เมื่อสวี่เยว่ได้ยินดังนั้น เธอลุกขึ้นเป็คนแรกและเอ่ยเรียกเสียงอ่อนหวาน “พี่คะ มานั่งตรงนี้สิ”
สวี่ฮุ่ยนั่งลงบนเก้าอี้ของเธออย่างไม่เกรงใจ พลางกล่าวเรียบเฉยว่า “ขอบคุณนะเยว่เยว่ นี่เป็ครั้งแรกที่เธอยอมเสียสละที่นั่งให้พี่ พี่รู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่งเลย”
กู่ซิ่วเห็นสวี่ฮุ่ยได้ผลประโยชน์แล้วยังแสร้งลำบากใจก็โมโหแทบตาย แต่ไม่กล้าแสดงออก
สวี่ฮุ่ยนั่งที่ของสวี่เยว่ไปแล้ว สวี่เยว่ก็ไม่มีเก้าอี้นั่ง
เธอเลยเดินเข้าไปยกเก้าอี้ที่เป็ชุดเดียวกับโต๊ะเขียนหนังสือออกมาจากในห้อง เดินไปพักไป เหมือนจะเกินกำลังเธอมาก
สวี่ต้าซานลุกขึ้นกำลังจะไปช่วยสวี่เยว่ยกเก้าอี้ แต่ถูกย่าสวี่ห้ามไว้ “สาววัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้าปี ยกเก้าอี้ตัวเดียวยังไม่ไหว? เสแสร้งให้ใครดูกัน”
สวี่เยว่ถูกย่าสวี่เปิดโปงความจริง เธอรู้สึกอับอายอยู่บ้าง
แต่ละครก็ยังต้องแสดงต่อไป
สวี่เยว่ออกแรงยกเก้าอี้ “อย่างยากลำบาก” ไปวางข้าง ๆ สวี่ฮุ่ย ท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยของย่าสวี่และคนอื่น ๆ แล้วนั่งลงพลางหายใจหอบ
ตราบใดที่สวี่เยว่อยู่บ้าน อาหารของบ้านสกุลสวี่จะไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกมื้อ ก็ต้องเมนูที่ทำจากไข่มีอย่างน้อยหนึ่งจาน
แต่อาหารที่จัดเต็มเช่นวันนี้นั้นช่างหาได้ยากนัก นอกเสียจากว่าจะเป็วันตรุษจีนหรือไม่ก็วันเกิดของสวี่เยว่
สวี่เยว่มองอาหารรสเลิศเ่าั้แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบ ๆ
ทั้งพะโล้ ไก่ย่าง หมูสามชั้นผัดน้ำแดง ล้วนเป็ของโปรดของเธอทั้งสิ้น
แต่เธอไม่เคยคีบอาหารดี ๆ ให้ตัวเองเลย มักจะคะยั้นคะยอให้คนในครอบครัวกินก่อนเสมอ
คนในบ้านก็จะคีบอาหารดี ๆ ใส่ชามให้เธอบ้าง แล้วยังชมเธอว่าเป็เด็กดี รู้จักเอาใจใส่คนในครอบครัว
สวี่เยว่ทำตามวิธีเดิม คอยคะยั้นคะยออย่างกระตือรือร้น
ให้สองปู่ย่ากินเยอะ ๆ
ย่าสวี่ปรายตามองเธออย่างเ็า “อย่าทำเป็เอาหน้า!”
สวี่เยว่ปิดปากอย่างอับอาย
เธอคีบผักโขมผัดใส่ชามแล้วกินอย่างช้า ๆ รอให้กู่ซิ่วคีบอาหารดี ๆ ให้เธอ
พ่อแม่สามีไม่ชอบลูกสาวคนเล็ก กู่ซิ่วจะกล้าคีบอาหารให้เธอได้อย่างไร?
ปู่สวี่เห็นสวี่ฮุ่ยกินข้าวสวย จึงให้หลี่เหมยเซียงลูกสะใภ้คนรองคีบอาหารดี ๆ ใส่ชามให้เธอ
ยังพูดกระแทกแดกดันอีกว่า “ฮุ่ยฮุ่ยผอมเกินไปแล้ว ต้องกินของดี ๆ เยอะ ๆ ส่วนคนที่อ้วนฉุก็กินให้น้อยลงหน่อย เรียนไม่เก่ง ทำงานไม่ได้เื่ รู้จักแต่กิน ๆ ๆ ๆ หมูยังดีกว่ามันอีก อย่างน้อยเลี้ยงหมูไว้พอถึงตรุษจีนก็ยังขายเอาเงินได้”
สวี่เยว่น้อยใจจนเกือบจะร้องไห้
เธออ้วนฉุที่ไหนกัน แค่โครงร่างใหญ่ไปหน่อยเท่านั้นเอง จำเป็ต้องเหน็บแนมเธอขนาดนี้ไหม!
สวี่รั่วเฉินได้ยินคำพูดของปู่สวี่ เขาเงยหน้าขึ้นสังเกตสวี่ฮุ่ยสองสามครั้ง สวี่ฮุ่ยผอมจริง ๆ ผอมกว่าน้องสาวคนเล็กมาก
น้องสาวคนเล็กเมื่อเทียบกับสวี่ฮุ่ยแล้ว แขนทั้งใหญ่และเอวหนา
อาหารอร่อย ๆ ในบ้านส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในท้องน้องสาวคนเล็ก รองลงมาก็พวกเขา ส่วนน้องสาวคนโตแทบไม่ได้กิน ไม่แปลกที่จะผอม
ทันใดนั้นสวี่รั่วเฉินก็รู้สึกสงสารสวี่ฮุ่ย เขาจึงใช้ทัพพีตักไข่ปลาในน้ำแกงปลาช่อนทั้งหมดขึ้นมา
สวี่เยว่เห็นดังนั้นก็ดีใจมาก
ั้แ่ที่พี่ชายเข้าใจผิดคิดว่าเธอขโมยเงินรางวัลสามพันหยวนของยัยงั่งนั่นไป เขาก็มองเธอหน้าหงิก ดูไม่สบอารมณ์ตลอด
เธอคิดว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะดึงใจพี่ชายให้เขากลับมาทำดีกับเธอ ปกป้องเธอเหมือนเดิม
ไม่คิดว่าพี่ชายจะคิดได้เอง ตักไข่ปลาที่เธอชอบให้เธอกิน
เพราะฉะนั้นการแสร้งทำเป็อ่อนแอน่ะถูกแล้ว มีเพียงการแสร้งอ่อนแอเท่านั้นถึงจะทำให้คนอื่นสงสารและเห็นใจ
แต่สิ่งที่สวี่เยว่ไม่คาดคิดก็คือ ทัพพีใส่ไข่ปลาของสวี่รั่วเฉินแค่เคลื่อนผ่านหน้าเธอไปแล้วเทลงในชามของสวี่ฮุ่ย
สวี่เยว่ยื่นชามออกไปเพื่อรอรับไข่ปลา แล้วยังพูดด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ ว่า “ขอบคุณค่ะพี่”
คำว่า “ขอบคุณค่ะพี่” ยังดังก้องอยู่ข้างหู ชามก็ยังค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ สถานการณ์น่าอับอายจนสวี่เยว่หน้าแดงก่ำแทบคั้นเืออกมาได้
กู่ซิ่วจึงคีบเนื้อปลาช่อนสองชิ้นให้เธอเพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า
สวี่ฮุ่ยมองไข่ปลาในชาม เธออยากจะเทมันลงในชามของสวี่รั่วเฉินจริง ๆ
ความรักที่มาช้าเกินไปก็เหมือนหมา เธอไม่้าแม้แต่นิด
อีกอย่างสวี่รั่วเฉินไม่ได้ทำดีกับเธอด้วยใจจริง แค่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาผุดขึ้นมาชั่วขณะเท่านั้น
ถ้าในใจเขามีน้องสาวอย่างเธออยู่จริง ๆ ชาติที่แล้วตอนกู่ซิ่วจะให้เธอแต่งงานกับพ่อม่าย ทำไมเขาถึงไม่ห้าม?
ยังคะยั้นคะยอให้เธอยอมทน เอาเงินสินสอดที่ได้จากการขายเธอไปทำธุรกิจ บอกว่าถ้าหาเงินได้เยอะ ๆ แล้วจะช่วยดึงเธอขึ้นมาจากขุมนรก
แม้สวี่รั่วเฉินจะไม่ได้กำไรมากมาย แต่ก็ได้กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ
ทว่าเขาไม่ได้ช่วยดึงเธอออกจากขุมนรกนั่น แต่กลับบอกว่าการรักษาสวี่เยว่สำคัญกว่า
แม้แต่ตอนที่เธอถูกพ่อม่ายคนนั้นทำร้ายร่างกาย เขาก็ไม่เคยปกป้องเธอในฐานะพี่ชายเลย
แต่เมื่อเห็นท่าทางอับอายของสวี่เยว่ สวี่ฮุ่ยก็เปลี่ยนใจ
เธอจงใจพูดกับสวี่รั่วเฉินว่า “พี่ ฉันชอบกินหางปลา พี่ตักให้ฉันหน่อยสิ”
สวี่รั่วเฉินยิ้มให้เธอ ตอบรับว่า “ได้” แล้วก็ตักหางปลาใส่ชามให้เธอ
สวี่เยว่เสียใจแทบบ้าตาย
พี่ชายรู้อยู่แล้วว่าเธอชอบกินหางปลา แต่กลับให้ยัยงั่งนั่น
ย่าสวี่เห็นสวี่เยว่ทำหน้าเศร้าหมอง ใบหน้าของเธอก็ถมึงทึงทันที “แกทำท่าแบบนี้หมายความว่าไง? ไม่พอใจที่พวกเรากินข้าวบ้านแกมื้อหนึ่งหรือไง? ทำหน้าบูดบึ้งให้ใครดู!”
สวี่เยว่รู้ดีว่าย่าสวี่ผูกใจเจ็บที่ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดจะใช้พวกเขาเป็เครื่องมือ จึงจงใจหาเื่ เธอจำต้องฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “หนูเปล่านะคะ~”
ตอนนี้เป็่ฤดูเก็บเกี่ยว ถ้าไม่ใช่เพราะเงินรางวัลของสวี่ฮุ่ย ย่าสวี่คงไม่พาสามีกับครอบครัวลูกชายคนรองมาที่นี่หรอก
ในเมื่อได้เงินมาแล้ว ถึงแม้จะแค่พันหยวน แต่ในชนบท พันหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย สามารถสร้างบ้านชั้นเดียวมุงกระเบื้องได้ตั้งหลังหนึ่ง
บวกกับของมีค่าอื่น ๆ ก็มีมูลค่าหลายร้อยหยวน ย่าสวี่ก็รู้สึกพอใจแล้ว จึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านพรุ่งนี้
หลี่เหมยเซียงยิ่งพอใจมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็สิ่งของหรือเงิน พ่อแม่สามีก็จะเอามาใช้กับลูกชายสองคนของเธอมากกว่าครึ่งอยู่แล้ว
แม่สามีบอกว่าจะกลับที่ชนบท เธอก็เชื่อฟังแม่สามีทุกอย่าง
กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ย่าสวี่ก็บอกกับครอบครัวลูกชายคนโตว่า เธอกับสามีและครอบครัวลูกชายคนรองจะกลับที่ชนบทพรุ่งนี้เช้า
กู่ซิ่วกับสวี่เยว่ต่างมองหน้ากันด้วยความโล่งใจ
ในที่สุดพวกมารผจญพวกนี้ก็จะกลับไปสักที
ย่าสวี่หยิบผ้าแดครอนสองสามผืนที่เธอแย่งมาจากกู่ซิ่วส่งให้สวี่ฮุ่ย บอกว่าเป็รางวัลที่เธอสอบเข้ามหาลัยได้ที่หนึ่ง
ถึงแม้สวี่ฮุ่ยจะให้เงินเธอไปพันหยวน แต่ย่าสวี่ยังไม่พอใจ เธอไม่ได้คิดจะให้ผ้าแดครอนแก่สวี่ฮุ่ย
แต่สามีของเธอเป็คนยืนกรานที่จะให้ บอกว่าสวี่ฮุ่ยสอบได้ที่หนึ่ง พอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วต้องได้รับข้าราชการแน่ ๆ
ตอนนี้ต้องสร้างความสัมพันธ์ดี ๆ กับเธอ อนาคตจะได้ขอให้เธอพาหลานชายทั้งสองเข้ามาทำงานในเมือง ได้กินเงินเดือนจากรัฐง่าย ๆ
เพื่ออนาคตของหลานชายทั้งสอง ย่าสวี่เลยเลือกผ้าแดครอนสองสามผืนที่เธอไม่ชอบที่สุดให้สวี่ฮุ่ย
นี่มันยืมดอกไม้ถวายพระชัด ๆ
สวี่ฮุ่ยรับไว้ด้วยรอยยิ้ม ของพวกนี้ควรเป็ของเธออยู่แล้ว
ตกกลางคืน สวี่ฮุ่ยออกไปตกปลาไหลเหมือนเดิม วันนี้โชคดี ตกตะพาบน้ำหนักประมาณสองจินได้ตัวหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งย่าสวี่และคนอื่น ๆกลับไปแล้ว สวี่ฮุ่ยก็ถือถังไปขายปลาไหลที่ตัวอำเภอแล้วแวะไปขายตะพาบที่บ้านเลขที่ 18 ถนนชางเชิ่ง
กู่ซิ่วเห็นสวี่ฮุ่ยเดินหายลับไปแล้ว ค่อยหยิบกระโปรงตัวใหม่ที่เธอซื้อให้สวี่เยว่ตอนไปเบิกเงินในตัวเมืองเมื่อวานออกมาให้สวี่เยว่เปลี่ยน
วันนี้จะไปบ้านสกุลลู่ ต้องแต่งตัวให้สวย ๆ ไม่อย่างนั้นหลานชายของคุณนายลู่จะมาชอบลูกสาวสุดที่รักของเธอได้ยังไงล่ะ?
กู่ซิ่วไม่เพียงแต่ซื้อชุดใหม่ให้สวี่เยว่เท่านั้น แต่ยังซื้อเครื่องสำอางชุดหนึ่งมาแต่งหน้าอ่อน ๆ ให้สวี่เยว่ด้วยมือเธอเอง
โชคดีที่เมื่อวานตอนโดนตี สวี่เยว่พยายามปกป้องใบหน้าตัวเองสุดชีวิต แม้ตามร่างกายจะมีรอยแผลไปบ้างก็ตาม แต่ใบหน้ายังคงไร้รอยขีดข่วน ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่มีหน้าไปพบผู้คนแน่ ๆ
หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จ สวี่เยว่ยืนส่องใบหน้าตัวเองอยู่หน้ากระจกแต่งตัว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองงดงามหาที่เปรียบมิได้
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ต้องไม่เอาเธอไปเปรียบเทียบกับยัยงั่งสวี่ฮุ่ยนั่น
ทำไมยัยงั่งนั่นถึงได้มีผิวที่ขาว เครื่องหน้างดงาม และรูปร่างเพรียวบางขนาดนั้น?
ยีนเด่นของพ่อแม่ถูกสวี่ฮุ่ยเอาไปหมด ส่วนเธอกลับได้รับยีนโครงร่างใหญ่โตของกู่ซิ่วมา
อย่างไรก็ตาม ชุดเดรสเ้าหญิงสีเขียวอ่อนตัวนี้ช่วยเสริมบุคลิกของเธอได้ไม่น้อย ทำให้เธอดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง ขับผิวพรรณให้ผุดผาดราวหิมะ
หลานชายของคุณย่าลู่เห็นเธอในสภาพนี้จะต้องหวั่นไหวแน่ ๆ
เมื่อสวี่เยว่แต่งตัวสวยงามตามกู่ซิ่วออกจากบ้าน เพื่อนบ้านต่างก็เหล่มองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ
มีเพื่อนบ้านทักทายกู่ซิ่ว “เฮ้ พี่สะใภ้กู่ อีกสองวันก็วันเกิดของพี่น้องสวี่ฮุ่ยแล้วสินะ ยังไม่ถึงวันเกิด คุณก็แต่งตัวให้สวี่เยว่ซะสวยเชียว!”
“คุณซื้อชุดใหม่ให้ฮุ่ยฮุ่ยใส่ฉลองวันเกิดด้วยสิ เมื่อก่อนไม่ซื้อให้ก็ช่างมันเถอะ ปีนี้เด็กคนนั้นสอบได้ที่หนึ่ง นำชื่อเสียงมาสู่ครอบครัวคุณเลยนะ!”
กู่ซิ่วหัวเราะแหะ ๆ พาสวี่เยว่เดินไปที่ประตูใหญ่ของบ้านพักพนักงาน
แม่ของหยางหยางมองชุดใหม่บนตัวสวี่เยว่อย่างครุ่นคิด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา สองแม่ลูกสวี่เยว่ก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าบ้านสกุลลู่