หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วผมตั้งใจจะออกไปซื้อเสื้อผ้าให้ซ่งฉียวนสักหน่อย พร้อมกับหาหน้ากากสักอันมาให้ตัวเองใส่ด้วยเมื่อมีหน้ากากแล้วก็จะเผชิญกับปัญหาได้น้อยลงต่อไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซ่งฉียวนที่รักษาดวงตาจนหายดีแล้ว แม้จะดูแปลกไปเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าถูกจับได้ในภายหลัง
ท่าทีของเ้าเด็กซ่งฉียวนนี่ผมมองเพียงปราดเดียวก็เดาออกแล้ว เดิมทีผมอยากให้เขารออยู่ที่โรงเตี๊ยมคนเดียวจนกว่าผมจะกลับมาครั้นกลับพบว่าแม้เขาจะตอบตกลง ทว่าริมฝีปากกลับเม้มจนแน่นสนิทสองมือกำชายเสื้อเอาไว้ ท่าทางเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรอย่างนั้น เห็นแล้วช่างน่าสงสารเสียจริง
คิดว่าเขาอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเพราะอย่างไรเขาก็ยังเป็เพียงเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งอยู่ดี ซ้ำยังเพิ่งจะเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ก็ต้องอยากอยู่ใกล้ผู้คนเป็ธรรมดาผมจึงต้องจำใจพาเขาไปด้วย
ภายใต้ดินแดนแห่งความตายมีเมืองเอกขนาดใหญ่หนึ่งเมืองและเมืองชายแดนขนาดใหญ่สามเมืองคือ เมืองโลภะ เมืองโทสะ และเมืองราคะ สถานที่ที่พวกเรากำลังอยู่ในตอนนี้ก็คือเมืองราคะซึ่งนับว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมาก บนทางเดินหินสีเขียวอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนที่มีรูปร่างหน้าตาอันสง่างามและมีกลิ่นอายที่นิ่งสุขุมเดินกันขวักไขว่อยู่ไม่ขาดสายโชคดีที่ไม่มีใครเคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของจอมปีศาจอวี๋เคอของพวกเขามาก่อนแต่แม้จะอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วก็ยังไปสะดุดตาบางคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ถูกเืและผมเผ้าแนบติดจนเกรอะกรังของตัวเองพร้อมทั้งใบหน้ายิ้มเยาะของผู้ฝึกเซียนที่พูดจาน่ารำคาญเ่าั้ในชาติที่แล้วในใจของผมก็ยังหวาดกลัวไม่หายอยู่ดี
ผมก้มหน้ามองซ่งฉียวนที่กำแขนเสื้อผืนกว้างของผมแน่นแล้วเดินตามผมไปโดยไม่พูดไม่จานึกขึ้นได้ว่าเขาก็คือตัวการที่ทำให้ผมต้องกลายไปอยู่ในสภาพแบบนั้นในอนาคตแล้วคิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามว่า “ฉียวนหากวันหนึ่งเ้าจอมปีศาจอวี๋เคอนั่นตกมาอยู่ในมือของเ้า เ้าจะทำอย่างไร? ”
ซ่งฉียวนที่อายุสิบขวบนั้นตัวไม่ได้สูงเท่าไรเขาสูงกว่าเอวผมแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดูผอมบางกระจ้อยร่อยทว่าตอนที่ผมพูดถึงอวี๋เคอร่างกายเขาก็เริ่มสั่นไปหมด จนผมพูดได้เต็มปากเลยว่าได้ยินเสียงกัดฟันของเขา
“แน่นอนว่า้าให้เขาตายทั้งเป็”
เมื่อได้ยินคำพูดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนี้ผมััได้เลยว่ากลางใจดวงน้อยอันเปราะบางนั้นเต้นตุบๆ ขึ้นมาในทันที
“แต่ว่า...” กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายที่อยู่รอบกายของซ่งฉียวนค่อยๆ แผ่กระจายออกมาเผยสีหน้าสับสนออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกดเสียงต่ำแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมคนผู้นั้นถึงต้องขอโทษข้าตอนอยู่ในคุกทั้งยังพูดอีกว่าจะรอให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น...”
เอ่อ ดูเหมือนว่าความรู้สึกนี้ของตัวเองได้เกิดขึ้นแล้วต้องเปลี่ยนนิสัยปากไม่มีหูรูดนี่แล้วจริงๆ จากนั้นจึงแกล้งกระแอมไอเบาๆผมตอบกลับไปว่า “เ้าอวี๋เคออะไรนั่นอารมณ์แปรปรวนอยู่เสมอทั้งยังเป็คนหยิ่งยโสและถือตน เขาแค่พูดคำนั้นออกมา เพื่อทำให้มั่นใจว่าเ้าจะหนีไปไหนไม่รอดอย่างแน่นอนหรือไม่ก็เอาความเป็เด็กของเ้ามาเล่นสนุก”
ทันทีที่สิ้นเสียงของผมก็ไม่เห็นสีหน้าสับสนที่อยู่บนใบหน้าของซ่งฉียวนแล้ว และเขาก็ดึงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวที่แทบอยากจะฉีกทึ้งอวี๋เคอกลับมาอีกครั้ง
นี่ผมผลักตัวเองไปสุดทางจริงๆ ...
ที่เมืองนี้มีร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปตั้งอยู่บนสองข้างทางไม่น้อยเลยผมพาเด็กคนนี้ไปแก้ปัญหาเื่เสื้อผ้าได้อย่างรวดเร็วเขาตั้งใจเลือกเสื้อผ้าที่มีสีเรียบง่ายแต่ทำจากวัสดุชั้นเลิศขึ้นมา เนื่องจากไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งเดิมทีเขาก็ไม่ได้เกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์อยู่แล้ว หากขัดสีฉวีวรรณเสียหน่อยก็ทำให้ผู้คนมองตามตาเป็ประกายได้เช่นกันทั้งยังถูกเถ้าแก่เนี้ยร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปออกปากชมว่าหล่อเหลาอีกด้วย
ฤทธิ์ของผลคืนิญญานั้นมหัศจรรย์มาก ทำให้รอยแผลเป็บนใบหน้าของซ่งฉียวนนั้นจางหายไปหมดแล้วนอกจากจะผอมลงแล้ว สายตาของเขายังดูว่างเปล่าน้อยลงอีกด้วย ผิวพรรณดูขาวผ่องนวลเนียนมากเสียจนดึงดูดใจคนที่พบเห็นขณะที่กำลังมองเขาอยู่ จู่ๆ ผมก็นึกถึงอาจิ่วที่ถูกผมทิ้งเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมขึ้นมาหากอาจิ่วแปลงกายเป็มนุษย์ได้จะหน้าตาเป็อย่างไรกัน?
เด็กหนุ่มอายุสามร้อยปี ที่เวลาโกรธขึ้นมาก็ชอบทำแก้มป่องไม่เหมือนหงส์เพลิงผู้ที่สง่างามน่าเกรงขาม ทว่าเหมือนปลาทองตัวอ้วนกลมเสียมากกว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ขอรับ? ” เมื่อเห็นผมหยุดไม่ยอมเดินต่อซ่งฉียวนที่จับชายเสื้อผมอยู่ตลอดเวลาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
ผมดึงสติกลับมาแล้วกำลังจะตอบกลับไปว่าไม่มีอะไรทว่ากลับสังเกตเห็นว่ามีร้านประหลาดร้านหนึ่งอยู่ด้านหน้า ตรงกลางป้ายสีดำไม่ได้เขียนตัวอักษรอะไรไว้เลยแต่ที่บานประตูทั้งสองข้างกลับมีตัวอักษรสี่คำเขียนอยู่ ด้านหนึ่ง คือ“นำสิ่งที่เ้า้า” อีกด้านคือ “แลกกับสิ่งที่ข้าใช้”
เมื่อคิดว่าหากมีร้านแบบนี้อยู่ในนิยายก็น่าจะมีสิ่งของอะไรที่น่าสนใจอยู่บ้างไม่แน่ว่าด้านในอาจจะมีนิ้วทองคำที่ส่งผลต่อซ่งฉียวนอย่างมากในอนาคตก็เป็ได้ผมจึงลากซ่งฉียวนที่กำลังทำหน้างุนงงเข้าไปด้านในทันที
ทางด้านหน้าร้านว่าเงียบเหงามากแล้วแต่ภายในร้านนั้นกลับเงียบเหงายิ่งกว่า ภายในห้องมีชั้นวางของเพียงไม่กี่แถว้ามีของแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งวางระเกะระกะอยู่คนเฝ้าร้านคือชายชราอ้วนหัวล้านคนหนึ่ง ที่กำลังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้โยกยามที่เห็นคนเข้ามาก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาต้อนรับ เอาแต่นั่งโยกเก้าอี้ให้ตัวเองไปมา
ผมอดไม่ได้ที่จะกำหนดหลักการของสิ่งประหลาดในร้านที่ดูโทรมแห่งนี้จากนั้นจึงมองไปที่ซ่งฉียวนและรู้ว่าตัวเอกก็คือร่างที่มีรัศมีในตัวเองและสามารถดึงดูดของวิเศษได้จึงจูงมือเด็กคนนี้เดินไปด้านหน้าของชั้นวาง แล้วพูดกับเขาอย่างพิลึกว่า “ฉียวนหากเ้ารู้สึกว่าด้านในมีอะไรที่ดึงดูดเ้า ก็ยื่นมือออกไปหยิบขึ้นมา”
คำพูดนี้ของผมช่างไร้หัวคิดเหลือเกินการให้คนที่ตาบอดทั้งสองข้างเลือกสิ่งของเป็เื่ที่คนปกติเขาไม่ทำกันหรือเปล่า? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมจึงรีบพูดเสริมขึ้นว่า “ถือเสียว่าเป็ของขวัญที่อาจารย์ให้เ้าก็แล้วกัน”
แต่เหนือความคาดหมายซ่งฉียวนยื่นมือออกไปคว้าเอา... หินก้อนหนึ่งไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หินอันแสนจะธรรมดาที่มีสีเขียวเข้มขนาดเท่าไข่นกพิราบหนำซ้ำการพัดไหวของปราณิญญาก็ไม่มีแม้แต่นิดเดียว หากทิ้งไว้ที่ข้างทางก็คงไม่มีใครเก็บไปอย่างแน่นอน
ซ่งฉียวนกำก้อนหินเอาไว้พร้อมกับยกมุมปากขึ้นช้าๆแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันแ่เบาว่า “ท่านอาจารย์หินก้อนนี้มีอุณหภูมิขอรับ”
ในเมื่อตัวเอกได้เลือกสิ่งของด้วยตนเองแล้วแน่นอนว่ามันต้องไม่ธรรมดา หินที่มีอุณหภูมิในโลกนี้มีให้เห็นน้อยเสียที่ไหนผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้มีความเป็มาอย่างไรกันแน่
ทว่าจากการแสดงออกของซ่งฉียวนแล้วผมดูออกว่าเขาชอบหินก้อนนี้จริงๆ ก็ตามใจเขาแล้วกัน ผมมองไปรอบๆจากนั้นก็สังเกตเห็นหน้ากากสีแดงอันหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นห้อยอยู่บนมุมกำแพงจึงเดินไปร่ายคาถาง่ายๆ ให้พัดฝุ่นออกไปจนหมดทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาตรงหน้า ััได้ว่าหน้ากากสีแดงเข้มมีปราณิญญาแฝงเอาไว้อย่างเบาบางที่ขอบของหน้ากากเป็เส้นที่มีสีทองและสีดำ ช่างดูงดงามประณีตเป็อย่างมาก
ผมนำหน้ากากขึ้นมาสวมบนใบหน้า ซึ่งมันสามารถปรับขนาดให้พอดีกับรูปหน้านี้ของผมไปโดยปริยายไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกพอใจมาก เพราะไม่คิดเลยว่าร้านที่ดูไม่สะดุดตาร้านนี้จะทำให้ผมสามารถเลือกหน้ากากที่พอดีได้ขนาดนี้
ซ่งฉียวนถูกผมทิ้งไว้ให้ยืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางของผมยืนมองจากตรงนี้ไป ก็มองเห็นว่าเขานำหินก้อนนั้นมาปิดบริเวณ่อก บริเวณแก้มอันขาวเนียนก็แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจผมที่มองอยู่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีอาการอย่างนั้น
จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปให้ซ่งฉียวนดึงแขนเสื้อของผมต่อก่อนจะเดินไปด้านหน้าชายชรา แล้วเอ่ยปากถามว่า “เถ้าแก่เมื่อครู่ข้าเห็นตรงบานประตูเขียนไว้ว่านำสิ่งที่ข้า้ามาแลกกับสิ่งที่ท่านต้องใช้ เช่นนั้นหากข้า้านำของสองชิ้นนี้ไปจะต้องใช้สิ่งใดมาแลกหรือ? ”
ชายชรายืดตัวตรงพร้อมกับกวาดสายตามองหน้ากากบนใบหน้าของผมและหินในมือซ่งฉียวนผมสังเกตเห็นว่าระยะเวลาที่สายตาของเขาหยุดอยู่บนหินก้อนนั้นนานกว่าหน้ากากมากดูเหมือนว่าของสิ่งนั้นต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาเป็แน่แค่ไม่รู้ว่าชายชราคนนี้จะเสนอเงื่อนไขอะไรมาแลกเปลี่ยนก็เท่านั้น
ในใจกำลังวิตกกังวลแต่กลับได้ยินเขาถอนหายใจ หลับตาลงแล้วเอนตัวกลับลงไปบนเก้าอี้โยกก่อนจะโบกมือไปมา แล้วพูดอย่างขอไปทีว่า “ข้าไม่้าสิ่งใดของสิ่งนี้มอบให้พวกเ้าไปเลย”
ผมอึ้งไปครู่หนึ่งตอนแรกนึกว่าเขาจะเรียกร้องเอาหลายสิ่ง แต่ปรากฏว่ากลับมอบของสองสิ่งนี้มาให้ผมเปล่าๆนิสัยของคนผู้นี้ทำให้ผมเดาใจไม่ออกเลย เป็ร้านที่ประหลาดเสียจริง แต่คนกลับประหลาดยิ่งกว่า
เมื่อรู้ว่าตัวเองเก็บถูก [1]แล้ว จึงรู้สึกซาบซึ้งใจ แล้วประสานมือกล่าวคารวะชายชรา“เช่นนั้นก็ขอบพระคุณเถ้าแก่มากขอรับ”
พูดจบก็หันหลังเตรียมจะจากไปทว่ากลับได้ยินชายชรากระซิบกระซาบว่า “คนเราแต่ละคนล้วนมีชะตาลิขิต กรรม กรรม”
ผมไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูดเลยจริงๆ
......
เชิงอรรถ
[1] เก็บถูก หมายถึงได้รับโดยไม่ต้องทำงานหนัก