บทที่ 5 ก่อกระแสด้วยลมปาก
"กองทัพชุดแรกของเรา?"
หลี่เหวินทวนคำของน้องสาวด้วยความงุนงง เขามองตามสายตาของนางไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังคงจับเจ่ากันอยู่หน้าประตู ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ "ซือซือ เ้าหมายถึงอะไร? คนพวกนั้น พวกเขาเป็แค่ชาวบ้านที่มามุงดูเื่สนุกไม่ใช่รึ? พวกเขาจะมาเป็กองทัพให้เราได้อย่างไร?"
หลี่เจิ้งที่เพิ่งจะคลายจากอาการตกตะลึง ก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ "ลูกเอ๋ย เ้าคงจะยังไม่เข้าใจ ใจคนยากแท้หยั่งถึง ยามเรารุ่งเรือง พวกเขาคือมิตรสหาย แต่ยามเราตกต่ำ พวกเขาก็เป็แค่คนดูละครฉากหนึ่งเท่านั้น"
"ท่านพ่อพูดถูกส่วนหนึ่งเ้าค่ะ" หลี่ซือซือยอมรับอย่างว่าง่าย "พวกเขาเป็คนดูละคร แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นในวันนี้ มันไม่ใช่ละครธรรมดา แต่มันคือการแสดงองก์แรกที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปีของเมืองซูเหอแห่งนี้ และหน้าที่ของเราต่อจากนี้ คือการทำให้ละครองก์ต่อไปน่าติดตามจนพวกเขาไม่อาจละสายตาไปได้"
นางพับผ้า ชาดแรกอรุณ กลับอย่างเบามือ ก่อนจะหันมาสบตากับพ่อและพี่ชายอย่างจริงจัง "ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พวกท่านคิดว่าข่าวเื่การพนันของพวกเราในวันนี้ จะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง?"
หลี่เหวินครุ่นคิด "อย่างเร็วที่สุด ก็คงจะพรุ่งนี้เช้า"
ซือซือส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มรู้ทัน "ผิดแล้วพี่ใหญ่ ไม่ใช่พรุ่งนี้เช้า แต่เป็ ก่อนมื้อค่ำวันนี้ ต่างหาก"
นางชี้นิ้วไปยังกลุ่มชาวบ้านอีกครั้ง "ท่านป้าหลิวร้านเต้าหู้ สามีของนางเป็คนส่งของ ต้องพบปะผู้คนทั่วตลาด ท่านลุงจางร้านบะหมี่ ร้านของเขาคือชุมทางข่าวสารชั้นดี ไหนจะอาซ้อร้านขายผ้าที่ปากไวเสียยิ่งกว่าอะไร ท่านคิดว่าคนเหล่านี้จะเก็บเื่ใหญ่อย่าง การเดิมพันโรงย้อมสกุลหลี่ด้วยผ้าเพียงผืนเดียว ไว้กับตัวเองได้นานแค่ไหนกัน?"
คำอธิบายของนางทำให้สองพ่อลูกเริ่มมองเห็นภาพลางๆ
"จำไว้ว่า ลมปากของผู้คนน่ากลัวกว่าคมดาบ แต่มันก็เป็ได้ทั้งอาวุธที่ทำร้ายเราและเป็เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดหากเรารู้จักใช้" นางกล่าวต่อ "และวันนี้ ข้าได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากรู้อยากเห็น ลงไปในใจของพวกเขาแล้ว"
นาง นางคำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้วรึ? ั้แ่การเผชิญหน้า การยั่วยุ ไปจนถึงการใช้ชาวบ้านเป็เครื่องมือกระจายข่าว นี่คือความคิดของเด็กสาวอายุสิบหกที่เพิ่งฟื้นจากไข้จริงๆ หรือ? หรือว่าิญญาของภรรยาข้ากำลังช่วยเหลือนางอยู่? หลี่เจิ้งมองดูลูกสาวอย่างตกตลึงในการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
"แล้ว แล้วเราจะทำอะไรต่อ?" หลี่เหวินถามอย่างกระตือรือร้น ในใจของเขาเริ่มมีประกายไฟแห่งความตื่นเต้นลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
"ง่ายมากพี่ใหญ่" ซือซือยิ้มอย่างมีเลศนัย "เราก็จะโปรยเชื้อเพิ่มเข้าไปอีกนิดหน่อย"
นางหันไปทางบิดา "ท่านพ่อ ตอนนี้เื่ที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของท่าน ท่านคือปรมาจารย์หลี่เจิ้ง ไม่ใช่ขี้เมาข้างถนน"
คำพูดที่ตรงไปตรงมาของนางทำให้หลี่เจิ้งหน้าแดงก่ำด้วยความละอาย
"ข้าขอให้ท่านทำเพียงสองอย่าง" ซือซือกล่าวต่อ "อย่างแรก อาบน้ำ โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา เปลี่ยนไปใส่ชุดผ้าไหมตัวที่ดีที่สุด แล้วออกไปนั่งจิบชาที่โรงน้ำชา เมิ่งซี ซึ่งเป็ที่ชุมนุมของเหล่าพ่อค้าและบัณฑิต"
"ให้ข้าไปโรงน้ำชารึ!? ไปให้พวกเขาหัวเราะเยาะน่ะรึ!?" หลี่เจิ้งปฏิเสธทันควัน "ข้าไม่ไป! ข้าไม่มีหน้าไปสู้ใครอีกแล้ว!"
"ใครว่าท่านต้องไปสู้หน้าใคร?" ซือซือแย้ง "ท่านไม่ต้องพูดกับใครแม้แต่คำเดียว แค่ไปนั่งนิ่งๆ จิบชา อ่านตำราเก่าๆ มองดูผู้คนด้วยสายตาของผู้มีปัญญาที่ปลีกตัวออกจากโลกที่วุ่นวายก็พอ ทำให้พวกเขาเห็นว่าท่านไม่ได้สิ้นหวัง แต่กำลังสงบนิ่งเพื่อรอคอยต่างหาก"
"แต่..."
"ท่านพ่อ" นางใช้ไม้ตาย "ท่านอยากให้ภาพจำสุดท้ายที่ผู้คนมีต่อท่าน คือชายขี้เมาที่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา หรือปรมาจารย์ผู้สุขุมที่กำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์คืน ท่านอยากให้ดวงิญญาของท่านแม่บน์มองลงมาเห็นท่านในสภาพไหนกันแน่?"
คำว่า "ท่านแม่" ทำให้กำแพงในใจของหลี่เจิ้งพังทลายลง เขาก้มหน้านิ่งงันไปนาน ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ "ข้า ข้าจะไป"
เมื่อจัดการเื่ของบิดาได้แล้ว นางก็หันมาหาพี่ชาย "ส่วนท่าน พี่ใหญ่ ข้ามีงานที่สำคัญยิ่งกว่าให้ทำ"
"อะไรหรือ!?"
"ข้า้าให้ท่านนำเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บ ไปที่ลานตากผ้าของโรงย้อม แล้ว ทำเป็เผลอ ทิ้งมันไว้ใกล้ๆ กับกองฟืนที่คนงานของตระกูลสวีมักจะแอบมาขโมยไปใช้"
"หา!?" หลี่เหวินอุทาน "เศษผ้าสีแดงนั่นน่ะรึ? ให้พวกมันขโมยไปทำไม!?"
"เพราะข้าอยากให้พวกมันเห็นและััด้วยตัวเอง" ซือซืออธิบาย "พ่อบ้านสวีฝูจะต้องรายงานเื่ผ้าผืนนี้ให้นายของมันฟังอย่างแน่นอน แต่ด้วยนิสัยของสวีจื่อเชินคุณชายตระกูลนั้น เขาไม่มีทางเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้เห็นกับตาหรือได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง"
นางหยิบเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ที่มีสี ชาดแรกอรุณ ติดอยู่ขึ้นมา "เมื่อพวกมันได้เศษผ้านี้ไป พวกมันจะทำทุกวิถีทางเพื่อลอกเลียนแบบ และนั่นคือตอนที่พวกมันจะรู้ซึ้งถึงความแตกต่างระหว่าง ของจริง กับ ของปลอม ยิ่งพวกมันพยายามมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งล้มเหลวมากเท่านั้น และความล้มเหลวนั้นจะบ่มเพาะ ความไม่มั่นใจ และ ความหวาดระแวง ขึ้นในใจของพวกมันเอง"
‘์! นี่มันแผนซ้อนแผนชัดๆ! นางไม่ได้แค่วางเดิมพัน แต่กำลังจะทำาจิตวิทยากับตระกูลสวี! น้องสาวข้าไปเรียนรู้กลยุทธ์พวกนี้มาจากไหนกัน!?’ หลี่เหวินยิ้มที่มุมปากอย่างภาคภูมิใจ
"แต่ที่สำคัญที่สุด..." ซือซือกล่าวต่อ "ท่านต้องทำให้ดูเป็ธรรมชาติที่สุด ทำให้เหมือนเป็อุบัติเหตุจริงๆ เข้าใจหรือไม่?"
"เข้าใจแล้ว!" หลี่เหวินรับคำอย่างแข็งขัน
เมื่อสั่งการทุกอย่างเรียบร้อย ซือซือก็กลับเข้ามาในบ้าน นางไม่ได้พักผ่อน แต่กลับตรงไปยังห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ นาง้าหาบางสิ่ง บางสิ่งที่สำคัญต่อแผนการขั้นต่อไปของนาง
เย็นวันนั้น ข่าวการเดิมพันหยุดโลกของตระกูลหลี่ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองซูเหอราวกับไฟลามทุ่งจริงๆ ตามที่ซือซือคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
ในโรงเตี๊ยม พ่อค้าที่เดินทางมาจากต่างเมืองต่างพากันสอบถามถึงเื่นี้ด้วยความสนใจ
"ข้าได้ยินมาว่าโรงย้อมสกุลหลี่ที่เจ๊งไปแล้ว จู่ๆ ก็มีผ้าวิเศษโผล่ออกมา จริงรึ?"
"จริงแท้แน่นอน! ข้าเห็นมากับตา! เป็ผ้าสีแดงสดใสราวกับเปลวเพลิง แค่มองก็แสบตาแล้ว!"
"แล้วที่ว่าคุณหนูสกุลหลี่เป็คนทำเอง แถมยังท้าพนันกับตระกูลสวีด้วยโฉนดโรงย้อมเลยรึ? บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!"
ในตลาดสด บรรดาแม่บ้านต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรส
"ข้าว่านางคงจะป่วยจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ น่าสงสารเถ้าแก่หลี่จริงๆ"
"แต่ข้ากลับคิดว่านางกล้าหาญมากนะ! เป็ข้าคงจะร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้ว!"
"อีกสามวันสินะ ที่โรงประมูลจินเป่า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปดูให้ได้!"
กระแสลมปากได้ก่อตัวขึ้นแล้ว ทุกคนต่างพากันพูดถึงเื่นี้ และเฝ้ารอวันประมูลอย่างใจจดใจจ่อ
ในขณะเดียวกัน ที่คฤหาสน์ของตระกูลสวี พ่อบ้านสวีฝูกำลังคุกเข่ารายงานเื่ราวทั้งหมดให้ สวีจื่อเชิน คุณชายใหญ่ผู้เป็นายเหนือหัวของเขาฟัง
สวีจื่อเชินเป็ชายหนุ่มรูปงาม แต่ดวงตาเรียวรีของเขากลับฉายแววเ้าเล่ห์และอำมหิตอยู่เสมอ เขากำลังใช้พู่กันตวัดอักษรอยู่บนกระดาษอย่างสบายอารมณ์
"น่าสนใจ..." เขากล่าวเรียบๆ หลังจากฟังรายงานจบ "เ้าเด็กหลี่ซือซือนั่นน่ะรึ ที่ป่วยใกล้ตายมาตลอด จู่ๆ ก็ฉลาดขึ้นมาเสียอย่างนั้น?"
"ขอรับคุณชาย! ข้าน้อยก็คิดว่ามันแปลกประหลาดนัก ท่าทีของนางเปลี่ยนไปเป็คนละคน ดูเยือกเย็นและอ่านใจยากยิ่งนัก" สวีฝูรายงาน
สวีจื่อเชินวางพู่กันลง "แล้วเื่ผ้าสีแดงนั่นเล่า? เ้าร่ำลือเสียเลิศลอย ว่ามันงดงามอย่างนั้นอย่างนี้ จริงเท็จแค่ไหนกัน?"
"ข้าน้อยขอเอาศีรษะเป็ประกัน! ข้าน้อยอยู่ในวงการผ้ามาทั้งชีวิต ไม่เคยเห็นสีแดงที่งดงามและมีชีวิตชีวาเช่นนั้นมาก่อนเลยขอรับ!"
"ฮึ่ม..." สวีจื่อเชินแค่นเสียง "คนสกุลหลี่อาจจะมีสูตรลับอะไรตกทอดมาก็ได้ ฝูเอ๋ย ข้าอยากจะเห็นผ้าที่เ้าว่านัก เ้าพอจะมีวิธีไปเอามันมาให้ข้าดูเป็ขวัญตาสักหน่อยได้หรือไม่? เอาแค่ เศษผ้าเล็กๆ ก็พอ"
สวีฝูมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ "ข้าน้อย อาจจะพอมีวิธีขอรับ"
ค่ำคืนนั้นเอง ชายชุดดำสองคนลอบเข้าไปในบริเวณโรงย้อมสกุลหลี่ที่เงียบสงัด พวกมันตรงไปยังกองฟืนอย่างรู้งาน และสายตาก็พลันไปสะดุดกับเศษผ้าสีแดงชิ้นเล็กๆ ที่ "บังเอิญ" ตกอยู่บนพื้นใกล้ๆ “เฮ้ย...พอง่วงนอนก็มีคนส่งหมอนมาให้ มันจะโชคดีอะไรขนาดนี้” ชายชุดดำเก็บเศษผ้าขึ้นมาด้วยความดีใจ ที่งานจบแล้ว
เมื่อเศษผ้าชิ้นนั้นถูกส่งมาถึงมือของสวีจื่อเชิน เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
มันงดงาม... งดงามกว่าที่สวีฝูบรรยายไว้เสียอีก!
"ไป! ไปเรียกอาจารย์ช่างย้อมทั้งหมดมาที่ห้องทดลองเดี๋ยวนี้!" เขาสั่งเสียงเฉียบขาด "ข้า้าให้พวกเ้าย้อมสีนี้ออกมาให้ได้! ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม! ข้าจะทำให้ผ้าสีนี้ กลายเป็ของตระกูลสวี!"
ายกที่สอง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในเงามืด โดยที่ฝ่ายหนึ่งกำลังจะเดินเข้าสู่กับดักที่อีกฝ่ายวางไว้อย่างงดงาม
และในห้องเก็บของที่มืดมิดของตระกูลหลี่ หลี่ซือซือก็ได้ค้นพบสิ่งที่นางตามหา
หีบไม้เก่าแก่ใบหนึ่งที่ถูกเก็บไว้ใต้กองผ้าขี้ริ้ว เมื่อเปิดออก ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว ภายในนั้นมีเพียงสมุดบันทึกเก่าๆ เล่มหนึ่ง กับตราประทับหยกรูปดอกเหมยเล็กๆ อันหนึ่ง
นางเปิดสมุดบันทึกออกอย่างเบามือ มันคือบันทึกของมารดา... ซูเยว่
ตัวอักษรที่งดงามของสตรีตระกูลบัณฑิตบันทึกเื่ราวต่างๆ ไว้มากมาย แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องหยุดชะงัก คือหน้าสุดท้ายที่ถูกเขียนด้วยลายมือที่สั่นเทา
"ข้าเสียใจ ที่ไม่อาจอยู่ดูเ้าเติบโตได้ ซือซือลูกแม่ ตราประทับดอกเหมยอันนี้ คือของดูต่างหน้าชิ้นเดียวจากตระกูลเดิมของแม่ ตระกูลซูแห่งเมืองหลวง หากวันใดเ้าลำบากถึงที่สุด จงนำมันไปที่..."
ข้อความ ขาดหายไปเพียงเท่านั้น ทิ้งไว้เพียงปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย
ซือซือกำตราประทับหยกที่เย็นเฉียบไว้ในมือแน่น เมืองหลวงรึ? ตระกูลเดิมของท่านแม่?
ดูเหมือนว่า ปมปริศนาในชีวิตของนาง จะซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มากนัก