสุดลง ผู้คนต่างยังคงพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น
ผู้เฒ่าที่คอยดูแลตระกูลมู่ต่างก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเช่นกัน
แม้ว่าผลคะแนนโดยรวมจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ทว่าเมื่อมีอัจฉริยะมู่เทียนอินที่มีอสรพิษเขมือบนภาอยู่ด้วย น่าจะทำให้ติดยี่สิบอันดับแรกได้
ในอดีต สิบอันดับแรกเกือบทั้งหมดถูกโดยสี่สำนักใหญ่
สำนักหลิงอวิ๋น สำนักเสวียนอวี่ สำนักเทียนหยวน และหอเย่เทียนล้วนเป็สำนักใหญ่ที่สืบทอดวิชาเอกลักษณ์เฉพาะตัวและตั้งอยู่ในพื้นทีู่เาอันตราย
แม้จะไม่มีการสนับสนุนจากราชวงศ์
ทว่าด้วยรากฐานที่สั่งสมมานานหลายร้อยปี ทำให้แข็งแกร่งกว่าห้าตระกูลใหญ่เป็อย่างมาก
ตระกูลใหญ่อาศัยความสัมพันธ์ทางสายเืในการอบรมสั่งสอนสมาชิกตระกูลรุ่นใหม่ อายุของทั้งสองรุ่นจึงแตกต่างกันอย่างมาก
ทว่าทุกสำนักรับสมัครผู้คนทุกๆ สองหรือสามปี
ด้วยรากฐานที่ใหญ่โตเช่นนี้ แม้จะมีโอกาสน้อย ทว่าก็ยังมีโอกาสพบผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่ดี
เมื่อเทียบกับความสามารถที่สืบทอดกันในสายเื
ตระกูลใหญ่เหล่านี้ถือเป็อำนาจรองที่ต้องพึ่งพาราชวงศ์ จึงยากที่จะแสดงความสามารถที่โดดเด่นในพิธีทดสอบได้
แม้ปัจจุบันตระกูลมู่ยังคงอ้างว่าเป็ตระกูลอันดับหนึ่ง
ทว่าั้แ่มู่หรูเฟิงเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเมื่อสิบปีก่อน ตระกูลมู่ก็ไม่มีอัจฉริยะปรากฏตัวอีกเลย
ทั้งหมดนี้ล้วนอาศัยท่านปู่มู่ผู้เป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในแคว้นมู่สุ่ยคอยค้ำจุนไว้ เพราะอำนาจของตระกูลกำลังตกต่ำลงเรื่อยๆ
ตระกูลเย่อันดับที่สองและตระกูลหลิ่วอันดับที่สามเริ่มที่จะไม่ใส่ใจพวกเขา
บางคนถึงกับออกมาประกาศว่าตระกูลเย่คือตระกูลอันดับหนึ่ง
บรรดาผู้เฒ่าในตระกูลต่างก็กังวลใจเป็อย่างยิ่ง ไม่คิดว่ามู่เทียนอินที่ร่างกายอ่อนแอมาั้แ่เด็กจะสามารถทำสิ่งที่น่าทึ่งได้เช่นนี้
…
ทุกคนพูดคุยกันไปพลาง เดินไปยังห้องโถงใหญ่ไปพลาง
ก้าวไปไม่กี่ก้าว ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวราวหิมะก็เดินตรงเข้ามาหา
ใบหน้าที่งดงามราวกับ์ประทาน ผสานกับบุคลิกที่เ็าและสง่างาม
เมื่อซู่หลิงเข้ามาใกล้ ฝูงชนที่เคยส่งเสียงดังก็ต่างตกตะลึงในความงามของเขาจนเงียบลงในทันที
“องค์ฮ่องเต้ใหญ่!”
ท่านปู่มู่ก็ใ รีบเดินเข้าไปข้างหน้าและแสดงความเคารพ
ปรากฏว่านี่คือนายน้อยของตระกูลซู่ที่มาเยือนแคว้นมู่สุ่ยเมื่อเดือนที่แล้ว! ท่านผู้นี้คือบุคคลสำคัญระดับสูงของสมาพันธ์
ทุกคนต่างตกตะลึงในรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้และบุคลิกอันสูงส่งของซู่หลิง จนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะ
"เหตุใดพระองค์ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะเพคะ?"
มีเพียงมู่เทียนอินเท่านั้นที่มองบุรุษรูปงามในชุดขาวที่มาถึง ‘ตามที่นัดหมายไว้’ ใบหน้าเล็กของนางแสดงความอึดอัดและรังเกียจ
แม้ว่านางจะ 'ฝึกฝน' กับบุรุษผู้นี้ และระดับของนางก็ก้าวะโอย่างมาก
ทว่าหลังจากระงับเืสัตว์ร้ายให้เขาได้แล้ว นางก็ไม่มีความตั้งใจที่จะดำเนินการฝึกฝนที่ 'ยั่วยวนและเร่าร้อน' ในยามค่ำคืนอีกแล้ว
คำพูดของมู่เทียนอินทำลายความเงียบทันที
นี่คือฮ่องเต้แห่งหลิงเทียนกั๋ว คุณหนูสามรู้จักบุคคลสำคัญระดับนี้ได้อย่างไรกัน
เกิดอะไรขึ้นกับน้ำเสียงเมื่อครู่?
เป็ไปได้หรือไม่ที่ฮ่องเต้ใหญ่จะมาหาคุณหนูสาม?
ใจของมู่เยียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความอิจฉา
แม้ว่าจะเป็เพราะอสรพิษเขมือบนภาที่ทำให้คนขี้โรคและฮ่องเต้ใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กัน
ทว่าฮ่องเต้ใหญ่ก็มาที่นี่เป็การส่วนตัว เพื่อมาหาท่านปู่เป็หลัก จะมาหานางได้อย่างไร
“อินเอ๋อร์ การประลองในตระกูลจบลงแล้ว เพื่อสุขภาพของเ้า ควรตามเปิ่นจุนกลับไปที่พระราชวังอวี้ชิงไม่ใช่หรือ?”
อย่างไรก็ตาม คำพูดของซู่หลิงทำให้คนในตระกูลมู่ประหลาดใจ
เดิมคิดว่าคุณหนูสามคงจะรู้สึกเป็เกียรติที่ได้รู้จักองค์ฮ่องเต้ใหญ่ ทว่าไม่คาดคิดว่าเขาจะมารับนางที่นี่
หลังจากพักฟื้นมาสองเดือน ร่างกายของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว
เหตุใดเขาถึงพูดอย่างนั้นกัน?
มู่เทียนอินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
“องค์ฮ่องเต้ใหญ่! ขอบพระทัยพระองค์มากพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยพระองค์อย่างมาก!”
ทันใดนั้นท่านปู่มู่ก็วิ่งปรี่เข้าไปหาซู่หลิง แล้วพูดขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มู่เทียนอินตกตะลึงและจ้องท่านปู่ด้วยความงุนงง
“อินเอ๋อร์สามารถฝึกฝนจิติญญาได้แล้วจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเข้าสู่ขั้นที่ห้าของระดับิญญาขาวอีกด้วย เป็พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์แท้ๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
ท่านปู่มู่ตื่นเต้นมาก จนเสียงดังกังวานของเขาสั่นเครือ
หลานสาวที่ไม่สามารถฝึกฝนจิติญญาได้ สุดท้ายก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยความช่วยเหลือจาก 'ยอดฝีมือ' และยังกลายเป็หนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บุตรหลานรุ่นใหม่
ในการประลองในตระกูลเมื่อครู่ เขาได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าอินเอ๋อร์ชนะเลิศอันดับหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
"อืม"
ซู่หลิงมีสีหน้าสงบ ดวงตาเรียวสวยจับจ้องมองไปที่มู่เทียนอินตลอดเวลา
“อินเอ๋อร์ เ้าจงติดตามองค์ฮ่องเต้ใหญ่ไปเสียเถิด”
ท่านปู่มู่เต็มไปด้วยความปีติยินดี ยิ่งมองรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนของซู่หลิง ก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับเขาแล้ว นี่คือพระคุณอันใหญ่หลวง
อย่างไรก็ตาม หากดูจากท่าทีของเขา บุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลซู่ย่อมมีความแตกต่างออกไป
ท่านปู่มู่ยังไม่ลืมสิ่งที่ฮ่องเต้ใหญ่ส่งคนมาบอกเขาไว้
ร่างกายของอินเอ๋อร์มีมีความพิเศษมาก ที่สามารถฝึกฝนพลังิญญาได้ถือว่าเป็โชคดีอย่างยิ่ง ต้องระวังและดูแลรักษาให้ดี ไม่เช่นนั้นความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดอาจสูญเปล่า
เขาจำทุกคำพูดเกี่ยวกับร่างกายของเทียนอินได้อย่างแม่นยำ
ท่านปู่มู่จึงเชื่อเขาอย่างสนิทใจ และได้มอบหลานสาวอันล้ำค่าให้กับเขาไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของท่านปู่ มู่เทียนอินก็รู้สึกอบอุ่นในใจ
“อินเอ๋อร์ กลับไปกับเปิ่นจุนเถอะ”
สีหน้าสงบของซู่หลิงค่อยๆ เปิดริมฝีปากบางและจับมือนางย่างแ่เบา
เพราะไม่สามารถปฏิเสธท่านปู่ได้ มู่เทียนอินจึงจ้องเขม็งไปที่เขาด้วยสายตาโกรธจัด
บุรุษผู้นี้ช่างเ้าเล่ห์เสียจริง เพราะรู้ว่าคนเดียวที่นางห่วงใยก็คือท่านปู่
มู่เทียนอินจึงถูกเขาพาออกไปทั้งแบบนี้ โดยมีเทียนเฟิงและหลิงอวิ๋นเดินตามหลังพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เหล่าสมาชิกตระกูลตระกูลมู่ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน
และคำขอบคุณอย่างจริงใจของท่านปู่มู่ทำให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนขึ้นทันที
ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณหนูสามจะสามารถเปลี่ยนจากคนขี้โรคมาเป็อัจฉริยะได้ในเวลาอันสั้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็พระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ใหญ่!
“ฮ่องเต้ใหญ่ช่างเป็คนดีมากจริงๆ!”
“ต้องขอบคุณฮ่องเต้ใหญ่ที่ทำให้คุณหนูสามของเรากลายเป็อัจฉริยะได้!”
“ฝ่าามีพระกรุณาต่อคุณหนูสามมาก ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
ความคิดเห็นของเหล่าสมาชิกในตระกูลเริ่มเบี่ยงเบนไปจากเดิม ต่างก็รีบยกย่องซู่หลิงตามท่านผู้นำตระกูล
แม้แต่เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ที่มักยึดถือขนบธรรมเนียมเดิมเป็ที่ตั้ง ยังต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นซู่หลิงมารับนางด้วยตนเอง และยังริเริ่มจับมือนางอีกด้วย
ทั้งห้าคนที่เคยเคร่งขรึม กลับยิ้มออกมาอย่างสดใส
ทุกคนต่างรู้ดีว่าปกติแล้วฮ่องเต้แห่งหลิงเทียนกั๋วนั้นเ็าและห่างเหินมากเพียงไหน
บางคนเกิดมาพร้อมกับความสง่างามและเย่อหยิ่ง ไม่สามารถดูิ่ได้
ยิ่งใบหน้าอันงดงามราวเทพเซียนดูเย้ายวนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ความรู้สึกเ็า ห่างเหิน และสูงส่งเกินกว่าจะเข้าถึงได้มากเท่านั้น
มู่ซิว มู่เสวียนและคนอื่นๆ มีชีวิตมายาวนาน จึงมีความคิดที่เฉียบแหลมและชาญฉลาดอย่างมาก
พวกเขาสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่าท่าทีของฮ่องเต้ใหญ่ที่มีต่อเทียนอินนั้นไม่ธรรมดา
“เหตุใดต้องพาข้ากลับไปด้วยล่ะ?”
หลังจากขึ้นเกี้ยวแล้ว ใบหน้าเล็กของมู่เทียนอินก็ก้มลง จ้องไปที่ซู่หลิงด้วยความโกรธเคือง
“เปิ่นจุนบอกว่าหนึ่งเดือน ไม่ใช่ว่ายังค้างอยู่อีกสามวันหรอกหรือ?”
เซียนในชุดขาวที่ถูกเนรเทศเพียงกวาดสายตามองนาง และพูดอย่างไม่เร่งรีบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้