เช้าวันรุ่งขึ้น บุรุษในหมู่บ้านเขาหมีทั้งหนุ่มทั้งแก่ต่างถืออุปกรณ์ ทั้งพลั่วทั้งไม้ ยังมีอิฐดินอีกมากมายมุ่งหน้าไปยังปากทางเขา
เสี่ยวหมี่พาท่านลุงหลิวเดินดูไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างบ้านขึ้นที่ปากทางขึ้นเขา อย่างไรเสียบริเวณนั้นก็ไม่ใช่อาณาเขตของสกุลลู่
ถัดจากปากทางขึ้นูเาเข้ามาเป็ป่าหนึ่งผืน บริเวณพื้นที่ถัดจากป่าผืนนั้นเข้ามาล้วนเป็ของคนสกุลลู่ ขอแค่แคว้นต้าหยวนไม่ล่มสลายก็จะไม่เปลี่ยนเ้าของ ดังนั้นสร้างบ้านไว้บริเวณนี้นับว่าเหมาะสมแล้ว
เมื่อกำหนดสถานที่ได้แล้ว คนในหมู่บ้านก็เริ่มลงมือ
บุรุษครึ่งหนึ่งรับผิดชอบขุดดินสร้างฐานราก อีกครึ่งหนึ่งรับผิดชอบผสมโคลนฟางและแป้งสาลี ส่วนทางท่านป้าหลิวนำสะใภ้แต่ละบ้านมาช่วยกันทำอาหารอยู่ในเพิงพักที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
หัวหน้าผู้รับเหมาจงนำลูกหลานขุดบ่อน้ำแห่งสุดท้าย เห็นทุกคนกำลังทำงานกันอย่างแข็งขัน ก็ให้อิจฉาเป็อย่างยิ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “ผู้คนร่วมแรงร่วมใจกันเช่นนี้ หมู่บ้านเขาหมีจะต้องพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปเป็แน่ น่าเสียดายที่บ้านเราไม่ได้อยู่ที่นี่”
แต่ลูกหลานเขาไม่ได้คิดอะไรมากเช่นนั้น เพียงแค่เสียดาย “เราใกล้เสร็จงานกันแล้ว วันหน้าคงไม่มีโอกาสได้กินเนื้อทุกมื้อเช่นนี้อีกแล้ว”
หัวหน้าผู้รับเหมาจงทั้งโกรธทั้งขำ ตบศีรษะลูกชายคนเล็กไปทีหนึ่ง สั่งสอนเขาว่า “เ้ารีบทำงานไปเถอะ วันหน้ายังมีโอกาสได้กินเนื้ออีกเยอะ”
ลูกชายคนเล็กอยากจะโต้เถียง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นเส้นผมสีดอกเลาของบิดาก็กลืนคำพูดกลับลงไป
เมื่อเสี่ยวหมี่ยกโรงอาหารกลางแจ้งให้ท่านป้าหลิวเป็คนรับผิดชอบแล้ว นางก็ย่อมเชื่อใจ ทุกวันนี้จึงเพียงแค่เดินไปชมที่นาพร้อมกับเฝิงเจี่ยน แต่ไม่เคยเหยียบไปที่เพิงทำอาหารเลย เวลาเจอท่านป้าหลิวก็จะถามไถ่แค่ว่าเสบียงอาหารเพียงพอหรือไม่ กำชับว่าต้องให้ทุกคนได้กินอิ่ม
คนในหมู่บ้านปั้นโคลนไปพลางสนทนากันไปพลางพร้อมรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหมี่ก็อย่ากังวลเลย พวกเรากินอิ่มกันทุกวัน ทุกคนล้วนมีเรี่ยวแรงทำงานเต็มที่”
เสี่ยวหมี่ยิ้มแย้มรินน้ำชาให้พวกเขา กล่าวหยอกล้อว่า “ต้องให้พวกท่านลุงกินเยอะๆ ถึงจะได้มีแรงอย่างไรเล่าเ้าคะ เมื่อถึงฤดูล่าสัตว์ข้ายังรอหนังสัตว์ดีๆ จากพวกท่านลุงมาทำตุ๊กตาอยู่นะเ้าคะ ถึงตอนนั้นเมื่อขายได้ราคาดี ข้าจะมาเลี้ยงสุราอาหารพวกท่านลุงเ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่า ยังมีเื่ดีๆ เช่นนี้ด้วย”
“เสี่ยวหมี่วางใจ หากเ้าอยากได้หนังสัตว์สีขาว ข้าก็จะไม่ล่าสัตว์สีดำแม้แต่ตัวเดียว”
พวกเขาสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง แดดก็เริ่มร้อนแรงขึ้น บางคนเริ่มถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อตัวในที่โผล่แขนกำยำทั้งสองข้างออกมา เสี่ยวหมี่ที่เป็สตรีจึงไม่เหมาะจะอยู่ต่อ
พอดีกับที่หัวหน้าผู้รับเหมาจงมาเชิญนางไปตรวจดูบ่อน้ำ
เฝิงเจี่ยนก็ติดตามไปด้วย
หัวหน้าผู้รับเหมาจงได้รับการดูแลอย่างดีจากเสี่ยวหมี่ จึงทำงานอย่างตั้งใจยิ่ง
บ่อน้ำแห่งนี้ถูกขุดขึ้นมาโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางสามฉื่อ ขอบบ่อสูงจากพื้นหนึ่งฉื่อ สร้างขึ้นด้วยหินขัดที่ถูกตัดเป็ชิ้นเล็กๆ ไม่รู้ว่าอะไรใช้เชื่อมรอยต่อระหว่างหินเ่าั้ ดูแล้วไม่มีวี่แววว่าน้ำจะซึมออกมาแม้แต่น้อย
เสี่ยวหมี่ชะโงกหน้าลงไปดู พบว่าระดับน้ำค่อนข้างสูงทีเดียว น้ำใสสะอาดสะท้อนสีของท้องฟ้าอย่างชัดเจน
“ท่านจงฝีมือดียิ่งนักเ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว” เฝิงเจี่ยนยืนอยู่หลังเสี่ยวหมี่ อยู่ในท่าลักษณะกึ่งโอบนาง เขายื่นมือออกไปน้อยๆ เพื่อว่าหากนางมีแนวโน้มว่าจะตกลงไปเขาจะได้รัดร่างนางเอาไว้ได้ทัน “เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติของน้ำในบ่อนี้จะเป็เช่นไร”
ลูกชายคนเล็กของหัวหน้าผู้รับเหมาจงพูดแทรกขึ้นมาว่า “พวกเราลองดื่มดูแล้วขอรับ มีรสหวาน”
หัวหน้าผู้รับเหมาจงถลึงตาใส่บุตรชาย รีบอธิบายว่า “แม่นางลู่ หมู่บ้านเขาหมีตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ดียิ่งนัก หลายปีมานี้ข้าขุดบ่อมาหลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนมีน้ำอุดมสมบูรณ์และรสหวานเช่นนี้มาก่อน”
“จริงหรือ?” เสี่ยวหมี่ตื่นเต้น เมื่อมองไปไกลๆ เห็นชุ่ยฮัวกำลังจะเดินออกจากเพิงทำกับข้าวมา จึงขอให้นางหยิบชามกระเบื้องมาให้หนึ่งใบ จากนั้นก็โยนถังน้ำลงไปในบ่อ
ในชาติก่อน ถึงแม้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะยากจนแค่ไหนแต่ก็มีน้ำประปาใช้ เมื่อมาอยู่สกุลลู่ เสี่ยวหมี่ก็มีพี่ชายถึงสามคน นางจึงไม่มีหน้าที่ต้องตักน้ำ สุดท้ายไม่ว่าเสี่ยวหมี่จะสะบัดเชือกอย่างไร ถังใบนี้ก็ไม่ยอมจมลงไปในน้ำเสียที
ต่างกับเฝิงเจี่ยนที่ถึงแม้จะไม่เคยตักน้ำเช่นกัน แต่เคยเห็นพวกชาวบ้านทำอยู่สองสามครั้งก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เขารับเชือกมาจัดการแกว่งเบาๆ ถังใบนั้นก็จมลงไป ถ่ายเทน้ำเข้ามาในถัง
“พี่ใหญ่เฝิง ท่านฉลาดจริงๆ”
เสี่ยวหมี่ตื่นเต้นเป็อย่างมาก เฝิงเจี่ยนกระตุกเชือกดึงถังน้ำขึ้นมา
ชุ่ยฮัวเดินเอาชามมาให้พอดี จากนั้นพวกเขาจึงเทน้ำใส่ชามแต่ละใบอย่างละครึ่ง เมื่อได้ลิ้มรสก็ยิ่งพอใจ
“น้ำนี่หวานจริงๆ ด้วย”
“นั่นสิ ดีกว่าน้ำบนยอดเขาเสียอีก”
“น่าเสียดาย คนในหมู่บ้านเราไม่หมักสุรา ไม่เช่นนั้นคงจะมีสุราขึ้นชื่อของตัวเองเป็แน่”
ชาวบ้านที่กำลังยุ่งอยู่กับงานในมือครั้นได้ยินข่าวก็รีบเข้ามามุงดู ต่างแบ่งกันดื่มน้ำในบ่อ เมื่อดื่มแล้วพากันชมไม่ขาดปาก “วันหน้าไม่ต้องชงชาดื่มแล้ว ดื่มน้ำในบ่อนี่ได้เลย ทั้งเย็นทั้งหวาน”
จากนั้นก็ยกนิ้วให้คนสกุลจงที่สนิทสนมกันดีแล้วในตอนนี้ “ตาเฒ่าจง ครอบครัวเ้านี่ฝีมือดีจริงๆ”
หัวหน้าผู้รับเหมาจงยืดหลังงองุ้มขึ้นอย่างที่นานๆ ทีจะทำ ตอบอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อยว่า “ข้าขุดบ่อมาทั้งชีวิต ไม่ค่อยได้พบแหล่งน้ำดีๆ เช่นนี้หรอก หมู่บ้านเขาหมีนี่ช่างโชคดีจริงๆ”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนพอใจกันมาก ต่างส่งเสียงตอบรับอย่างครึกครื้น
เสี่ยวหมี่เองก็ยิ้มกำชับว่า “หลายวันมานี้ลำบากท่านจงแล้ว ตอนเที่ยงนี้มากินอาหารพร้อมกันนะเ้าคะ ตอนบ่ายเมื่อชำระค่าจ้างกันแล้วพวกท่านค่อยกลับ”
“ได้ ขอบคุณแม่นางลู่ พวกเราขอหน้าหนาฝากท้องอีกสักมื้อก็แล้วกัน”
“ท่านจงเกรงใจแล้ว เป็เื่ที่สมควรทำอยู่แล้วเ้าค่ะ”
ชาวบ้านสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งก็แยกย้ายไปทำงาน คนสกุลจงเองก็ไปช่วยก่อบ้านดินเช่นกัน
เสี่ยวหมี่ได้ฟังคำพูดก่อนหน้านี้ของท่านจงเข้าไปก็เริ่มรู้สึกทะเยอทะยานขึ้นมา นางลากเฝิงเจี่ยนไปดูที่นา สายตากวาดมองไปทั่วทั้งหุบเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ หุบเขาหมีที่จริงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ตัวเขาที่หมู่บ้านเขาหมีสิบแปดหลังคาเรือนตั้งอยู่ แต่ยังรวมถึงเขาเตี้ยๆ ฝั่งตะวันตกและตะวันออก ทางลาดเอียงขึ้นเขาทางทิศเหนือ รวมถึงพื้นที่ราบตรงกลางที่เหมือนถูกูเาโอบล้อมเอาไว้
ยามนี้พื้นที่ราบนั้นสกุลลู่ได้ไถทำที่นา ยึดครองพื้นที่ตรงกลางที่เป็ทำเลที่ดีที่สุด บริเวณโดยรอบหากถางไถให้เป็ระเบียบเสียหน่อย ยังสามารถเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกได้อีกยี่สิบหมู่ เขาที่ขนาบสองข้างไม่สูงมากนัก ด้านหนึ่งเป็ป่าหนาทึบ อีกด้านเป็ต้นสนเตี้ยๆ หากว่าปรับพื้นที่มาปลูกผลไม้ แล้วค่อยกั้นเป็คอกเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ก็คงจะดีไม่น้อย
ส่วนปากทางขึ้นเขาฝั่งทิศเหนือ ก็สร้างเป็กำแพงล้อมหรือประตูไม้ขึ้นมา เช่นนี้ผู้คนในหมู่บ้านเขาหมีก็จะเหมือนกับถูกปกป้องอยู่ในกำแพงแ่า ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงจากธรรมชาติและกำแพงที่มนุษย์สร้างขึ้น
ถึงตอนนั้นต่อให้นางจะคิดประดิษฐ์อะไรแปลกๆ ขึ้นมาอีกก็คงไม่มีคนนอกเข้ามาวุ่นวาย
เฝิงเจี่ยนยืนอยู่ข้างกายเสี่ยวหมี่ เห็นนางประเดี๋ยวขมวดคิ้วมุ่น ประเดี๋ยวตื่นเต้นดวงตาเป็ประกาย เขารู้สึกเอ็นดูเป็อย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่อยากขัดจังหวะนางตอนนี้ แต่แดดกำลังแรงจัด จะปล่อยให้นางถูกแดดเผานานนักก็ไม่ได้
เขาจึงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “คิดอะไรอยู่หรือ ถึงได้ดูตื่นเต้นเช่นนี้”
เสี่ยวหมี่เล่าความคิดของตนเองให้เฝิงเจี่ยนฟังพลางถามว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านว่าความคิดข้าเป็อย่างไร?”
เฝิงเจี่ยนได้ฟังแล้วก็ตาเป็ประกายเช่นกัน เขายิ้มกล่าวว่า “หากเป็อย่างที่เ้าพูด หมู่บ้านเขาหมีก็คงเป็ดั่งสวนท้อในความฝัน [1] ก็ไม่ปาน น่าเสียดายที่นี่ไม่มีต้นท้อ”
“จะยากอะไรเล่า เราก็ปลูกต้นท้อเสียเลย เอาไว้ชื่นชมในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อดอกร่วงโรยแล้วเราก็ค่อยกินผลของมัน หากกินไม่หมดผลท้อยังเอามาหมักสุราได้ด้วย”
เสี่ยวหมี่ยิ่งคิดยิ่งถูกใจ “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองไปลองถามดู หากว่าไม่แพงมากนัก ก็ซื้อเขาเตี้ยๆ โดยรอบเสียเลย ไม่เช่นนั้นหากถูกคนอื่นแย่งไปก่อนคงไม่ดีแน่”
เฝิงเจี่ยนกวาดสายตามองสวนไข่ดินและข้าวโพดที่อยู่ด้านล่าง แล้วเอ่ยเตือนว่า “การซื้อที่นาและูเา ทางการจำเป็ต้องส่งคนเข้ามาตรวจสอบ”
“อา” ชัดเจนว่าเสี่ยวหมี่ลืมคิดถึงเื่นี้ไป นางเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยว่า “เช่นนั้นก็ได้ คงต้องรออีกสักสองเดือน ถึงตอนที่สวนไข่ดินและข้าวโพดพวกนั้นไม่สะดุดตามากแล้ว ค่อยลองเข้าเมืองไปถามทางการดู”
เฝิงเจี่ยนเห็นนางเชิดปากขึ้นอย่างน่ารักก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจ ตอนที่ยังคิดจะพูดอะไรต่ออยู่นั้น จู่ๆ เกาเหรินก็ไม่รู้โผล่มาจากไหน
“เสี่ยวหมี่ ตอนเที่ยงเรากินอะไรกันดี ข้าหิวแล้ว”
“ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ เรียกข้าพี่หญิง ระวังเถอะข้าจะไม่ให้เ้ากินข้าว”
เสี่ยวหมี่ดีดหน้าผากเกาเหรินเบาๆ ไปทีหนึ่ง แล้วจึงหันไปกล่าวกับเฝิงเจี่ยนว่า “พี่ใหญ่เฝิง พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ก่อนออกมาพี่กุ้ยจือเอาผักป่ามาให้ตะกร้าหนึ่ง ถ้าอย่างไรตอนเที่ยงเราก็กินชุนปิ่ง [2] กันเถอะ กินคู่กับผักนี่ ถือเสียว่าเป็การลิ้มรสชาติของฤดูใบไม้ผลิ”
เฝิงเจี่ยนตวัดดวงตาคมกริบมองเกาเหรินไปทีหนึ่ง ทำเอาเกาเหรินงุนงง แล้วถึงขึ้นหน้าไปเดินคู่กับเสี่ยวหมี่
“ได้ ข้าจะจุดไฟให้”
“ไม่ต้องๆ ให้เกาเหรินทำดีกว่า เสื้อตัวนี้ของท่านครั้งก่อนถูกสะเก็ดไฟไหม้เป็รูสองรู ต้องลำบากเอาไปให้พี่กุ้ยจือช่วยปะชุนให้อยู่เลย”
เสี่ยวหมี่ยื่นมือไปหักกิ่งไม้กวัดแกว่งใส่ดอกหญ้าข้างทางไปตลอดทางกลับบ้าน ไม่ทันได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเฝิงเจี่ยนและเกาเหรินที่แอบยิ้มเยาะ...
เมื่อทานอาหารเที่ยงกันเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวหมี่ก็ไปกล่าวขอบคุณคนสกุลจงด้วยตนเอง หลังจากคำนวณค่าแรงกันเรียบร้อยแล้วก็ส่งพวกเขาลงเขาไป
หัวหน้าผู้รับเหมาจงฉลาดและมากประสบการณ์ เขารับรองกับเสี่ยวหมี่ว่าจะไม่บอกเื่ที่พบเห็นในหมู่บ้านเขาหมีให้คนอื่นรู้
เสี่ยวหมี่ชอบใจมาก และรับปากเช่นกันว่าหากวันหน้าต้องขุดบ่ออีกก็จะจ้างพวกเขา
ต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง ไม่กี่วันก่อนยังเหลืองซีดและแห้งเหี่ยว แต่ยามนี้กลับมีสีเขียวแซมขึ้นมาอย่างเด่นชัด ใบไม้สีเขียวพวกนั้นงอกงาม พยายามชูช่อขึ้นหาท้องฟ้าสีครามที่อยู่เบื้องบนจนกลบทับใบสีเหลืองซีดแทบมิด
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วจริงๆ มันเปลี่ยนโลกใบนี้ให้กลายเป็สีเขียวชอุ่ม ทำให้บรรยากาศสดชื่น สบายตาสบายใจยิ่ง...
เสี่ยวหมี่กางแขนออก หลับตาสูดอากาศบริสุทธ์ โอบกอดธรรมชาติอันงดงามนี้
ในป่าลึกบนเขาลิบๆ คล้ายว่ามีอะไรแวบผ่านไป อาจเป็สัตว์ป่าซุกซนสักตัว หรืออาจจะเป็นกที่บินผ่านไป...
หลังจากที่เสี่ยวหมี่เริ่มปลูกมันฝรั่ง ผ่านไปสามสี่วัน์ก็ประทานฝนอันชุ่มฉ่ำลงมาให้ จากนั้นพระอาทิตย์ก็สาดแสงแรงกล้าให้ความอบอุ่นไปทั่ว
ผักสดในเพิงเพาะเลี้ยงของสกุลลู่ชูช่องดงาม เถาถั่วเลื้อยไปทั่ว แตงกวามีดอกเล็กๆ บานสะพรั่ง มะเขือม่วงถึงแม้จะงอกออกมาไม่กี่ใบอย่างถ่อมตัว แต่ก็สะสมพลังไว้รอเวลาเจริญงอกงาม
มันฝรั่งเองก็แตกหน่ออย่างรวดเร็ว ราวกับกระต่ายน้อยที่ะโอย่างว่องไว
คนในหมู่บ้านเพิ่งสร้างบ้านดินสองหลังเสร็จ มันฝรั่งในสวนก็งอกงามจนไม่เห็นกองดินที่โคนต้นแล้ว
เชิงอรรถ
[1] สวนท้อในความฝัน(世外桃源)หมายถึงดินแดนในฝัน ซึ่งสวยงามและสงบสุข เป็ดินแดนในอุดมคติที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันถึง
[2] ชุนปิ่ง(春饼)ชุน หมายถึงฤดูใบไม้ผลิ ปิ่งหมายถึงแป้งทอด รวมกันแล้วจึงหมายถึงอาหารชนิดหนึ่งทำจากแป้งปอเปี๊ยะห่อผักและเนื้อสัตว์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้