“แพทย์นิติเวชของเราระบุว่า ส่วนประกอบของยาพิษสอดคล้องกับในขวดยาเล็กๆ นั่นจริง และแพทย์ประจำตัวของหลี่ต้าเฮิงก็บอกพวกเราอีกด้วยว่า ยาที่เขาเคยใช้เป็ยาต้องห้าม ตอนนี้หลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่าเขาเป็คนร้าย แม้ว่าเขาจะไม่รับสารภาพก็ตัดสินโทษได้ คุณมีความเห็นอย่างไรล่ะ?”
ฉือผิงฮุยจ้องจ้าวอี้ มองเขาตาไม่กะพริบ
จ้าวอี้เกาคิ้วที่นูนออกมา “เดี๋ยวก่อนนะครับ ดูเหมือนยังมีผู้ตายอีกคนซึ่งก็คือน้องชายของหลี่ต้าเฮิงนี่ครับ?”
“ใช่แล้ว เป็น้องชายแท้ๆ เลยล่ะ เขาถูกวินิจฉัยว่าฆ่าตัวตายและได้ทิ้งจดหมายสั่งเสียเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิสูจน์ตัวตนบ่งชี้ว่าเป็ลายมือที่เขาเขียนด้วยตนเองจริง ความรู้สึกของพวกเขาสองพี่น้องลึกซึ้งอย่างมาก อีกทั้งลูกชายของเขาและคนอื่นก็ยืนยันว่าผู้ตายมักแสดงออกว่ามีแนวโน้มอยากตายไปพร้อมกับพี่ชาย”
คำพูดของฉือผิงฮุยทำให้จ้าวอี้ชะงัก ยุคนี้ยังมีการเซ่นสังเวยอยู่อีกหรือ? อีกทั้งน้องชายของเขาด้วย ในสายตาของจ้าวอี้แล้ว จะมองอย่างไรเื่นี้ก็ดูน่ารำคาญ
“เป็ไปไม่ได้หรอกมั้ง?”
“ไม่มีอะไรที่เป็ไปไม่ได้หรอกนะ ตอนหลี่ต้าเฮิงยังหนุ่ม เขาเลี้ยงดูน้องชายจนโตมาอย่างยากลำบาก พวกเขาสองพี่น้องไม่มีพ่อ ถ้าคุณพอจะมีเวลาล่ะก็ คุณลองดูอัตชีวประวัติของหลี่ต้าเฮิงก็ได้นะ พวกเขาพี่น้องพึ่งพาอาศัยกันมานานหลายปีแล้ว เขากลัวว่าพี่ชายของตนจะเดินทางไปโลกหน้าอย่างโดดเดี่ยว คุณก็รู้นี่ว่า ความคิดของคนรุ่นนั้นไม่เหมือนกับคนหนุ่มสาว ความรู้สึกเช่นนี้หาได้ยากมากเลยนะ”
ฉือผิงฮุยพูดด้วยอารมณ์
จ้าวอี้ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ
“ผมจะไปดูว่ามีเบาะแสสำคัญอะไรของมือสังหารอีกไหม ต้องไปขอความร่วมมือจากแผนกตำรวจจราจร”
ฉือผิงฮุยอธิบายประโยคหนึ่งก็จากไป
จ้าวอี้ขอข้อมูลของผู้อาศัยทุกคนที่อยู่ในบ้านตระกูลหลี่และเริ่มตรวจสอบ
คดีนี้มีข้อสงสัยเยอะมาก ในความคิดของจ้าวอี้นั้น ดูเหมือนบ้านตระกูลหลี่จะความสัมพันธ์ที่มองไม่ออกอยู่
หลี่ต้าเฮิงมีลูกสาวเพียงหนึ่งคน แต่มีลูกนอกสมรสมากมายถึงหกคน เพียงแต่ไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา เขาให้เงินก้อนหนึ่งกับบรรดาลูกๆ เพื่อเป็ทุนในการสร้างธุรกิจเล็กๆ ของตนเอง พวกเขาไม่ต้องกังวลกับความเป็อยู่ของตน แต่ต่างคนต่างไม่ใส่ใจอีกฝ่าย ซึ่งดูได้จากพินัยกรรมของหลี่ต้าเฮิง นอกจากนี้ ในแฟ้มประวัติยังบันทึกความสำเร็จต่างๆ ที่หลี่ต้าเฮิงได้รับจากการทำธุรกิจตลอดจนรายชื่อกิจการที่เขาดูแล ทำให้ดูออกได้ไม่ยากเลยว่า หลี่ต้าเฮิงนั้น เป็นักธุรกิจที่มีความหลักแหลมอย่างเหลือล้น
ส่วนท้ายของแฟ้มประวัติของเขามีสำเนาของพินัยกรรมฉบับหนึ่งอยู่
พินัยกรรมของเขาแบ่งเป็สามส่วน เจ็ดในสิบส่วนของทรัพย์สมบัติยกให้ลูกสาวของเขา หนึ่งในห้าส่วนยกให้น้องชายของเขา และหนึ่งในสิบส่วนที่เหลือแบ่งให้ลูกนอกสมรสทั้งหกคนของเขา
แฟ้มประวัติของน้องชายเขาก็สุดยอดไม่แพ้กัน
ทะเลาะวิวาท เมาแล้วขับ เป็ชู้กับดารา และอื่นๆ อีกมากมาย หนากว่าแฟ้มประวัติของหลี่ต้าเฮิงถึงสามส่วน เพียงแต่ใน่สองปีมานี้ สุขภาพของหลี่ต้าเฮิงไม่ค่อยดีนัก น้องชายของเขาจึงยับยั้งลงอยู่ไม่น้อย พูดได้ว่าเขาเป็มาตรฐานหนึ่งของลูกผู้ดีเลยทีเดียว ก็ใครให้เขามีพี่ชายรวยกันเล่า ทุกเื่ถูกจัดเตรียมให้เขาอย่างเหมาะสม ไม่เคยทำให้เขาเดือดร้อนเลย
นอกจากนี้แล้ว ระหว่างเขากับหลี่ต้าเฮิงก็มีความรู้สึกที่ลึกซึ่งแฝงอยู่ มีครั้งหนึ่งที่เศรษฐีคู่ค้าคนหนึ่งเคยพูดจาไร้มารยาทกับหลี่ต้าเฮิง เมื่อเขารู้เื่นั้น เขาก็รีบมุ่งหน้าไปหาคนคนนั้น แล้วแลกหมัดแลกเท้ากันอย่างเสียเกียรติ
หลี่เยว่หรูลูกสาวของหลี่ต้าเฮิง จบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หลังจากจบการศึกษาก็เข้ามาดูแลธุรกิจครอบครัวด้วยการสนับสนุนของหลี่ต้าเฮิง ปัจจุบันเธอเป็ผู้กุมบังเหียนที่แท้จริงของตระกูลหลี่ และเป็หญิงแกร่งคนหนึ่ง
หลี่เทียนิหลานชายของหลี่ต้าเฮิง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอกชนของฮ่องกง เป็เสือผู้หญิงที่ชอบขับรถและชอบดื่ม สไตล์ของเขาเหมือนกับพ่อของเขามาก มีนิสัยชอบกดขี่
นอกจากนี้ตระกูลหลี่ยังมีบอดี้การ์ดมากกว่ายี่สิบคน คนใช้อีกยี่สิบคน รวมไถึงคนขับรถ เชฟ คนสวน พนักงานทำความสะอาดและอื่นๆ มีสมาชิกค่อนข้างซับซ้อน
เป็เวลาดึกมากแล้ว กว่าจ้าวอี้จะอ่านข้อมูลเหล่านี้เสร็จก็เกือบจะค่อนคืน
หลังขยับร่างกายที่แข็งเกร็งเล็กน้อยแล้ว จ้าวอี้ก็คิดอะไรอีกเล็กน้อยและตัดสินใจไปหาเหล่าโจว
ตอนนี้เหล่าโจวถือเป็ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ ห้ามคนนอกเข้าเยี่ยม แต่จ้าวอี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของข้อห้ามนี้
เห็นได้ชัดว่าสภาพของห้องสอบปากคำไม่ได้ดีอย่างที่คิด เหล่าโจวนอนคุดคู้อยู่บนเตียงและรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อจ้าวอี้เข้ามาเขาก็ตื่นทันที
เมื่อเห็นว่ามีเพียงจ้าวอี้คนเดียว ท่าทางของเหล่าโจวก็ผ่อนคลายขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
“มีบุหรี่ไหม? ฉันขอมวนหนึ่งสิ”
เมื่อรับบุหรี่มาจากจ้าวอี้แล้ว เหล่าโจวสูบอย่างแรงหนึ่งเฮือก
“คราวนี้ซวยจริงๆ ฉันไม่ได้หวังว่าภารกิจจะง่าย แต่ใครไปจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเป็กับดัก!” เหล่าโจวหน้านิ่วคิ้วขมวด ควันบุหรี่ลอยทั่วร่างเขา
“ผอ.โจว คุณออกมารอบนี้ไม่ได้ดูดวงให้ตัวเองเหรอ?” จ้าวอี้หยอก พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคล้ายบ้าง
“นายไม่รู้ข้อห้ามของอาชีพเรา คนที่ดูดวงให้คนอื่นไม่สามารถดูดวงให้ตนเองได้ ตอนที่ออกมา ฉันดูดวงให้นายรอบหนึ่งแล้ว ดวงชะตาของนายไม่เลวเลย ฉันถึงเลือกให้นายมากับฉันไงล่ะ ใครจะรู้ล่ะว่า...” เหล่าโจวถอนหายใจ ข้อห้ามนี้มีมาั้แ่โบราณ โหรไม่เพียงดูดวงให้ตนเองไม่ได้ คนที่ใกล้ชิดด้วยก็ไม่อาจคำนวณให้ได้เช่นกัน
จ้าวอี้พยักหน้า นี่อาจจะอธิบายได้ว่า ทำไมเหล่าโจวถึงเลือกตนจากคนหลายคนให้ร่วมเดินทางมาด้วย โดยปกติแล้ว ในจำนวนคนทั้งหมดนั้น มีเพียงเขาที่มีความสัมพันธ์กับเหล่าโจวน้อยที่สุด เนื่องด้วยเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
“จ้าวอี้ นายต้องหาฆาตกรตัวจริงให้ได้นะ! แม่มันเถอะ นอกจากจะจัดฉากให้ฉันเป็คนร้ายแล้ว วันนี้ยังคิดจะลอบสังหารฉันอีก ชัดเลยว่ามัน้าชีวิตฉัน!” ใบหน้าของเหล่าโจวปรากฏความอำมหิต
ปกติเขาเป็แค่ตาแก่ใจดีคนหนึ่ง แต่ตาแก่คนนี้ก็มีไฟโทสะอยู่เหมือนกัน
“คุณคิดว่าเริ่มต้นที่ไหนถึงจะดีเหรอครับ? ตอนนี้ผมไม่มีเบาะแสอะไรเลย”
จ้าวอี้ขอคำแนะนำจากเหล่าโจว
“ณ จุดนี้ฉันช่วยนายไม่ได้จริงๆ พูดตามตรงเลยนะ อย่ามองฉันเป็ผอ.ของพวกนายเลย ที่จริงฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการไขคดีด้วยซ้ำ ผู้เชี่ยวชาญการไขคดีของแผนกเราคือเซี่ยตันต่างหาก นายช่วยหาทางให้เธอมาที่นี่แล้วรับผิดชอบคดีนี้ได้ไหม?”
เหล่าโจวมั่นใจในตัวเซี่ยตันมาก เขามองจ้าวอี้อย่างคาดหวัง
จ้าวอี้ส่ายหน้า “ผมเกรงว่าจะไม่ได้ คุณเซี่ยตันก็อยากมาเหมือนกัน แต่ถูกเบื้องบนปฏิเสธ”
“ก็ไม่แปลก ฉันอยู่ที่หน่วยนี้มาสองสามปีแล้ว ฉันว่าเบื้องบนก็คงกังวลเหมือนกัน แต่ฉันถูกใส่ร้ายอย่างแน่นอน”
เหล่าโจวตบต้นขาอย่างหงุดหงิด
“ก่อนอื่นคุณพักผ่อนสักหน่อยเถอะครับ ผมจะหาทางเอง” จ้าวอี้ปลอบใจเหล่าโจว คิ้วของเขาขมวดเป็ปม
เขาไม่ได้คุยกับเหล่าโจวมากนัก เพราะในห้องสอบปากคำมีกล้องวงจรปิดอยู่ จ้าวอี้เข้าใจดีถึงหลักการที่ว่าพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง ครั้งนี้เขามาหาเหล่าโจวเพื่อดูว่าตนจะเจออะไรอีกบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าเหล่าโจวตกหลุมพรางโดยสิ้นเชิงและไม่พบอะไรทั้งนั้น
จ้าวอี้ไม่ได้กลับไปยังโรงแรมที่ฉือผิงฮุยจองไว้ให้ แต่เขาใช้เวลาสองสามชั่วโมงในการจัดการบางอย่างอยู่ที่สถานีตำรวจ และแล้วท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง
ตอนเช้าตรู่ จ้าวอี้โทรหาเซี่ยตัน
เนื่องจากเป็กฎที่ต้องรักษาความลับ จ้าวอี้จึงไม่สามารถเปิดเผยความคืบหน้าของคดีได้ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือคิดถึงการไขคดี เห็นได้ชัดเลยว่าเซี่ยตันให้คำแนะนำแก่เขาได้มากมายเลยทีเดียว
ฉือผิงฮุยที่เข้างานมาเห็นจ้าวอี้ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย ซึ่งมันเกินกว่าที่เขาคาดไว้
เขาข่มความสงสัยไว้ในใจ ใบหน้าของฉือผิงฮุยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณจ้าว แม้ว่าคดีนี้จะยังจับตัวผู้ที่อยู่เื้ัไม่ได้ในตอนนี้ แต่เราก็ยืนยันตัวฆาตกรได้แล้วนี่ครับ ทำไมเราไม่ไปรายงานผบ.แล้วก็โทรตามสื่อเปิดเพื่อเผยข้อมูลใหม่ล่าสุดของคดีด้วยกันล่ะ?”
“รีบขนาดนั้นเลยเหรอ? โจวเหวินิยังมีข้อสงสัยอีกมากเลยนะ และจำเป็ต้องยืนยันอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย เราไม่อาจระบุไปแบบส่งๆ ได้หรอกว่าเขาคือฆาตกร ผมคิดว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไร”
จ้าวอี้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก คดีเกิดขึ้นเมื่อวาน วันนี้สรุปคดี มันเร็วเกินไปหรือเปล่า?
รอยยิ้มบนหน้าของฉือผิงฮุยหายไปทันที เขามองจ้าวอี้อย่างไร้ความรู้สึก “คุณจ้าวอาจจะไม่รู้นะครับ แต่่นี้สถานีตำรวจของพวกเราเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก คุณก็รู้ดีถึงอิทธิพลของหลี่ต้าเฮิง สื่อทั้งฮ่องกงต่างให้ความสนใจในความคืบหน้าของคดีนี้ ทันทีที่เราออกจากประตูสถานีตำรวจ เราคงถูกสื่อพวกนั้นล้อมหน้าล้อมหลังแน่นอน พวกเราทำงานหนักได้ตามปกติแม้ว่าผู้ต้องสงสัยจะไม่ยอมรับก็ตาม แต่หลักฐานของเราก็มีเพียงพอและสามารถนำเื่ขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีได้ หากคุณไม่เห็นด้วย ผมจะไปรายงานกับผบ.เอง”
เมื่อพูดจบเขาก็จากไป
เมื่อมองแผ่นหลังของฉือผิงฮุยที่จากไป จ้าวอี้ก็รู้สึกปวดหัว
เขาไม่คิดว่าหัวหน้าหน่วยตรวจการคนนี้จะมองไม่เห็นข้อสงสัยในคดี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้เป็หัวหน้าในเขตนี้ เพียงแต่อาจเป็เพราะสาเหตุหลายอย่าง เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว เขาจึงเลือกทำเช่นนี้
ตัวเลือกเช่นนี้ไม่ดีต่อโจวเหวินิเลยสักนิด
เพราะติดอยู่ในสถานีตำรวจโดยไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย จ้าวอี้จึงตัดสินใจเดินหน้าหาเบาะแสที่บ้านตระกูลหลี่แทน แน่นอนว่าต้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจที่นี่ด้วย
ก่อนที่เขาจะกลับเข้าไปในห้องทำงาน เขาก็เห็นฉือผิงฮุยเดินออกมาอย่างรีบร้อน
“ผู้ตรวจการฉือ ช่วยจัดคนไปกับผมสักสองคนได้ไหม? ผมอยากไปบ้านตระกูลหลี่แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที” จ้าวอี้พูดอย่างเกรงใจ ถึงอย่างไรที่นี่เป็ถิ่นของผู้อื่น
“อย่าเพิ่งไปบ้านตระกูลหลี่เลย ผบ.อยากให้พวกเราไปรายงานการทำงานให้ฟัง แล้วบอกอีกด้วยว่าเราสองคนต้องไปด้วยกัน” ฉือผิงฮุยทักจ้าวอี้ ท่าทางของเขาค่อนข้างอึกอักแต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก
“คุณจ้าว คดีนี้หากยื้อออกไปจะไม่เป็ผลดี พวกเราต้องไขคดีให้ได้โดยเร็ว ตามข้อมูลที่ผมได้รับมา ดูเหมือนคุณจะมีความสัมพันธ์กับโจวเหวินิแค่เ้านายกับลูกน้องใช่ไหมล่ะ? คุณไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งของผม คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่าผมต้องเผชิญกับแรงกดดันอะไรบ้าง”
ทั้งสองคนนั่งรถคันเดียวกัน คนตาโตเหลือบมองคนตาตี่ ไม่พูดไม่จากันสักคำ
เหมือนจะเป็คำพูดที่จริงใจไม่น้อย จ้าวอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ย "แต่คดีนี้มีข้อสงสัยอยู่มากมายเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าโจวเหวินิไม่มีแรงจูงใจที่จะก่อคดีสักนิด ดังนั้น ผมเกรงว่าจะมันไม่เหมาะสมกับเขาเท่าไร ที่เราไประบุว่าเขาคือฆาตกรอย่างลวกๆ แบบนี้"
“มันไม่สำคัญว่าเขาจะรับสารภาพหรือไม่หรอกครับ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแล้วหลักฐานมากมายบ่งชี้ไปที่เขาทั้งหมด ซึ่งมันก็เพียงพอแล้ว” ฉือผิงฮุยลากเสียงยาว มองจ้าวอี้เพื่อสื่อความหมาย
จ้าวอี้ไตร่ตรองชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ถ้าไม่มีความน่าเชื่อถือมายืนยันล่ะก็ ผมไม่อาจเซ็นตรงท้ายสุดของรายงานได้หรอก ขณะเดียวกันผมก็จะรายงานความน่าสงสัยนี้ต่อเบื้องบนด้วย”
นี่คือหลักพื้นฐานในการประพฤติตัวของจ้าวอี้ แน่นอนว่ามันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเพราะคำพูดไม่กี่คำของฉือผิงฮุย
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวอี้พูด ใบหน้าของฉือผิงฮุยคล้ำลงทันที "เหลวไหล!"
เขาไม่มองจ้าวอี้อีก ในสายตาของเขา จ้าวอี้เหมือนหินในหลุมที่ทั้งเหม็นทั้งแข็ง
การจราจรของฮ่องกงติดขัดอย่างมาก แม้จะไปไม่ไกลมากนัก แต่ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงไปจะถึงที่หมาย
“...ผบ.ครับ นี่เป็สถานการณ์โดยทั่วไปของคดี ณ ตอนนี้ครับ ผมคิดว่าควรย้ายผู้ต้องสงสัยไปที่ฝ่ายตุลาการ” ฉือผิงฮุยรายงานก่อน จ้าวอี้ไม่ได้ขัดคำพูดของเขา อย่างไรนี่ก็เป็สิทธิ์ของเขา
อี้เกอฟังรายงานไปด้วยพลิกอ่านรายงานที่ฉือผิงฮุยส่งมาไปด้วย พยักหน้าอยู่ตลอดจนฉือผิงฮุยพูดจบ เขาถึงถามขึ้น “คุณจ้าว ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นต่อคดีนี้ยังไงบ้าง?”
“ผมไม่คิดว่าคดีมันจะง่ายขนาดนั้น ผมไม่อาจสรุปเช่นนี้ได้ อย่างแรก พวกเรามาฮ่องกงด้วยมีภารกิจกะทันหัน ตอนที่เราขึ้นเครื่อง เราแค่แจ้งสถานะของเราสองคนให้ทางบ้านตระกูลหลี่ทราบเท่านั้น โจวเหวินิก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะก่อคดีเลยสักนิด ดังนั้น คำถามคือ ใคร้าจะฆ่าเขา? การลอบสังหารที่พวกเราเผชิญไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบสุ่มแน่ๆ และที่บังเอิญก็คือ ในระหว่างนั้น หลี่ต้าเฮิงได้เสียชีวิตลง น้องชายของเขาก็ฆ่าตัวตาย นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะครับ”