“คุณชาย ข้าแปลกใจขึ้นมาเสียแล้ว ทำไมท่านถึงได้รักสาวใช้ข้างห้องภายใน…..เวลาเพียงเท่านั้นได้ขอรับ? คุณชาย คำถามนี้ข้าอาจจะถามโดยไม่คิด เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจจริงๆ อาจกล่าวได้ว่า หากคุณชายอยากจะได้สตรีที่โดดเด่นสักคน ไม่ว่าเถ้าแก่เนี้ยะเฟิงที่อยู่ด้านนอก หรือจะเป็เถ้าแก่เนี้ยะเหม่ย พวกนางล้วนเป็คนที่โดดเด่นทั้งนั้น แถมเท่าที่ข้ารู้ สตรีที่เก่งกาจเหล่านี้ต่างชอบพอท่านมาก…” ขอแค่คุณชายปรายตาไป สตรีเหล่านี้ก็รีบวิ่งพร้อมปีนขึ้นมาบนร่างของท่านแล้ว
“กุนซือ มีบางเื่... บางคน... หรือบางทีที่อาจจะเป็เพียงแค่ความรู้สึก” โจวอ้าวเสวียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาอีก “ความจริงแล้ว จนถึงตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด…ว่าข้ารู้สึกอย่างไรกับนาง ข้ารู้เพียงแค่ว่า ข้าชอบอยู่กับนาง นางมี…ดวงตาที่ไม่เหมือนกับใคร!”
ดวงตาของโจวอ้าวเสวียนหรี่ลง คนคนนั้น ประทับอยู่ในสมองส่วนที่ลึกที่สุดของเขา ดวงตาคู่ที่ฉลาดกว่าผู้ใด
ดวงตาคู่นั้น ชาญฉลาด แต่กลับฉายแววซุกซน ยิ่งมีความเ็า ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉย อีกทั้งยังซ่อนความสามารถที่มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง….เป็คนที่ยุ่งยาก เป็สตรีที่ทำให้เขามองไม่ออก และเป็…คนที่ทำให้เขาอยากจะใกล้ชิดด้วย อยากจะทำความรู้จักกับนางให้มากยิ่งขึ้น
“คุณชาย ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ว่าท่านทำอะไร กุนซือเช่นข้านั้นพร้อมจะสนับสนุนท่านอย่างไม่มีเงื่อนไข ในปีนั้น หากไม่ใช่คุณชายยื่นมือเข้ามาช่วย คนในครอบครัวของข้าก็คงหิวตายไปจนหมดแล้ว ชีวิตของข้ากับคนในครอบครัวล้วนแต่เป็คุณชายที่ช่วยเอาไว้ ดังนั้นชีวิตของข้าก็เป็ของคุณชาย สตรีที่ท่านชอบ ข้าเองก็จะช่วยให้ท่านได้นางมา ตอนนี้สิ่งที่พวกเราจะทำได้ก็คือ จะทำอย่างไรให้ตนเองแข็งแร่งขึ้น ทำอย่างไรให้ควบคุมทั้งสกุลโจวได้”
“และเื่ควบคุมสกุลโจวเป็เื่ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ต้องทำให้ได้ก็คือจะต้องควบคุมสิทธิ์ทางการเงินของสกุลโจวไว้…..”
โจวอ้าวเสวียนยิ้มเย็น “กุนซือ คำพูดพวกนี้ของท่านเหมือนกับที่นางเคยพูดเอาไว้”
“หา?” ครั้งนี้กุนซือคิดออกได้อย่างลึกซึ้งแล้ว “ถึงว่าล่ะ สตรีที่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้อย่างลึกซึ้งจะเป็คนธรรมดาได้อย่างไร นางสามารถคิดได้ถึงขั้นนี้ ดูราวกับว่าจะไม่เหมือนสตรีจากหมู่บ้านธรรมดา”
สายตาของเสี่ยวอู่มองไปมองมาระหว่างคนสองคน ถึงตอนนี้ เขาก็พอจะเข้าใจแล้ว คุณชายชอบสาวใช้ข้างห้องในตอนแรกนั้นจริงๆ
เอาล่ะ เขาเองก็ต้องตัดสินใจได้แล้วว่า ครั้งหน้าที่ส่งคนไปดูนาง จะต้องส่งคนที่ละเอียดและทำงานเป็ไป
“นางที่เป็สตรียังไม่ออกเรือน แต่กลับไปยังที่แบบนั้น... เสี่ยวอู่ เ้าไปซื้อพวกที่ดินที่เขตปาเจียว ข้าเตรียมตัวจะไปพักผ่อนที่นั่นต่อ”
เสี่ยวอู่ได้ฟังก็รีบรับคำ
“แล้วก็ ส่งคนไปดูแลหมู่บ้านนั้นดีๆ ด้วย”
โจวอ้าวเสวียนเน้นเสียงหนักมากตรงคำว่า ‘คนดูแล’ คำพูดนี้ทำเอาเสี่ยวอู่กังวลมากแต่ก็ยังใจดีสู้เสือ
เขายินดีขึ้นมา “คุณชาย ท่านไม่ต้องจงใจเน้นคำว่าดูแลขนาดนี้ก็ได้ ข้ารู้ ที่ท่านพูดว่าดูแลน่ะ หมายถึงให้ข้าไปดูแลสตรีคนนั้นให้มากหน่อย แหะๆ เื่นี้ข้าย่อมรู้ดี คุณชายของพวกเราน่ะ ตอนนี้ได้ติดเข้าไปในใยแมงมุมแห่งรักแล้ว”
บนใบหน้าโจวอ้าวเสวียนมีความดำมืดปกคลุมอยู่ กุนซือมองทั้งสองคนแล้วก็หัวเราะออกมา ข้างกายคุณชายไม่มีมิตรสหายอะไร ก็มีแต่เขาที่ถูกเก็บมาเพื่อวางแผนทั้งหมดให้กับคุณชาย
แต่อายุของเขากับคุณชายห่างกันมากเกินไป ดังนั้นมีหลายเื่ที่ไม่สามารถพูดกันได้เข้าใจ ยิ่งเป็การพูดเชิงหยอกล้อเล่นกันนั้นที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย สุดท้ายจึงเป็เสี่ยวอู่คนนี้ ที่ตอนนั้นก็เป็คุณชายเป็คนดึงเขาขึ้นมาเช่นกัน
อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน วิธีการที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ดูแล้วถึงได้เหมือนกับที่เด็กใน่วัยนี้จะมีกัน กล่าวกันตามตรง ความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับเสี่ยวอู่ ทั้งๆ ที่เป็แค่นายบ่าวกัน แต่กลับสนิทกันกว่าพวกพี่น้องแท้ๆ ที่สกุลโจวเสียอีก
“ถ้าไม่จำเป็จริงๆ ก็ไม่ต้องลงมือ ข้าอยาก….ดูว่านางสามารถเติบโตไปได้มากแค่ไหน” โจวอ้าวเสวียนกำชับเสียงเรียบ ยกมือขึ้นทำสัญญาณให้เสี่ยวอู่ออกไปได้แล้ว
รอจนกระทั่งภายในห้องเหลือเพียงแค่เขากับกุนซือ ทั้งสองคนถึงได้เริ่มคิดคำนวณบัญชี
“คุณชาย ข้าเห็นร้านพวกนี้ส่วนมากถูกเอาของไปจนหมดแล้ว ทั้งยังเก่ามากแล้ว อยากจะให้มันพัฒนาขึ้นมา นอกจากต้องเสียกำลังแลกเืมาแล้ว เกรงว่าพวกเราจะต้องตัดสินใจตัดชิ้นเนื้อพิษนี้ออก ไม่เช่นนั้นร้านนี้คง…”
ตัดภาพมาจากหนึ่งนายหนึ่งบ่าวที่กำลังปรึกษากันเื่รับ่ต่อร้านสกุลโจว ครอบครัวของเฉินเนี้ยนหรานเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการทำธุรกิจเช่นกัน
หลังจากทำขนมหวานเย็นออกมาขายได้พักหนึ่งแล้ว วันเวลาก็ผ่านไปจนใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว
วันนี้เป็วันที่เฉินเนี้ยนหรานเก็บร้านไวขึ้นอย่างหาได้ยาก เมื่อเก็บเสร็จก็ออกมาเดินเล่นด้วยกันกับกวนซูเยวียน ทั้งยังพิจารณาตลาดไปด้วยในตัว
ไม่ว่าจะเป็ยุคปัจจุบัน ก่อนจะทำธุรกิจ เื่แรกที่จะต้องทำก็คือพิจารณาตลาดสินค้า
แล้วค่อยพิจารณากลุ่มคนที่จะซื้อสินค้าที่จะขายนั้น จะต้องเป็กลุ่มผู้ซื้อแบบไหน ของพวกนี้หากไม่สามารถพิจารณาให้ดี เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าจะทำธุรกิจสำเร็จ อย่างไรบนโลกใบนี้ไม่มีเื่ใดที่จะได้มาโดยไม่ได้พยายาม ส่วนเื่ที่จะได้เจอโชคใหญ่หล่นทับนั้น เป็เพราะเป็ได้ได้ยากมากเมื่อเทียบกับความพยายามแล้ว ดังนั้นผู้คนถึงได้พูดถึงมันและคาดหวังไม่น้อย….
เฉินเนี้ยนหรานเป็สตรีที่ใช้ชีวิตอยู่บนความเป็จริง นางไม่อยากจะทำอะไรที่เหมือนกับเื่ฝันกลางวัน อย่าฝันว่าจะมีขนมใส่ไส้ตกลงมาจากฟ้า [1] สิ่งที่นางชอบทำก็คือค่อยๆ เดินออกจากพื้นที่ของตนเอง มุ่งหน้าออกจากส่วนที่ปลอดภัยของตนเองไปเผชิญโลกกว้าง
บนถนนมีคนตั้งร้านขายของอย่างพวกขนมไหว้พระจันทร์ขายอยู่ เพียงแต่ทั้งหมดต่างทำออกมาเป็ก้อนกลมๆ แล้วตัดขายออกเป็ชิ้นๆ
ตักขนมไหว้พระจันทร์ที่ซื้อมาสิบอีแปะดู ก่อนเฉินเนี้ยนหรานจะกัดขนมที่เพิ่งจะออกจากเตาทาน หอมมันก็หอมอยู่ แต่ว่าเมื่อเทียบกับขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำมาอย่างสวยงามในยุคปัจจุบันแล้ว เ้านี่ก็ถือว่าแย่กว่ามาก
เดินไปเดินมา ก็เจอขนมไหว้พระจันทร์ขนาดค่อนข้างหนาหลากหลายรูปแบบ
มันถูกหั่นออกเป็ออกเป็ชิ้นเล็กๆ ้าติดงาดำอยู่ไม่น้อย ด้านนอกใช้กระดาษน้ำมันปิดเอาไว้
“ขนมไหว้พระจันทร์ที่รูปร่างเหมือนเครื่องรางกลมๆ นั่น ปกติแล้วคนมีเงินถึงจะมาซื้อ แต่ว่า... ได้ยินมาว่าจะขายแค่่ไหว้พระจันทร์เท่านั้น แถมก่อนหน้าเทศกาลก็ไม่สามารถทำได้เยอะด้วย เหมือนว่าทิ้งไว้ได้ไม่นาน หากนานเกินไปมันจะบูดเข้าเสียก่อนน่ะ”
ถูกของท่านป้า อากาศตอนนี้ยังร้อนอยู่นิดหน่อย ในยุคสมัยนี้ไม่มีสารกันบูดด้วย ดังนั้นหากทำออกมาแล้ว ก็ต้องพยายามขายให้หมดภายในเวลาไม่กี่วัน
เมื่อพิจารณาดูแล้ว เฉินเนี้ยนหรานก็รู้ชัดเจนในแผนการทำขนมไหว้พระจันทร์ของตนเอง นางคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถลองทำได้จริง
แต่มีจุดหนึ่งที่น่าติดใจอยู่นิดหน่อย ก็คือจะทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาหน้าตาเป็อย่างไร?
ในยุคปัจจุบัน การทำขนมไหว้พระจันทร์นั้นต่างทำออกมาด้วยรูปร่างหลากหลายรสชาติหลากหลายลวดลาย โดยการทาน้ำมันลงในพิมพ์ จากนั้นก็นวดแป้งให้ดี นวดเสร็จแล้วก็เอามาห่อไส้ จากนั้นก็ใส่ลงไปในแม่พิมพ์
ก็ไม่รู้ว่าช่างฝีมือในยุคนี้จะสามารถทำแม่พิมพ์ตามที่นาง้าได้หรือไม่
แล้วก็เตาอบ การทำขนมไหว้พระจันทร์ จุดที่สำคัญที่สุดก็ต้องเป็เตาอบ
ยืดแป้ง นวดแป้ง ทำไส้ ขั้นตอนพวกนี้สามารถจัดการได้เอง แต่เตาอบค่อนข้างลำบากนิดหน่อย
แต่ว่า พอนางพูดปัญหาออกมา กวนซูเยวียนก็แก้ไขปัญหาให้ในตอนนั้นเลย
“เตาอบหรือ? มีสิ ทำไมจะไม่มีเตาอบล่ะ เพียงแต่ของที่ต้องใช้ความร้อนเผาพวกนั้นจะต้องเพิ่มไฟอยู่ตลอด แล้วเื่ไฟจะต้องควบคุมให้ดี ดังนั้นหลายบ้านจึงไม่ได้เตรียมเตาอบเอาไว้ ร้านของพวกเราก็ไม่ได้ขายของแบบนั้นด้วย แต่ว่าครั้งนี้หากเ้า้า ตอนที่ต้าหลางเอาของเข้าร้าน ข้าจะให้เขาเอาเตาอบกลับมาด้วย”
“อืม เช่นนั้นลองยืมเตาอบมาใช้ก่อนแล้วกันเ้าค่ะ ข้าจะต้องลองมือก่อน แล้วให้พวกท่านลองทานดูด้วย ถ้าหากอร่อย พวกเราจะได้ทำออกมาเป็จำนวนมาก แต่ว่า... สิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นเลยก็คือจะต้องไปซื้อของทำไส้ ขนมไหว้พระจันทร์ไม่เพียงจะมีแค่ไส้เค็มกับไส้หวานเท่านั้น ยังสามารถใส่ไส้ผลไม้ แล้วก็รสชาติอื่นๆ ได้อีกด้วย”
“ข้าว่านะแม่หนูหราน เ้ารู้เื่เยอะดีจริงๆ เชียว เฮ้อ คุณชายห้าสกุลโจวก็ช่างใจดีเสียจริง สอนหนังสือเ้าเยอะมากมายขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเป็คนเป็เก่งกาจหลากหลายวิชาทีเดียว”
เฉินเนี้ยนหรานหัวเราะร่าเริงออกมา ทว่าในใจสบถคำเป็พัน เื่พวกนี้ไม่ใช่ของที่คุณชายห้าสกุลโจวทำหรอก ของพวกนี้น่ะเป็ความรู้ที่นางขโมยมาจากยุคปัจจุบัน ยุคสมัยใหม่นั้นสะสมวัฒนธรรมอาหารมานานหลายพันปี จะอย่างไรก็พัฒนาไปกว่ายุคสมัยนี้มาก
เฮ้อ ว่าไปแล้ว ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ย่อมเป็เพราะการแสวงหาและการสะสมความรู้เอาไว้ หาไม่แล้ว คนที่ข้ามมิติมาอย่างนางจะอยู่ได้อย่างไร!
วันนี้เป็ต้าหลางที่พาน้องสาวสองคนออกไปขายขนมหวานเย็นกับหัวบุก เฉินเนี้ยนหรานจึงอยู่ทำขนมไหว้พระจันทร์ในเรือน
หลังจากที่เฉินเนี้ยนหรานบอกว่าอยากได้แม่พิมพ์ เฉินจื่อิก็ออกไปสั่งแม่พิมพ์มาหลายอัน
กระทั่งเตาอบก็ยืมมาได้จนสำเร็จ กวนซูเยวียนเอาแป้งมานวด แล้วตั้งไฟ เห็นนางปั้นขนมไหว้พระจันทร์เสร็จก่อนจะเอาแป้งมาใส่แป้นพิมพ์จากนั้นก็เอาไปวางในเตาอบ
เตาแรก หลังจากได้กลิ่นหอมแล้ว เฉินเนี้ยนหรายก็อบต่ออีกไม่กี่นาทีถึงจะเอาขนมอบออกมาจากเตา
วินาทีที่เอาออกมาจากเตา กลิ่นหอมนั้นก็โชยเข้าจมูก แต่ว่ามันชัดเจนมากว่าอบไหม้ไปนิดหน่อยแล้ว
“เฮ้อ เกินเวลามานิดหน่อย ไม่เช่นนั้นขนมไหว้พระจันทร์ลูกนี้ก็คงจะไม่เลวแล้วเป็แน่” ดูจากผลลัพธ์กึ่งสุกนี้ เฉินเนี้ยนหรานก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อย
กวนซูเยวียนควบคุมความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวแล้ว นางหยิบขนมไหว้พระจันทร์มากินหนึ่งชิ้น
ที่นางกินเข้าไปนั้นเป็ขนมไหว้พระจันทร์รสเหม่ยกุย รสชาติเช่นนี้ความจริงแล้วทำมาจากดอกเหม่ยกุย [2] ที่เด็ดออกมาจากหลังเรือน แล้วนำมาคั้นเป็น้ำก่อนจะเอามาผสมลงไป ช่วยไม่ได้ ที่นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันนี่นา ไม่สามารถเหมือนกับยุคปัจจุบันที่เติมพวกสารปรุงแต่งได้
ในที่แห่งนี้ ทำได้แค่เอาธรรมชาติมาปรุงแต่งรสชาติและสีสันเพิ่มเติมเท่านั้น
“กลิ่นหอมนี้ รสชาตินี้ ์! ชาตินี้ข้าคิดว่าข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”
เพียงแค่กินเข้าไปหนึ่งคำ กวนซูเยวียนก็เอ่ยชมออกมาไม่ขาดปาก
“ข้าเองก็ขอชิมด้วยๆ ” ในตอนนั้นเองที่เฉินจื่อิเข้ามาคว้าเอาขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมากัดไปสองคำ
เฉินจื่อิที่ปกติจะเรียบร้อยกลับพูดออกมาโดยไม่สนใจจะเรียบเรียงคำพูดเลยสักนิด ชายหนุ่มรีบยกนิ้วไปทางเฉินเนี้ยนหราน
“ดี! ดี! รสชาติเช่นนี้ อร่อยดีจริงๆ แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าสีนี้มันดูเรียบง่ายไปหน่อย”
ไม่เลว ขนมไหว้พระจันทร์ตอนนี้ถึงแม้ตอนที่เอาออกมาจะเป็สีเหลืองนวล แต่พูดออกมาโดยรวมแล้ว สีมันดูธรรมดาเกินไปหน่อย
“ใช่ ท่านลุงพูดถูกต้องแล้ว สีนี้มันจืดไปหน่อย พวกเรายังต้องแก้ไขอีกเ้าค่ะ”
เด็กๆ พากันเดินเข้ามาเพราะได้กลิ่นหอม แต่ละคนก็หยิบขึ้นมากินคำโต
ทั้งหมดไม่สนใจเื่การพูดการจาอีกต่อไป เด็กทั้งสามพร้อมใจกันหายใจเข้าแล้วจัดการขนมไหว้พระจันทร์จนหมดเกลี้ยง
เฉินเนี้ยนหรานเองแค่ชิมนิดหน่อยก็พบว่ามีรสชาติที่ดีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบันรสชาติยังห่างชั้นกันอยู่มาก อย่างไรของพวกนี้ก็เป็เพียงของที่ตนลองทำขึ้นมา
“ข้าจะลองทำอีกครั้ง ทำประสิทธิภาพแบบที่ตั้งใจไว้ออกมาไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมหยุด”
พูดไปก็ลงมือทำไปด้วย กวนซูเยวียนเองก็เริ่มทำต่อทันทีเช่นกัน
ไม่รู้ว่าลองทำไปกี่รอบ ในคืนวันนั้น ในที่สุดหลังจากที่เฉินเนี้ยนหรานอบขนมไหว้พระจันทร์สีเหลืองนวลสดใสออกมาได้ นางถึงจะพอใจแล้วเก็บของเลิกทำ
กวนซูเยวียนมองขนมไหว้พระจันทร์งดงามตรงหน้า แล้วยังมีรูปร่างที่งดงามพิเศษ จึงยืนอึ้งมองอยู่ตรงนั้น ของพวกนี้ เป็สิ่งที่เฉินเนี้ยนหรานคิดมันออกมาเพียงคนเดียว
----------------
เชิงอรรถ
[1] ขนมใส่ไส้ตกลงมาจากฟ้า มีความหมายว่า ได้สิ่งที่อยากได้โดยไม่ต้องออกแรง
[2] ดอกเหม่ยกุย หมายถึงดอกกุหลาบ