มือของโจวซื่อกุมที่หน้าอกของนางไว้แน่น ดวงตาของนางแดงก่ำ จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของหลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่ยังคงยืนอยู่ต่อหน้าโจวซื่อเช่นนั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง
“เ้าพูดอะไร?” ฉือหางดึงหลินกู๋หยู่ไปข้างหลังเขา “หยุดพูดได้แล้ว”
หลินกู๋หยู่จับแขนของฉือหางแล้วส่ายศีรษะเบาๆ
นางไม่ได้แสดงความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงเป็เื่ปกติที่จะถูกตบตี
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของฉือหาง โจวซื่อนึกถึงอาการาเ็ของเขา ใบหน้าของนางก็น่าเกลียดยิ่งขึ้น
“ไป!” โจวซื่อจับมือฟางซื่อแล้วเดินไป
ฟางซื่อมองโจวซื่อด้วยความประหลาดใจ ประคองโจวซื่อไปอย่างไม่ยินยอม
สมาชิกในครอบครัวสกุลฉือจากไปอย่างเอิกเกริก
“ข้าขอโทษ” หลินกู๋หยู่พูดเบาๆ และมองฉือหาง “ข้าพูดกับแม่สามีไม่ดี”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่สงบนิ่งของหลินกู๋หยู่ หัวใจของฉือหางก็เต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ จมูกของเขาเริ่มแสบ "เ้าเป็ห่วงข้าหรือ?"
เพียงประโยคเบาหวิว แต่ทำให้หลินกู๋หยู่ตะลึงงัน
เกิดอะไรขึ้นกับนาง?
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหางด้วยความสับสน
นางก็แค่เห็นว่าฉือหางปากโง่เขลา พูดไม่เป็ก็เท่านั้น
สิ่งที่ฉือหางทำ มากที่สุดทุกครั้งก่อนหน้านี้คือปกป้องนางให้อยู่ข้างหลังเขา เชื่อในทุกคำที่นางพูด
ทุกครั้งที่เขาถูกโจวซื่อทุบตีหรือต่อว่า เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากบ่นสักครั้ง
ไม่ใช่ เป็ไปไม่ได้ที่นางจะมีใจให้เขา
หลินกู๋หยู่หลบสายตาที่ลนลานระคนสับสนของตัวเองมองไปข้างๆ พร้อมกับเดินจับมือโต้ซาไปที่บ้าน
นางจะเป็ห่วงเป็ใยผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร ผู้ชายคนนี้ เขา เขา...
หลังจากตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง หลินกู๋หยู่คิดไม่ออกว่าเขามีส่วนไหนที่ไม่ดีบ้าง
คนโง่?
ทว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยโง่เขลาเบาปัญญาในเื่สำคัญๆ
แล้วเขาไม่ดีตรงไหนหรือ?
นางไม่เป็ห่วงเขาเลย ไม่ห่วงเขาเลยแม้แต่เศษเสี้ยว
นางแค่ยืมที่พักอาศัยอยู่บ้านสกุลฉือ นางเพียงแค่ทนไม่ได้ที่โจวซื่อพูดกับฉือหางอย่างเย่อหยิ่งทะนงตน เพราะท้ายที่สุดแล้วบุรุษคนนั้นต่อล้อต่อเถียงไม่เป็
มันต้องด้วยเหตุนี้แน่นอน มันต้องด้วยเหตุนี้อย่างแน่นอน
ฉือหางหายใจเข้าลึกๆ หันศีรษะไปมองที่เงาด้านหลังของหลินกู๋หยู่ที่กระวีกระวาดเดินจากไปอย่างเร่งรีบ หัวใจของเขาว่างเปล่า จากนั้นเขาก็เดิมตามไป
เมื่อเดินผ่านเชิงเขา หลินกู๋หยู่พลันยืนอยู่กับที่ เมื่อฉือหางเดินมาถึง จากนั้นจึงเอ่ยว่า "เ้ากับโต้ซา กลับบ้านก่อน ข้าจะไปเก็บฟืน"
"ข้าจะไปกับเ้า" ฉือหางพูดโดยไม่คิด เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของหลินกู๋หยู่ เขาก็ได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความงุนงง
ดูเหมือนว่าเขาจะพูดอะไรผิดไป
“ข้าไปเองก็ได้แล้ว” หลินกู๋หยู่กล่าวพลาง ยื่นมือโต้ซาให้ฉือหางแล้วเดินไปที่ตีนเขาคนเดียว
นางเดินเร็วมาก ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกว่าดวงตาที่อยู่ข้างหลังมองมาเสียจนรู้สึกร้อนผ่าว นางไม่กล้าหันศีรษะกลับไป
“ท่านแม่” เสียงหวานและนุ่มนวลของโต้ซาดังขึ้นจากด้านหลัง
หลินกู๋หยู่หยุดเดินแล้วหันกลับไป เห็นฉือหางอุ้มโต้ซา สายตาของเขามองมาที่นางตาไม่กะพริบ
“ถ้าเ้า” หลินกู๋หยู่ก้มศีรษะลง เสียงของนางละล้าละลังหลายส่วน “หากเ้าไม่รู้สึกเจ็บหน้าอก ไปเก็บฟืนด้วยกันดีหรือไม่?”
ริมฝีปากบางของฉือหางอดไม่ได้ที่จะคลี่ออก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข สุขมากเสียจนลืมพูด เขาอุ้มโต้ซาเดินไปหาหลินกู๋หยู่
ใบหน้าของหลินกู๋หยู่เปลี่ยนเป็สีแดงระเรื่ออย่างไม่ได้ตั้งใจ ขาก็เตะก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างทำตัวไม่ถูก
เมื่อหลายอึดใจก่อน นางคงจะสติแตกไปแล้วกระมัง ถึงได้บอกให้ฉือหางตามนางไปด้วย
"ท่านแม่"
เมื่อฉือหางเดินไปพร้อมกับโต้ซาในอ้อมแขน โต้ซาก็ะโอย่างตื่นเต้น
“พ่อของเ้าได้รับาเ็แล้ว เ้าลงมาเร็ว” หลินกู๋หยู่พูดอย่างเป็ธรรมชาติมาก จากนั้นจึงรับโต้ซาลงมาไว้บนพื้น “โต้ซาเดินได้เองใช่หรือไม่?”
“ท่านพ่อาเ็ ข้าเดินเองได้” โต้ซาคลี่ยิ้มและมองไปที่หลินกู๋หยู่ ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กน้อยโค้งงอราวกับจันทร์เสี้ยว เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเขา นางมองเห็นเงาของฉือหางได้รางๆ
หลินกู๋หยู่ลุกขึ้น ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง นางก็หลุบตาหนีเล็กน้อย เมื่ออึดใจก่อนนางเป็ห่วงเขาอีกแล้วหรือ?
ด้านในูเานั้นอันตรายเกินไป หลินกู๋หยู่ไม่กล้าเข้าไปด้านใน เพียงแต่หยิบฟืนที่เชิงเขาเท่านั้น
ฉือหางรวบรวมฟืนทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วแบกไว้บนหลังของเขา โดยไม่คำนึงถึงว่าตนเองกำลังาเ็อยู่
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางที่กำลังแบกฟืนหนัก คิ้วขมวดมุ่นและก้าวไปข้างหน้า "พวกเราไม่้าฟืนมากมายถึงขนาดนั้น"
"คราวหน้าก็จะได้ไม่ต้องมาเก็บอีก" ฉือหางกล่าว มองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม "เรากลับกันเถอะ"
ช่างเป็ลาที่ดื้อรั้นจริงแท้
หลินกู๋หยู่มองฉือหางเช่นนี้ และรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดมากไปกว่านี้ นางแบ่งฟืนเล็กน้อยไว้บนแผ่นหลังของนาง
โต้ซาเห็นว่าทั้งพ่อแม่ของเขากำลังแบกฟืน ด้วยเหตุนี้เขาก็อยากจะแบกมันด้วย ดังนั้นหลินกู๋หยู่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากผูกฟืนเล็กน้อยไว้ที่หลังของโต้ซา
โต้ซาไม่้าให้หลินกู๋หยู่จับมือเขา เขาเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
"โต้ซาเชื่อฟังมาก" หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองฉือหาง แล้วเอ่ยต่อ "เด็กคนนี้เป็เด็กดีจริงๆ"
“เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็เช่นนี้” เบ้าตาของฉือหางแคบลงเล็กน้อย “เขามักจะซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องไม่ยอมปรากฏตัวออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเ้าดูแลเขา บางทีเขาก็อาจจะยังเป็เหมือนเดิม”
"เขา" หลินกู๋หยู่ลังเล จากนั้นพูดด้วยความไม่สบายใจหลายส่วน "ก่อนหน้านี้คนๆ นั้นดูแลเขาอย่างไรหรือ?"
ฉือหางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในตอนนี้
นางจะโกรธหรือไม่ที่เขาพูดถึงผู้หญิงคนนั้นก่อนหน้านี้?
หลินกู๋หยู่รอสักพัก แต่ฉือหางก็ยังคงไม่เอ่ยวาจาใด
"เกิดอะไรขึ้นหรือ?" หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางอย่างสงสัย
“เมื่อก่อนนางจะออกไปคุยกับคนอื่นๆ ทุกวัน เมื่อยามนางกลับมา นางก็จะดุเขา” ฉือหางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาของเขาขมวดมุ่น “เมื่อก่อนโต้ซาผอมกว่านี้ ท่านแม่ของข้าก็ดูแลโต้ซามาพักหนึ่ง ถึงดีขึ้น"
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ฟังสิ่งที่ฉือหางพูด
ถ้าโจวซื่อเป็ห่วงโต้ซาจริงๆ นางจะไม่ดูแลโต้ซาหลังจากที่ฉือหางหย่ากับภรรยาของเขา แต่จะดูแลก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ
โธ่
ผู้คนมักจะลำเอียง เช่นเดียวกับนางที่ลำเอียงด้วยเช่นกัน
ตอนนี้นางลำเอียงเข้าข้างผู้ชายเคียงข้างนางคนนี้เสียแล้ว
ไม่เช่นนั้น นางคงไม่ปฏิเสธงานที่โรงหมอแล้วมาคอยอยู่บ้านดูแลเขาเช่นนี้
หลินกู๋หยู่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ทอดถอนหายใจเบาๆ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เวลานั้นโต้ซาขี้อายมาก เสียงก็ยังเบามาก”
โชคดีที่เวลานี้เด็กน้อยค่อยๆ ดีขึ้น เขากำลังเรียนรู้ที่จะสดใสร่าเริง
ทันทีที่กลับถึงบ้าน หลินกู๋หยู่ก็ปรุงอาหารและรับประทานอาหารท่ามกลางความเงียบสงัด
เมื่อฉือหางกำลังรับประทานอาหาร เขามองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างลังเล เอ่ยอย่างไม่มั่นใจ "หรือว่าเราจ่ายภาษีรายบุคคลให้ฝั่งท่านแม่และฝั่งท่านแม่ยายให้ครบทุกคนดีหรือไม่?"
หลินกู๋หยู่หยุดทานอาหาร เงยหน้าขึ้นมองฉือหาง
"ข้าแค่คิดว่าครอบครัวของเรามีเงินมากมาย" ฉือหางพูดด้วยเสียงต่ำ
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางก่อนถอนหายใจ "เ้าคิดว่าในมือของเรามีเงินมากมายหรือ?"
ฉือหางตรองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ อย่างไรก็ตาม ในบ้านยังพอมีเงินอยู่บ้าง
“บางทีท่านแม่อาจจะมีเงินอยู่หนึ่งร้อยตำลึง” หลินกู๋หยู่ลดสายตาลง พูดอย่างหมดหนทาง “และฝั่งของท่านแม่ของข้าก็มีเงิน แม้ว่าน้องชายของข้าจะจ่ายเงินค่าเล่าเรียนไปแล้ว แต่กระนั้นในบ้านของท่านแม่ก็ยังมีเงินเพียงพอ"
“พวกเขาควรจะพึ่งพาตนเอง” หลินกู๋หยู่กล่าวต่อ “เ้าทำอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ พวกเขามีแต่จะพึ่งพาเ้ามากขึ้นเท่านั้น”
ฉือหางไม่พบว่าสิ่งที่นางพูดนั้นมีข้อผิดพลาด
หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองโต้ซาที่อยู่ข้างๆ เขา ดวงตาของนางอ่อนโยน เอ่ยเบาๆ ว่า "เ้ายังมีลูกของเ้าเอง วันข้างหน้าจะต้องส่งโต้ซาเรียนหนังสือ ในเวลานั้นครอบครัวจะต้องใช้เงินมากกว่านี้"
ฉือหางจ้องมองที่หลินกู๋หยู่อย่างตกตะลึง จากนั้นมองไปที่โต้ซาที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย โต้ซายังเด็กเกินไป
"วันข้างหน้าหากโต้ซาได้เป็ขุนนาง หากเ้า้าให้ได้ตำแหน่งขุนนางที่ดี จะต้องใช้เงินจำนวนมาก" หลินกู๋หยู่มองไปที่โต้ซาที่ด้านข้าง หน้านิ่วคิ้วขมวด "โต้ซาของพวกเราจะต้องได้เป็ขุนนางที่เที่ยงธรรม เช่นนั้นจะต้องปกป้องประชาชน ้าให้เงินมาไม่พอ เราก็ต้องช่วยกันอุดหนุน ให้เขาได้ทำผลงานให้ดี นี่ก็เป็การทำประโยชน์เพื่อแผ่นดินและประชาชน แน่นอนว่าเราต้องช่วยสนับสนุน"
ฉือหางนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างตกตะลึง ก่อนจะคิดคำนวณได้ หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่
ตอนนี้โต้ซาอายุเท่านี้เอง และยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตำแหน่งขุนนางสอบเข้าได้ง่ายถึงเพียงนั้นหรือ?
“กู๋หยู่” ฉือหางกลืนน้ำลายเต็มปากอย่างกระวนกระวาย “สิ่งที่เ้าคิด มันไกลเกินไป นี่มัน...”
เมื่อได้ฟังคำพูดของฉือหาง สีหน้าของหลินกู๋หยู่ก็ชะงักงันชั่วคราว
เมื่อครู่นางพูดว่าอะไรนะ?
หลินกู๋หยู่ลดศีรษะลง คีบข้าวเข้าปากอย่างเงียบๆ
นางกำลังช่วยพวกเขาวาดอนาคตของพวกเขางั้นหรือ?
"แต่ว่าสิ่งที่เ้าพูดนั้นค่อนข้างถูกต้อง" ฉือหางพูดต่อ "พวกเขาทุกคนมีเงิน ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องให้ข้าจ่ายในตอนนี้"
“อืม” หลินกู๋หยู่พยักหน้า ดีใจที่ฉือหางคิดได้ “ถ้าพวกเขาไม่มีเงินจริงๆ ถ้าพวกเรามีความสามารถ พวกเราก็ช่วยได้ ทว่าตอนนี้ไม่จำเป็ต้องช่วย”
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยเป็ตัวของตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนนางจะพูดมากขนาดนี้หรือ?
“แต่ว่าถ้าเ้า้าจ่าย เช่นนั้นก็จ่ายเถอะ” หลินกู๋หยู่กล่าวสำทับอย่างเป็ธรรมชาติ “อย่างไร นั่นเป็เงินของครอบครัวของเ้า เ้าจะทำอะไรก็ได้ตามที่เ้า้า”
“ข้าจะเชื่อฟังเ้า” ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้ม
ว่ากันว่า ผู้ชายที่มีริมฝีปากบาง มักจะมีจิตใจเหี้ยมเกรียม
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มหน้าลงทานข้าวเงียบๆ
หลังจากรับประทานอาหาร ฉือหางจัดโต๊ะและทำความสะอาดจานชามอย่างขยันขันแข็ง
หลินกู๋หยู่หยิบเสื้อผ้าสกปรกของทั้งสามคนออกเดินไปที่บ่อน้ำ ใส่เสื้อผ้าลงในอ่างไม้อีกใบ จากนั้นเทน้ำลงในถังไม้
โชคดีที่ที่บ้านมีบ่อน้ำ จึงไม่จำเป็ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ
หลินกู๋หยู่ไม่คุ้นเคยกับการใช้ไม้กระดานซักผ้า ดังนั้นนางจึงยังคงซักด้วยมือ ด้วยการถูสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าทั้งหมด หากถูไม่สะอาด นางจะใช้สบู่ในการซัก
ฉือหางนั่งอยู่ข้างกองฟืน ตัดไม้ด้วยขวานสองสามครั้ง ในขณะที่หลินกู๋หยู่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นางก็เห็นว่าเขาใช้มีดเหลาท่อนไม้
แขวนเสื้อผ้าที่ซักแล้วไว้บนเสาไม้ไผ่ แม้ว่าจะเป็ฤดูใบไม้ร่วง แต่อากาศไม่นับว่าหนาวจนเกินไป
หลังจากจัดการซักและตากผ้าเสร็จแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ยืดตัวขึ้นด้วยอาการปวดเมื่อย หลังจากเหนื่อยล้าจากการซักผ้า จากนั้นเดินไปหาฉือหาง "กำลังทำอะไรอยู่หรือ?"
“เหลาลูกธนู” ฉือหางหยิบลูกธนูที่เหลาเสร็จแล้วยกขึ้น “ลูกธนูที่ยิงถูกสัตว์เ่าั้ ถ้าพวกมันหนีไป ลูกธนูก็จะหมดไปด้วย”
มันค่อนข้างแปลก หลินกู๋หยู่ยืนอยู่ข้างๆ ฉือหางและพินิจมอง
"ขอสอบถามหน่อย ไม่ทราบว่า คุณชายฉืออยู่บ้านหรือไม่?" ทันใดนั้นเสียงของเสี่ยวซือ[1]ก็ลอดดังมาจากประตู
ฉือหางลุกขึ้นด้วยความสงสัย "ข้าอยู่"
…………………………………………………………..
[1] เสี่ยวซือ คือ คนรับใช้ที่เป็ผู้ชาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้