สวี่เทายังคงกังวลว่าการถ่ายทำครั้งแรกของนักแสดงหน้าใหม่จะออกมาไม่ดีนัก จึงเลือกซีนที่ค่อนข้างง่ายมาถ่ายทำก่อน ในซีนแบบนี้ แม้จะแสดงออกมาไม่ดี ผู้ชมก็ไม่ได้สนใจนัก ทว่าสำหรับฉินซี มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น ซีนที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรงนั้นสามารถแสดงออกมาได้ง่าย เพราะต้องแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าและท่าทาง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็ซีนที่ดูเหมือนจะง่ายดายแบบนี้ มันแสดงได้ค่อนข้างยาก เพราะต้องเก็บกักอารมณ์ทั้งหมดไว้ภายใน
เมื่อชาติก่อน เขาได้พบนักแสดงหน้าใหม่มาไม่น้อย เวลาที่แสดงซีนที่ดูไม่มีอะไรมากแบบนี้ ด้วยสีหน้าเดียวแบบนั้น เพียงชั่วครู่ก็จะหลุดให้เห็นถึงทักษะการแสดงที่ไม่เพียงพอออกมา และเพราะแสดงตรงนี้ได้ไม่ดี ดาราจำนวนไม่น้อยจึงมักจะถูกชาวเน็ตวิจารณ์ตามกระทู้บนอินเทอร์เน็ต
ในความจริงแล้ว เถาเซียงไม่ได้ต่างอะไรจากหลิงโอวมากนัก เธอค่อนข้างดูถูกฉินซี พวกเขาคิดว่าตอนออดิชั่นเมื่อครั้งนั้น ฉินซีเพียงอาศัยรูปลักษณ์ภายนอกสั่นคลอนหัวใจทุกคนตรงนั้น แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดเลยว่า หากมีเพียงรูปลักษณ์แต่ไม่มีสติ เขาจะสามารถทำให้ผู้คนประทับใจถึงขนาดนั้นได้หรือ? พวกเขาทะนงตนว่าเคยถ่ายละครมาหลายเื่แล้ว คนที่ยังไม่ได้เดบิวต์[1] อย่างเป็ทางการ และไม่เคยมีผลงานสักชิ้นอย่างฉินซีน่ะหรือ เหอะ เหอะ... พวกเขาก็ทำได้เพียงดูถูกเท่านั้น
ฉินซีและเถาเซียงเดินไปอยู่หน้ากล้อง เขาสังเกตได้ถึงความดูถูกและเย้ยหยันในแววตาของเถาเซียงได้ทันที เขาเดาว่าเถาเซียงคงคิดอยากแสดงให้มือใหม่อย่างเขาเห็นเป็บุญตา ฉินซีอดคิดในใจไม่ได้ว่า สุดท้ายใครจะแสดงให้ใครดูกันแน่?
ในวินาทีนั้นฉินซีก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะแสดงความสามารถออกมาให้เห็น
เมื่อกล้องพร้อม เครื่องบันทึกเสียงพร้อม สวี่เทาเห็นว่าทั้งสองคนก็ไม่ได้ตื่นกล้องอะไรจึงะโออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ “แอคชั่น”
ซีนนี้เป็การถ่ายทำฉากภายในลัทธิเทพเ้าแห่งสุริยันจันทรา เริ่นอิ๋งอิ๋งมาเยี่ยมเยียนตงฟางปู๋ป้ายเพื่อบอกว่าตนอยากลงไปจากเขา และเพราะการลงเขาไปนี้ เริ่นอิ๋งอิ๋งจึงได้รู้จักกับลิ่งหูชง ทั้งยังปลดปล่อยพ่อของตัวเองอย่างเริ่นหว่อสิงออกมา และสุดท้ายตงฟางปู๋ป้ายก็ต้องพบกับจุดจบที่น่าอนาถ ในตอนนั้นตงฟางปู๋ป้ายยังเลี้ยงดูเริ่นอิ๋งอิ๋งโดยมองนางเป็หลานสาวที่รักใคร่เอ็นดูคนหนึ่ง เพียงแต่เมื่อเขาตอนตนเองไปแล้ว สถานะทางเพศก็ไม่ค่อยจะมั่นคงนัก ซีนที่ดูธรรมดาแบบนี้กลับไม่ธรรมดาขึ้นมาเพราะลักษณะตัวละครที่มีเอกลักษณ์พิเศษของตงฟางปู๋ป้าย
ฉินซีปรับท่าทางและจิตใจให้เป็อย่างที่ตัวละครควรจะมี เมื่อได้ยินเสียง แอคชั่น จากสวี่เทา เขาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์ปรมาจารย์เทพที่ถูกจัดทำขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กระทำกิริยาอื่นใด เพียงนั่งเรื่อยเปื่อยอยู่เช่นนั้น แต่บรรยากาศที่แผ่กำจายกลับทำให้คนไม่กล้าขัดขืน
คนที่ควบคุมกล้องค่อยๆ ซูมเข้าไปใกล้อย่างลืมตัว จนแทบจะเป็การถ่ายโคลสอัป[2] ใบหน้ากระจ่างไร้ริ้วรอยทำเอาผู้คนถึงกับตาลายได้
สวี่เทาที่นั่งอยู่หลังจอมอนิเตอร์อดเดาะลิ้นขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่เจอดาราที่ถ่ายโคลสอัปได้ดูดีขนาดนี้มานานแล้ว!
หลังจากเสียงฝีเท้าดังขึ้น เถาเซียงในชุดกระโปรงผ้าไหมสีม่วงอมฟ้าก็เดินออกมา “ท่านอาตงฟาง” เธอเรียกเขา
มุมปากของสวี่เทาที่นั่งอยู่ด้านหลังจอมอนิเตอร์อดหยักยกขึ้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่า พอเถาเซียงมายืนตรงหน้าฉินซีแล้ว เธอก็ดูแก่ขึ้นเล็กน้อยโดยไร้สาเหตุ กระทั่งความสวยงามน่าทะนุถนอมในยามปกติก็ลดหายไปไม่น้อย นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบให้เห็นข้อด้อยอย่างชัดเจนเหรอ?
“มีเหตุใด?” เมื่อก่อนตงฟางปู๋ป้ายล้วนยอมเริ่นอิ๋งอิ๋งไปเสียหมด แต่ว่าด้วยตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ของตงฟางปู๋ป้าย รวมทั้งความหลงใหลในวิทยายุทธ์ที่เพิ่มขึ้น เขาจึงไม่ได้อ่อนโยนกับเริ่นอิ๋งอิ๋งอย่างในวันวาน เมื่อเห็นท่าทีดุจปรมาจารย์เทพ นั่นทำให้เริ่นอิ๋งอิ๋งยิ่งรู้สึกต่ำต้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการลงจากเขาก็คงไม่ง่าย
“ท่านอาตงฟาง ข้าถึงวัยที่ควรจะลงเขาไปเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว...”
โดยไม่รอให้เธอพูดจบ ฉินซีก็ขมวดคิ้วฉับ “เป็ถึงธิดาเทพแห่งเทพเ้าสุริยันจันทรา ไยต้องลงไปเผชิญโลกเบื้องล่างเล่า? เ้าอยู่ภายในลัทธิ มีใครบ้างที่ไม่เทิดทูนให้สูงส่ง หากลงเขาไป เ้าจะดูแลตนอย่างไร?”
ที่ตงฟางปู๋ป้ายไม่ปล่อยให้เริ่นอิ๋งอิ๋งไปเป็เพราะ หนึ่ง เขาคิดว่าด้วยตำแหน่งสถานะของเริ่นอิ๋งอิ๋ง นางจึงไม่สามารถออกไปตามใจได้ และสอง เขาคิดว่าเริ่นอิ๋งอิ๋งยังคงเป็เด็กสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้
ทว่าเขากลับไม่ได้รู้เลยว่า เริ่นอิ๋งอิ๋งไม่ใช่เด็กสาวที่จะเรียกเขาว่า “ท่านอาตงฟาง” ด้วยน้ำเสียงหวานๆ อย่างในวันวานแล้ว
“ท่านอาตงฟาง” คิ้วของเถาเซียงมุ่นแน่น ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
ฉินซีปรายตามองใบหน้าของหญิงสาว สีหน้าและสายตาพลันเปลี่ยนไป “ไปเสีย! ไม่ต้องพูดอันใดแล้ว!” ดวงตาคู่นั้นแฝงความกริ้วโกรธ ริษยา และสับสน กระทั่งอารมณ์ของเขาก็ยิ่งซับซ้อน
กล้องจับภาพโคลสอัพใบหน้าและดวงตาของฉินซีอีกครั้ง
ฉากนี้ตงฟางปู๋ป้ายได้เห็นรูปร่างงดงามของสาวน้อยโตเต็มวัยจากเริ่นอิ๋งอิ๋ง ในใจพลันกลายเป็รังเกียจ แล้วเป็เพราะเขาตอนตัวเองถึงได้รู้สึกริษยาที่เด็กสาวตรงหน้ามีอิสระ ทำทุกสิ่งได้ดั่งใจ
“ท่านอาตงฟาง เพราะตัวข้าคือธิดาเทพแห่งเทพเ้าสุริยันจันทรา จึงต้องใฝ่หาความรู้ให้มาก ข้าอยู่ในลัทธิมายาวนานจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก แล้วเช่นนี้ข้าจะเป็ธิดาเทพได้อย่างไร?” ใบหน้าของเถาเซียงปรากฏความโศกเศร้า ก่อนจะรีบร้อนเอ่ยออกไป
สวี่เทาที่นั่งอยู่หลังจอมอนิเตอร์อดส่ายหน้าไม่ได้ ต้องมีการเปรียบเทียบถึงจะเห็นความแตกต่างได้จริงๆ ั้แ่ที่เถาเซียงเข้ากล้องก็แพ้ให้ฉินซีไปไม่น้อยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงท่าทางการแสดงที่ห่างชั้น ่หลังๆ เถาเซียงแสดงความรู้สึกออกมาเพียงด้านเดียว เมื่อเทียบกับฉินซีที่ใช้สายตาส่งความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม นี่สามารถตัดสินได้อย่างชัดเจน
น้ำเสียงของเถาเซียงเองก็ไม่ได้น่าฟังนัก แล้วในตอนนี้ยังต้องมาเทียบกับคนที่มีทักษะการใช้น้ำเสียงค่อนข้างดีอย่างฉินซี นั่นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวดูย่ำแย่
เหมือนกับอาหารหรูที่ใส่เครื่องปรุงผิดไปชนิดหนึ่ง
เขาอดแพนกล้องไปทางฉินซีบ่อยๆ ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็ล้วนถ่ายออกมาได้งดงาม
สวี่เทายังอดถอนหายใจไม่ได้ “ไม่ใช่แค่มือใหม่หรอกเหรอ? ทำไมถึงจัดระเบียบร่างกาย และหามุมกล้องได้ดีขนาดนี้?
เดิมทีหลิงโอวก็ยืนอยู่ข้างๆ รอดูความผิดพลาดฉินซี แต่ใครจะรู้ว่านอกจากจะไม่ทำผิดพลาดแล้ว ยังเรียกให้กล้องหลายตัวพุ่งมาโฟกัสที่ตัวเองอีก เห็นสวี่เทาดูไปชมไป ความริษยาและความไม่พอใจั้แ่เช้าของหลิงโอวก็ยิ่งทะลักล้น จึงพูดแทรกขึ้น “ใครจะรู้ว่าเขาเป็มือใหม่จริงหรือเปล่า บางทีอาจจะแต่งเป็หมูหลอกกินเสือ[3] ก็ได้”
จะบอกว่าฉินซีไม่ใช่มือใหม่นั่นก็ไม่ผิด เมื่อชาติก่อนเขาได้ก้าวย่ำผ่านอุปสรรคไปแล้วรอบหนึ่ง ทว่าเมื่อสวี่เทาได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที เขาจึงหันหน้าไปถลึงตาใส่หลิงโอว “อย่าตัดสินคนอื่นตามใจตัวเองสิ”
หลิงโอวถึงกับถอดสีไป ไม่กล้าโต้แย้งอะไร
ทางฝั่งนี้ยังพูดคุยกัน ฝั่งฉินซีก็แสดงเสร็จเรียบร้อย เขาจัดแขนเสื้อของตัวเอง ก่อนเดินลงมาจากแท่น ชายเสื้อยาวลากไปกับพื้นด้านหลัง ทุกอากัปกิริยาดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย
เมื่อฉินซีไม่ได้ยินเสียง “คัต” จากสวี่เทา ก็ทำได้เพียงแสดงต่อโดยไม่ได้รู้เลยว่าผู้คนโดยรอบเหม่อมองจนสติหลุดลอย ทีมงานถึงกับลืมไปเสียสนิทว่า นี่เสร็จสิ้นพิธีการเปิดกล้องแล้ว
ไหวพริบในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดของเถาเซียงต่ำมาก เธอทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องฉินซีที่เดินเข้ามา จากนั้นเขาก็ลูบหัวของเธอ มือนั้นทั้งเบาและนุ่มนวลราวกับไร้กระดูก ในตอนลูบผ่านก็ยังแฝงความอ่อนโยนไว้
ฉินซีสูงกว่าเธอมาก เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้า เธอก็ย่อมต้องเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่าย คนตรงหน้าช่างงดงามเกินบรรยาย เถาเซียงจ้องมองอยู่สักพักจนใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว
“อิ๋งอิ๋ง เมื่อครู่นี้น้ำเสียงของอาตงฟางแข็งกระด้างเกินไปแล้ว อิ๋งอิ๋งกลับเรือนไปพักเถิด หากรู้สึกอุดอู้ก็ออกไปเดินเล่นที่ผาไม้ดำก็ได้”
เถาเซียงเผลออ้าปากออกน้อยๆ ความคิดในสมองตีกันจนเละเป็โจ๊ก บทต่อไปคืออะไร? ต่อไปควรเป็สถานการณ์แบบไหนเล่า? เดิมทีเถาเซียงก็ไม่ได้ตั้งใจจำบทส่วนข้างหลังมา อีกทั้งตอนนี้ฉินซียังเข้ามาใกล้ขนาดนี้ ใจของหญิงสาวก็ยิ่งกังวล ทำให้ลืมทุกอย่างไปโดยสมบูรณ์
เมื่อสวี่เทาเห็นท่าทางเงอะงะของเถาเซียง ก็ได้สติรีบะโสั่งคัตทันที
สิ้นเสียงะโของเขา ฉินซีก็ชักมือของตัวเองกลับมา และเดินไปทางจอมอนิเตอร์ สวี่เทาพึงพอใจเป็อย่างมาก เขามองจอมอนิเตอร์ที่กำลังฉายภาพฉากเมื่อสักครู่อยู่ นักแสดงในกองถ่ายหลายคนเองก็เข้ามาดูด้วย
เมื่อเปิดดูซ้ำอีก ความรู้สึกที่มีต่อทักษะการแสดงของทั้งคู่ก็ยิ่งเด่นชัด หลิงโอวถลึงตามองฉินซีในจอมอนิเตอร์ด้วยความหวั่นเกรง ส่วนเถาเซียงก็ก้มมองตัวเองซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำ ก่อนหน้านี้เธอประเมินตัวเองสูงไป เห็นคนในกองถ่ายส่วนมากเป็พวกมือใหม่ จึงคิดว่าทักษะการแสดงของคนอื่นล้วนด้อยกว่าตัวเอง หญิงสาวคิด้า “สั่งสอนพวกมือใหม่” ทว่าวันนี้เธอกลับถูกมือใหม่ “สั่งสอน” เข้าให้แล้ว!
นอกจากจะขายหน้าแล้ว เธอยังนึกไปถึงความกระวนกระวายในชั่ววินาทีที่ฉินซีเข้ามาใกล้อย่างควบคุมไม่ได้
มีใครไม่ชอบคนหน้าตาดีบ้าง? แค่ใบหน้าของฉินซีก็ทำให้ผู้คนใจสั่นได้แล้ว เถาเซียงลอบถอนใจ ละครเื่นี้เธอเป็นางเอกเสียที่ไหน? ฉินซีต่างหากที่เป็!
สวี่เทายิ่งดูก็ยิ่งชอบใจ เป็เพียงมือใหม่ ทว่าทักษะการแสดงกลับเก่งกาจ! ฉินซีต้องมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดแน่! หากสามารถร่วมงานกับเขาในระยะยาวได้ นั่นราวกับได้ทหารมือดีมาเสริมทัพให้ยิ่งแข็งแกร่ง!
สวี่เทาตบจอมอนิเตอร์เบาๆ “เพราะเสื้อผ้าชุดนี้เสริมให้ภาพลักษณ์ของฉินซียิ่งดูดี ฉันว่าฉากที่ทำขึ้นยังไม่เหมาะสมกับท่าทางความรู้สึกนั้น เราควรเปลี่ยนเป็ฉากที่สามารถดึงดูดความสง่างามของเทพเ้าสุริยันจันทราให้มากขึ้นจะดีกว่า”
แน่นอนว่าฉินซีไม่มีความคิดเห็นอะไร มีเพียงคนอื่นที่อดอิจฉาขึ้นในใจไม่ได้
ฉินซีเพียงแสดงความสามารถก็ทำให้สวี่เทายอมจ่ายเงินทุนมากขึ้นได้ ทุกคนต่างก็เป็เพียงมือใหม่ทั้งนั้น จะไม่ริษยาได้อย่างไร?
เจี่ยงถิงเฟิงฉลาดกว่าหลิงโอวเล็กน้อย เมื่อเห็นทักษะการแสดงของฉินซีเป็ของจริง ก็นึกอยากผูกสัมพันธ์ เพราะเขาเป็พระเอกจึงสามารถเบียดไปอยู่ข้างกายฉินซีได้ง่ายๆ เขาก้มหน้าพูดกับสวี่เทาด้วยรอยยิ้ม “ผู้กำกับ ฉินซีมีฝีมือขนาดนี้ ผมคงต้องขอให้เขามาสอนให้แล้วล่ะ”
ฉินซีแค่อยากตบหน้าคนที่ดูถูกเขาเท่านั้น ไม่ได้อยากถูกยกย่องว่าเป็คนที่มีทักษะการแสดงดีที่สุดในกองถ่าย ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะมองเขาอย่างไร? ทั้งที่เป็แค่มือใหม่ แต่กลับทำตัวเย่อหยิ่ง แม้แต่ตัวละครหลักยังต้องยอมเขา นี่ถ้ามีใครไปพูดกับนักข่าว เกรงว่าเขาคงถูกชงข่าวให้กลายเป็นักแสดงหน้าใหม่แสนทะนงตัว ไม่รู้จักเคารพรุ่นพี่เป็แน่
เมื่อฉินซีนึกถึงตรงนี้ ก็ส่งยิ้มให้เจี่ยงถิงเฟิงทันที เอ่ยชื่นชมอีกฝ่ายเสียยกใหญ่ “่นี้พี่เจี่ยงไม่ได้มีละครที่กำลังออนแอร์[4] อยู่เหรอครับ? ผมดูไปแล้วตอนสองตอน การแสดงของพี่เจี่ยงสุดยอดมากเลย แล้วผมก็ชอบตัวละครที่พี่เจี่ยงแสดงมากเป็พิเศษด้วย น่าเสียดายที่จำนวนตอนที่ปล่อยออกมาน้อยไปหน่อย แค่อาทิตย์ละตอนเอง เฮ้อ...”
ฉินซีเป็คนที่เล่นละครเป็ แค่ชมเชยอีกฝ่ายจนยิ้มหน้าบาน สำหรับเขาก็แค่เื่ง่ายๆ
เมื่อเจี่ยงถิงเฟิงเห็นฉินซีพูดถึงขนาดนี้ ก็ไม่ได้ถามเจาะลึกว่าฉินซีชอบจริงหรือไม่ ใบหน้าของเขาฉาบรอยยิ้มยินดี ขนาดฉินซีที่แสดงเก่งมากยังชื่นชมเขามากมาย นั่นไม่ได้หมายความว่า เจี่ยงถิงเฟิงก็ฝีมือดีมากเหมือนกันเหรอ?
เจี่ยงถิงเฟิงถูกยกยอจนตัวลอย เขายิ้มพลางตบบ่าของฉินซีด้วยท่าทางราวกับ “สนิทสนมกัน” เสียเต็มประดา
สวี่เทาชอบนั่งดูการชิงดีชิงเด่นกันในกองถ่ายอยู่แล้ว เขาโบกมือพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ “กองละครยังต้องจัดฉากกันอีก เดี๋ยวจะเที่ยงแล้ว อีกสักพักพวกเราไปหาร้านอาหารดีๆ ในเมืองทานกันสักมื้อเถอะ หลังจากนี้อาจจะได้ทานแต่ข้าวกล่องกันแล้ว”
คนอื่นๆ รีบะโขึ้นอย่างยินดี “ผู้กำกับสุดยอด ผู้กำกับดีที่สุด” คำชมเชยถูกเอ่ยออกมาไม่หยุดปาก...
เมื่อขจัดความไม่ชอบใจของพวกมือใหม่ที่มีต่อฉินซีไปแล้ว ตอนนี้ทั้งกองถ่ายก็ดูรักใคร่ปรองดองกันมากขึ้น
มีเพียงหลิงโอวเท่านั้นที่ขบฟันจนแทบแหลก เมื่อเห็นแขนของเจี่ยงถิงเฟิงที่กำลังโอบไหล่ฉินซีไว้
ให้ตายเถอะ ให้ตาย! ตาบ้าเจี่ยงถิงเฟิง! ฉินซีตาบ้านั่นหรือที่ทักษะการแสดงดี? หึ เขายังไม่เห็นว่าทักษะการแสดงของฉินซีจะดีตรงไหน? แต่เจี่ยงถิงเฟิงที่เป็ถึงพระเอกกลับเข้าไปประจบสอพลอเขา น่าขายหน้าจริงๆ! หลังจากนี้ถ้าเขาได้เป็ตัวละครหลัก เขาจะไม่สนใจคนอย่างฉินซีแม้แต่น้อย
……
[1] เดบิวต์ (Debut) หมายถึง การเปิดตัว
[2] โคลสอัป (Close up) หมายถึง การถ่ายแบบซูมเข้าไปในระยะใกล้
[3] แต่งเป็หมูหลอกกินเสือ หมายความว่า ทำตัวให้ดูไร้พิษภัย แต่ความจริงกลับร้ายยิ่งกว่า
[4] ออนแอร์ (On air) หมายถึง ออกอากาศ