ฉินอวี่เดินออกจากห้องด้วยใบหน้าที่ดูฝืนยิ้ม มอบตัวเป็ศิษย์ด้วยความงุนงง อีกทั้งผู้เป็อาจารย์ยังไม่ให้เกียรติกันเลย สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย และได้แต่คอยโทษตนเองที่บุ่มบ่ามเกินไป
ทันทีที่เดินออกมา เขาก็มองเห็นสยงท่าเทียนและชายหนุ่มในชุดขาวกำลังนั่งโต้เถียงกันอยู่ตรงพื้นหญ้าเบื้องหน้า โดยมีเสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาคอยเฝ้ามองพวกเขาอยู่ข้างๆ ส่วนองค์หญิงสิบสามหลงอวี่ก็นั่งพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกล และดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นฉินอวี่เดินออกมา หลงอวี่ก็ร้องอุทานขึ้นทันทีว่า “พี่ฉิน” เสียงะโของนางทำให้สยงท่าเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็รีบหันไปมอง และวิ่งเข้ามาทันที
“ฮ่าๆ หลี่เทียนจี ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าพี่ใหญ่ไม่เป็อะไรแน่นอน” สยงท่าเทียนะโเข้าไปหาฉินอวี่ พลางมองดูอย่างละเอียด หลังจากพบว่าฉินอวี่ไม่เป็อะไร เขาจึงรีบหันไปหาชายหนุ่มชุดขาวทันที
ฉินอวี่มองไปยังชายหนุ่มชุดขาวที่กำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และอดที่จะพูดไม่ได้ “หลี่เทียนจี เ้ามาแล้วหรือ”
ดวงตาของหลี่เทียนจีแดงก่ำ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น เมื่อนึกถึงเื่ในแดนสุสานอสูร หลี่เทียนจีก็รู้สึกขอบคุณฉินอวี่อย่างมาก พลางพูดคำสามคำออกไปจากส่วนลึกของหัวใจ “พี่ใหญ่ฉิน” เขาเป็คนมีอารมณ์เ็า หลังจากมาถึงเมืองหลักเทียนอู่ได้สักพักแล้ว เขาก็เดินวนเวียนรอบตระกูลฉินอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปภายในจวนของตระกูล อีกทั้ง่นั้นยังเป็เวลาที่ฉินอวี่กำลังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในโรงเตี๊ยมพอดี เขาจึงยังไม่รู้ว่าฉินอวี่ยังมีชีวิตอยู่
หลี่เทียนจีเพิ่งจะรู้ว่าฉินอวี่ยังมีชีวิตอยู่ก็เพราะเื่ที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังหลวง ในใจของเขาตื่นเต้นมากจนอยากจะวิ่งเข้าไปทักทายฉินอวี่ในทันที แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับฉินอวี่อย่างไร ดังนั้นจึงได้แต่แอบพยากรณ์เื่ของถงอวิ๋นเฟยมาโดยตลอด เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นในการประลองของฉินอวี่และถงอวิ๋นเฟยหรือไม่
ในการประลองระหว่างฉินอวี่กับชุยซั่วและถงอวิ๋นเฟย เขาก็ไปดูถึงลานประลอง เมื่อเขาเห็นฉินอวี่หมดสติไปในฉากสุดท้าย เขาก็ทิ้งความรู้สึกทุกอย่าง
ในเวลานี้ เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ ในใจของหลี่เทียนจีก็เหมือนจะร้องไห้ออกมา หลายวันมานี้เขาได้ไต่ถามเื่ราวของตระกูลฉินมาอย่างชัดเจน รวมถึงเื่ราวในอดีตที่ฉินอวี่ถูกฉินเฟิงกดขี่อยู่หลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเื่ที่ถูกบังคับให้คุกเข่า เมื่อได้รับรู้เื่ราวทั้งหมดนี้ เขาก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ในแดนสุสานอสูร เพื่อแลกกับโอกาสรอดชีวิตของเขาและสยงท่าเทียน ฉินอวี่ไม่สนใจความปลอดภัยของตนเองเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้หลี่เทียนจีรู้สึกขอบคุณและไม่สบายใจอย่างมาก
“อย่าได้คิดมาก พวกเราเป็มิตรสหายกันมิใช่หรือ?” เมื่อเห็นหลี่เทียนจีลังเลที่จะพูดทั้งยังมีดวงตาแดงก่ำ ฉินอวี่ก็ยิ้มเล็กน้อย หลังจากได้รู้จักสนิทสนมกันสักระยะ ฉินอวี่จึงรู้จักนิสัยของหลี่เทียนจีเป็อย่างดี แม้ว่าเขาจะพูดไม่เก่ง และนิ่งเฉยไม่ยิ้มแย้ม แต่ก็เป็คนมีไมตรีที่จริงใจ
“อืม!” หลี่เทียนจีพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ฉินอวี่มองไปทางหลงอวี่ที่มีใบหน้าสีแดงระเรื่อ และหลังจากมองอยู่ไม่นาน เขาก็พูดขึ้น “ไม่เลวนี่ ดูเหมือนเ้าจะได้ััถึงพลังปราณแล้วสินะ หลงอวี่ เส้นทางของเ้าแตกต่างจากของผู้อื่น การอยู่ในแคว้นอู่ บางทีอาจมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนยุทธ์ของเ้า สู้ต่อไป ขอเพียงแค่ตั้งใจฝึกฝน ต่อไปภายหน้าความสำเร็จของเ้าจะไม่เป็รองผู้ใดแน่นอน”
ใน่ห้าเดือนที่ผ่านมา หลงอวี่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้ว่าระดับการฝึกฝนของนางจะเป็เพียงขั้นยุทธ์ระดับสี่ แต่ระหว่างคิ้วของนางได้สร้างจิตจำนงของจักรพรรดิเอาไว้แล้ว
“พี่ฉิน หลงอวี่จะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก” หลงอวี่พยักหน้า ‘วิชาจิ่วอู่รุ่งโรจน์’ ที่ฉินอวี่มอบไว้ให้นางกลายเป็เหมือนฟางที่ช่วยชีวิตของหลงอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฝึกฝนมาได้สักระยะหนึ่ง หลงอวี่ก็ััได้ถึงพลังปราณของนางแล้ว หัวใจของนางทั้งตื่นเต้นและซาบซึ้งใจ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ได้ถูกถักทอขึ้นในจิตใจของนาง แม้ฉินอวี่ไม่บอก นางก็เลือกที่จะอยู่ในแคว้นอู่ มีประชาชนมากมายในแคว้นอู่ เป็ที่รวบรวมโชคชะตาของเหล่าประชาชนและผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน ฝึกฝนเพื่อบรรลุถึงพลังจักรพรรดิแห่งจิ่วอู่
“จริงสิ เสวี่ยเอ๋อล่ะ?” ฉินอวี่มองไปรอบๆ เมื่อไม่พบฉินเสวี่ย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“อ้อ พี่ใหญ่ ท่านพ่อของพี่ใหญ่บอกไว้ว่าหากฟื้นแล้วให้ไปหาเขาด้วย” สยงท่าเทียนกล่าวอย่างรวดเร็ว
“อ้อ ครึ่งเดือนต่อจากนี้พวกเ้าก็พยายามอย่าออกไปจากจวนตระกูลฉินล่ะ โดยเฉพาะพวกเ้าสองคน เสี่ยวเถา เสี่ยวฮวา” ฉินอวี่พูดช้าๆ ในตอนนี้ ระดับฝึกฝนของเสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาทั้งสองคนได้เข้าสู่ขั้นยุทธ์ระดับสามแล้ว
หลังจากกำชับไว้เรียบร้อย ฉินอวี่ก็ออกจากสวนที่พำนักไปทันที
ครู่หนึ่ง
ฉินอวี่ได้มาถึงห้องตำราของฉินจ้านผู้เป็พ่อแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของฉินเสวี่ย ฉินอวี่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเดินเข้าไปในห้อง
ฉินจ้านผู้เป็พ่อกำลังนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะหนังสือ โดยมีผู้าุโโม่นั่งอยู่ข้างกาย และมีฉินเสวี่ยที่กำลังนั่งก้มหน้าสะอื้นไห้อยู่ตรงนั้นด้วย ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้ว่าฉินอวี่เดินเข้ามา ขณะที่ฉินเสวี่ยหันหน้ามาพบฉินอวี่ นางก็ร้องไห้โฮพลางโผเข้าหาฉินอวี่ทันที
“ท่านพี่... ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”
“เสวี่ยเอ๋อ เ้าออกไปรอข้างนอกก่อนนะ ข้ามีอะไรจะพูดกับพี่ชายเ้าสักหน่อย” ฉินจ้านพูดขึ้นอย่างช้าๆ
ฉินอวี่เหลือบมองฉินจ้าน พลางตบไหล่ของฉินเสวี่ยเบาๆ และกระซิบกับนาง “เสวี่ยเอ๋อ พี่ก็ไม่ได้เป็อะไรแล้วมิใช่หรือ? เ้าไปหาพวกสยงท่าเทียนก่อนเถอะ ่นี้อย่าเพิ่งออกจากจวนตระกูลฉิน เข้าใจไหม?” หวังผิงทำสิ่งที่ตั้งใจไม่สำเร็จ ทั้งยังต้องสูญเสียอีกด้วย ดังนั้นเขาไม่มีวันยอมเลิกราแน่นอน
“อืม!” ฉินเสวี่ยเช็ดน้ำตาของนาง พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางเหลือบมองไปทางฉินอวี่อย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่ฉินเสวี่ยเดินลับสายตาไป สายตาของฉินจ้านก็มองไปทางฉินอวี่ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนและโล่งใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา “เ้าโตแล้ว ข้าก็วางใจ หลังจากงานชุมนุม ข้ากับผู้าุโโม่ก็จะไปจากที่นี่”
ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย จากข้อบ่งชี้ก่อนหน้านี้ ฉินอวี่คาดเดาเอาไว้นานแล้วว่าฉินจ้านจะต้องทิ้งตระกูลฉินแห่งนี้ไปอย่างแน่นอน และจะต้องรอจากไปหลังเสร็จสิ้นงานชุมนุม หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็พูดขึ้นมา “ท่านจะไปตามหาท่านแม่หรือ?”
“ใช่ หลายปีมานี้ ข้ารอคอยวันที่พวกเ้าทั้งสองได้เข้าฝึกยุทธ์ในสำนักเซียนมาตลอด และด้วยพลังของเ้าและเสวี่ยเอ๋อในตอนนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการเข้าสู่สำนักเซียนแล้ว” ฉินจ้านพูดอย่างซับซ้อน พร้อมดวงตาที่สั่นไหว
ฉินอวี่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อััถึงขมับทั้งสองข้างที่ไม่รู้ว่าเย็นวูบวาบขึ้นมาั้แ่เมื่อใด ในใจของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ในตอนที่เขากลับมาเกิดใหม่ เขารู้สึกได้เพียงว่าฉินจ้านไม่ได้ทำหน้าที่ของผู้เป็พ่อ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ที่ฉินจ้านคุกเข่าลงตรงหน้าจวนตระกูลชุยเป็เวลาสามวันสามคืน ทำให้ฉินอวี่ะเืใจอย่างมาก และตามมาด้วยบทสนทนากับฉินจ้าน จึงทำให้ฉินอวี่ได้รู้ว่าผู้เป็พ่อก็ทุกข์ทรมานไม่ต่างกัน
“สิ่งที่ควรจะรู้เ้าก็รู้ไปหมดแล้ว นี่คือทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกฝนซึ่งข้าได้เก็บสะสมมาตลอดหลายปี เ้ารับไปสิ” ฉินจ้านหยิบวงแหวนมิติออกมาและวางไว้บนโต๊ะ
“ไม่จำเป็หรอก ท่านพ่อเก็บไว้เพื่อตนเองเถิด เบาะแสของท่านแม่ยังไม่แน่ชัด ยังไม่รู้ว่าอาจต้องงมเข็มในมหาสมุทรหรือไม่ ท่านเก็บเอาไว้สำรองเถอะนะ” ฉินอวี่พูดอย่างใจเย็น โดยไม่สนใจมองวงแหวนมิติเลยแม้แต่น้อย นี่ไม่ใช่ความน้อยใจหรืออวดดี แต่เป็เพราะฉินอวี่ไม่ชอบใช้พลังจากภายนอกมาช่วยการฝึกฝน
ดวงตาอันพร่ามัวของผู้าุโโม่แสดงถึงความรู้สึกปลาบปลื้มใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างเรียบเฉย “คุณชายสามรับไว้เถอะ นี่คือสิ่งที่นายท่านหก... อ้อ เป็น้ำใจจากท่านพ่อนะ หากเ้าไม่รับเอาไว้ เขาคงจะรู้สึกผิด”
“นายท่านหก?” ฉินอวี่เหลือบมองผู้าุโโม่ และหยิบวงแหวนมิติมาไว้กับตัว จากนั้นจึงเก็บไว้ในวงแหวนมิติของตนเองทันที
“ไม่ทราบว่าคุณชายสามคิดจะเข้าสู่สำนักเซียนสำนักใดหรือ?” ผู้าุโโม่ถามขึ้นมา ครั้งนี้หลังจากฉินอวี่ได้ประลองกับถงอวิ๋นเฟย หลายวันมานี้มีคนมายังตระกูลฉินมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดาคนเ่าั้มีสำนักยุทธ์มากมายต่างนำหนังสือเชิญมามอบให้ แต่กลับถูกฉินจ้านปิดประตูใหญ่ ปฏิเสธไปทันที
“สำนักยุทธ์ว่านจ้ง” ฉินอวี่ตอบตามความจริง
“สำนักยุทธ์ว่านจ้งมีรากฐานที่ลึกล้ำ ไปที่นั่นก็นับว่าไม่เลว เ้าถือป้ายคำสั่งนี้ไว้ นี่เป็สิ่งที่แม่ของเ้าทิ้งเอาไว้ เป็ป้ายของผู้มีพร์หญิงคนหนึ่งในอดีต นางมีนามว่าสวี่โม่ชิง ต่อไปภายหน้าเมื่อเข้าสู่สำนักยุทธ์ว่านจ้งและพบเจอกับเื่ที่ยากแก้ไข จงไปขอความช่วยเหลือจากนาง” ฉินจ้านหยิบแผ่นป้ายคำสั่งสีเขียวครามออกมาป้ายหนึ่ง
ฉินอวี่รับไว้และมองดูป้ายคำสั่ง จึงพบว่ามีตัวอักษร “ชิง” ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ด้านหลังมีรูปศาลาโบราณที่รายล้อมด้วยูเา จากนั้นจึงนำป้ายคำสั่งเก็บใส่วงแหวนมิติ ก่อนจะพูดต่อ “หากไม่มีเื่อะไรแล้ว ข้าขอตัวไปฝึกต่อ”
“ไปเถอะ” ฉินจ้านพูดด้วยดวงตาเศร้าสร้อย
หลังจากฉินอวี่จากออกไป ผู้าุโโม่ก็ถอนหายใจและพูดขึ้นมา “ในใจของเสี่ยวอวี่ยังคงโทษท่านอยู่ หลายปีมานี้ท่านไม่ควรจงใจตีตัวออกหากพวกเขาสองพี่น้องเลย”
“เป็เช่นนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ? อย่างน้อย ต่อไปในอนาคตพวกเขาจะได้รู้สึกเป็ห่วงน้อยหน่อย” ฉินจ้านยิ้มอย่างขมขื่น และยังไม่ทันพูดจบ เขาก็หันมองไปทางขวาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นมาทันที และพูดไปอย่างเ็า “ผู้าุโโม่ พวกสำนักเทียนหั่วนั้น คงต้องฝากเ้าไว้ด้วย ข้าไม่้าให้เกิดเื่ที่ไม่คาดฝันขึ้นก่อนงานชุมนุมจะเริ่มต้น”
“ตอนนี้ไม่มีระดับพลังของการฝึกฝนแล้ว คงได้สร้างสถานการณ์ขู่ให้กลัว” ผู้เฒ่าโม่ก็เหลือบมองไปทางขวา และยิ้มจางๆ
ในเวลาเดียวกัน ที่ชายแดนแคว้นอู่ มีกระบี่ขนาดใหญ่กำลังพุ่งทะยานอยู่ท่ามกลางทะเลของหมู่เมฆ
“ผู้าุโจาง ข้าต้องกลับไปเมืองหลักเทียนอู่!” ถงอวิ๋นเฟยยืนอยู่บนกระบี่บิน และส่งเสียงตะคอกอย่างน่ากลัว
“คุณชาย เื่มันก็ผ่านไปแล้ว อีกอย่าง ท่านจะพ่ายแพ้ก็ไม่ได้ผิดอะไร เขาคือร่างอสุนีลึกลับ มีพลังแข็งแกร่ง ก่อนจะเข้าร่วมการประลอง เขาคงเตรียมตัวมานานแล้ว หรือจะบอกได้ว่า เขามีแผนการยั่วโมโหท่านมาั้แ่แรกอยู่แล้ว” ผู้าุโจางถอนหายใจ และมองไปยังท่าทางตีโพยตีพายของถงอวิ๋นเฟย จนแทบจะบอกไปว่าที่รอดกันมาได้ก็เพราะเขายอมติดหนี้บุญคุณฉินอวี่
“ข้าจะต้องฆ่าเขาให้ได้!” ถงอวิ๋นเฟยะโขึ้นไปในอากาศ และส่งเสียงะโด้วยความโกรธ หลายปีมานี้ หนทางในการฝึกฝนของเขาราบรื่นมาโดยตลอด ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน แต่ถงอวิ๋นเฟยก็ไม่ใช่คนอวดดี รู้ดีว่าตนเองไม่ใช่ที่หนึ่งของคนรุ่นใหม่ เขาเคยคิดอยู่หลายครั้ง ว่าสักวันจะต้องพ่ายแพ้ในมือของใครสักคน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มขั้นปราณเสถียรระดับต้นเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ถงอวิ๋นเฟยไม่อาจยอมรับได้เลย
ผู้าุโจางแสยะยิ้ม ยื่นมือข้างขวาออกไปคว้าตัวถงอวิ๋นเฟยกลับมาบนกระบี่บิน และพูดเสียงเบา “คุณชาย นายท่านมีคำสั่ง หากออกมาครั้งนี้แล้วท่านพ่ายแพ้ จะต้องกลับเข้าแดนขัดเกลาของตระกูล”
“แดนขัดเกลา?” ถงอวิ๋นเฟยสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และหยุดดื้อรั้นทันที
วันต่อมา
ร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่ง
จื่อซวินเอ๋อยืนอยู่บนระเบียงของร้านขายยา มองดูผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านล่าง ดวงตาของนางเปล่งประกายสีสันแห่งความนึกคิด ในเวลานี้ ฉากการต่อสู้ยังคงปรากฏวนเวียนในจิตใจของนาง
ดวงตาของนางเหมือนอสรพิษ การต่อสู้ระหว่างชุยซั่วและฉินอวี่ นางเห็นอย่างชัดเจนว่าฉินอวี่ใช้พลังของอสุนีลึกลับ เพียงแต่ในตอนนั้นยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็อสุนีลึกลับจริงๆ ส่วนการใช้เพลิงธรณีของชุยซั่วก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้เช่นกัน และท้ายที่สุด ในการต่อสู้ของฉินอวี่และถงอวิ๋นเฟย กลับทำให้นางต้องใอย่างมาก จนแทบไม่อยากเชื่อสายตา
นางรู้จักตัวตนของถงอวิ๋นเฟยเป็อย่างดี พลังของเขานั้นนับว่าโดดเด่นในหมู่คนหนุ่มสาวในแดนนภาชิงเหลียนทางตะวันออก แม้ว่าเขาจะระงับการฝึกฝนเอาไว้ แต่ก็ยังยากที่จะเอาชนะได้ แต่ฉินอวี่... กลับสามารถเอาชนะถงอวิ๋นเฟยได้ สิ่งที่ทำให้จื่อซวินเอ๋อใอย่างมากก็คือ ฉินอวี่สามารถทำลายม่านแสงทองคำของถงอวิ๋นเฟยจนแตกได้!
แม้จะเป็คนขั้นเทียนชุ่ยก็ยากจะทำลายสิ่งนี้ได้ ฉินอวี่มีพลังไปถึงระดับนี้ได้เช่นไร? แม้จะมีพลังของอสุนีลึกลับก็ยังยากมากที่จะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนั้นฉินอวี่ได้รับาเ็สาหัส แต่เหตุใดพละกำลังของเขาจึงยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ? เป็ไปได้หรือไม่ว่า... จะเป็ดั่งคำของผู้เฒ่าเก๋อบอกไว้ ว่าเขามีทักษะยุทธ์ที่น่าทึ่ง?
“คุณหนู” เสียงของผู้ฒ่าเก๋อดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ดวงตาของจื่อซวินเอ๋อชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง “หวังผิงลงมือแล้วหรือ? รีบใช้่วิกฤติเช่นนี้ของพวกเขาลงมือเถอะ ข้า้าสร้างบุญคุณ!”
“ไม่ได้... สำนักเทียนหั่วได้เดินทางออกจากเมืองหลักเทียนอู่แล้ว” ผู้เฒ่าเก๋อกระซิบ
“ไปแล้วหรือ? ทำไมกัน? เพลิงธรณีของหวังผิงยังอยู่กับฉินอวี่ อีกอย่าง... ก่อนหวังผิงจะไปก็น่าจะมาบอกกล่าวกันก่อนจึงจะถูก” จื่อซวินเอ๋อขมวดคิ้ว และหันกลับมามอง พลางพูดด้วยความประหลาดใจ
“ตามรายงานของสายสืบ สองสามวันมานี้ ยอดฝีมือของสำนักเทียนหั่วได้คอยหาโอกาสลงมือมาตลอด แต่ในวันนี้... ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด พวกเขาทั้งหมดจึงรีบถอยออกไปเสียแล้ว ดูเหมือนว่า... จะถูกขู่จนหวาดกลัว”