ทุกครั้งที่นึกถึงสำนักมาร หลงเหยียนก็รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง ในเนินดารา ตระกูลลั่วมีอำนาจที่สุด ทว่าสำนักมารน่ารังเกียจยิ่งกว่าตระกูลลั่วหลายพันเท่า
หลงเหยียนมาเมืองหยุนจงเพื่อสองเป้าหมาย ประการแรกคือเข้าไปเป็สมาชิกตระกูลอู่ตี้เพื่อได้รับทรัพยากรและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ประการที่สองคือการกำจัดสำนักมารให้สิ้นซาก ไม่เช่นนั้นตระกูลหลงอาจมีอันตราย ได้ยินมาว่าประมุขสำนักมารมีพลังระดับธรณี เกรงว่าแม้กระทั่งเว่ยเวยก็ยังเทียบไม่ได้
ส่วนตระกูลหลงอู่เป็ที่เติบโตของหลงเหยียน มีหรือที่เขาจะไม่สนใจคนในตระกูล? ไม่คิดกำจัดสำนักมารหนึ่งวัน เขาก็ไม่อาจข่มตาหลับอย่างสบายใจ
“แกร่งขึ้น ข้าต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นให้เร็วที่สุด กว่าข้าจะมีพลังระดับชีพธรณี ต้องใช้เวลานานเท่าไรกัน ตระกูลหลงอู่ของเราต้องรออีกนานเท่าใด?” หลงเหยียนรู้สึกกดดันในใจราวกับเื่นี้เป็กรงที่ขังเขาเอาไว้
หัวใจที่ถูกบีบของหลงเหยียนเต้นแรงขึ้นทุกที ยิ่งไปกว่านั้น กล้ามเนื้อของเขายังกระตุกตลอดเวลา เืร้อนระอุ หลงเหยียนเชื่อว่าตนต้องบุกเบิกพื้นที่ในเมืองหยุนจงได้ด้วยตัวเองแน่
“ระดับพลังขั้นที่แปด เกรงว่าคนที่นี่คงไม่มองว่ามันแกร่งเท่าไรนัก นับั้แ่เริ่มแรก ข้าต้องรู้จักซ่อนพละกำลังเอาไว้ เช่นนั้นศัตรูถึงจะได้ไม่กล้าโจมตีข้าง่ายๆ”
หลงเหยียนเข้าใจว่าดินแดนกว้างใหญ่ต้องมียอดอัจฉริยะมากมาย เหมือนอย่างเขาที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากกว่า เป็คนในระดับที่สูงกว่า
เพียงนึกถึงว่าลั่วเฉิงนั่นต้องปรากฏตัวในตระกูลอู่ตี้เช่นกัน ความเกลียดในใจหลงเหยียนก็ถูกหล่อเลี้ยงมากขึ้น
พลังจิตทำการค้นหาก็พบกับกลิ่นอายของคนที่สามารถััได้ในตำแหน่งที่ไม่ไกล หลงเหยียนจึงรีบพุ่งออกไปทันที
กลับพบว่าด้านหน้ามีผู้ฝึกยุทธ์อย่างน้อยสิบกว่าคน พวกเขาล้มอยู่กับพื้น บ้างก็แขนขาขาด บ้างก็สิ้นลมหายใจแล้ว
รอบตัวคนพวกนั้นถูกล้อมด้วยรถม้า รอบด้านมีสตรีสวมเสื้อผ้าธรรมดา เสื้อผ้าของพวกนางถูกฉีกขาด มองไปแล้วก็รู้เลยว่าต้องถูกผู้ใดรังแกมาก่อนแน่
หลงเหยียนเดินเข้าไปมองคนเ่าั้ด้วยความสงสัย ส่วนผู้ฝึกยุทธ์เองก็มองหลงเหยียนด้วยสายตาหวาดกลัว
“อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา เ้ามันเดรัจฉาน เดรัจฉาน”
‘น่าแปลก เพราะอะไรพวกเขาถึงกลัวขนาดนั้น หรือว่าเจออะไรไม่ดีมางั้นหรือ’
หลงเหยียนรีบเดินเข้าหาบุรุษที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาดิ้นอย่างรุนแรง หลงเหยียนกระชากเสื้อเขาอย่างแรงแล้วถาม “พวกเ้าเป็อะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้น?”
“เดรัจฉาน เขาเป็เดรัจฉาน เขาหยามน้องสาวข้า ท่านแม่ถูกเขาฆ่าตายแล้ว พี่ใหญ่ข้า พี่รอง!”
บุรุษผู้นั้นร้องไห้ด้วยความเ็ป หลงเหยียนะโถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใครเป็คนทำร้ายพวกเขา?”
ชายตอบกลับด้วยความร้อนรน “นายน้อยแห่งเนินดารา ลั่วเฉิง!”
“อะไรนะ? ลั่วเฉิงอีกแล้ว?”
หลงเหยียนกำหมัดแน่น ร่างกายเขาแทบะเิออกมา ลั่วเฉิงนั่นน่ารังเกียจมากเกินไปแล้ว
จากนั้นหลงเหยียนก็หยิบเสื้อผ้าใหม่จากถุงผ้าเฉียนคุนออกมาคลุมที่ไหล่ของเหล่าสตรี จากนั้นก็หยิบยาบำรุงออกมาให้ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้ คาดว่าพวกเขาก็คงเป็คนทำการค้า หรือไม่ก็เป็ขุนนางเล็ก แล้วมาเจอลั่วเฉิงระหว่างทาง
บนรถม้า หลงเหยียนเปิดม่านหน้าต่างออก หญิงสาวที่ลักษณะคล้ายคุณหนูขดตัวอยู่มุมหนึ่ง กอดขาที่งดงามของตัวเองแน่น
“น่ารังเกียจ! สตรีที่งดงามเช่นนี้ก็ถูกเขาทำลายกับมือ”
ดวงตาหลงเหยียนแทบเปลี่ยนเป็สีแดง กำหมัดแน่น ความโมโหปะทุในใจ นึกถึงสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนกลับถูกย่ำยีแบบนี้ อีกหน่อยนางจะออกเรือนกับใคร แล้วจะมองหน้าคนอื่นได้อย่างไร
หลงเหยียนนึกถึงวิธีการปรุงยา สามารถปรับสภาพจิตใจของหญิงสาวให้ดีขึ้นได้ ข้าวฟ่างหนึ่งร้อยห้าสิบกรัม พุทราจีนเก้าลูก ดอกกุหลาบเก้ากรัม กลิ่นชะมดศูนย์จุดหกกรัม นำยาดังกล่าวและข้าวฟ่างต้มพร้อมกันจนสุกแล้วทานเป็อาหารเช้า
การรักษาที่ดูธรรมดาได้ผลมากจริงๆ
นึกถึงภาพเมื่อก่อน ตอนที่เซียวปิงหลานเกือบทำร้ายน้องหยุนฉีสำเร็จ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่สตรีนางนี้ดิ้นรนในรถม้าแรงเพียงใด ลั่วเฉิงสมควรตายจริงๆ!
แววตาหลงเหยียนเืเย็นอย่างยิ่ง สิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขาคืออยากสังหารคนสารเลวอย่างลั่วเฉิง
“ลั่วเฉิง อย่าให้ข้าเจอเ้าในตระกูลอู่ตี้เชียว ไม่อย่างนั้น ข้าจะฉีกร่างเ้าเป็หมื่นชิ้น ตอนแรกข้าเพียงอยากทำให้เ้าพิกลพิการ จ้ากลับรนหาที่เอง”
หลงเหยียนให้การช่วยเหลือคนเ่าั้ก่อน จากนั้นก็เร่งเดินทางไปยังเมืองหยุนจง ราชสีห์หิรัณย์พูดด้วยความโมโห “นึกไม่ถึงว่าเขาจะชั่วยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก ไม่ว่าเื่ร้ายเท่าใดก็ทำได้ หากข้าเจอเขา ข้าจะกลืนเขาลงไปในคำเดียวเลย แบบนั้นถึงจะสาสมกับความเกลียดแค้นที่มี”
ไม่มีฉินเซียน การเดินทางของหลงเหยียนก็เร็วขึ้น หลังจากนั้นสองวันเขาก็เข้าสู่เมืองหยุนจง ในเมืองแห่งนี้คล้ายเมือง์ สิ่งก่อสร้างและกำแพงที่สูงตระหง่านดูน่าเกรงขาม ไม่รู้ว่าเมืองหยุนจงยิ่งใหญ่กว่าเนินดารามากเท่าไร
หลงเหยียนมองภาพตรงหน้าด้วยความตะลึง ขณะเข้าเมือง ทั้งสองด้านเต็มไปด้วยองครักษ์ เขากวาดตามองคนเ่าั้ด้วยความเคารพ หลงเหยียนเงยหน้าขึ้น มองบนประตูเมือง เสาสีทองขนาดใหญ่สลักับินสีทองดูสมจริงคล้ายกำลังจะทะยานขึ้นฟ้า เป็เมืองที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
อีกด้านหนึ่งคือเสาสลักรูปหงส์ ปีกที่กางออกราวกับกำลังโบยบิน สัตว์ใหญ่ทั้งสองดูสูงส่งไร้ที่ติ
เมื่อก่อนหลงเหยียนเคยได้ยินหนานกงฉู่พูดถึงความยิ่งใหญ่ของมัน นึกไม่ถึงว่าวันนี้ได้เห็นกับตา เขาตกตะลึง ที่นี่สามารถจุคนได้ถึงสามร้อยล้านคน ไม่อยากคิดว่าในเมืองจะมียอดฝีมือมากเท่าไร สรุปแล้วน่ากลัวมากแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้
สำหรับที่นี่แล้ว เนินดาราก็เปรียบเสมือนมดตัวน้อยเท่านั้น ไม่อาจเทียบกันได้เลยด้วยซ้ำ
เวลานี้เอง หลงเหยียนก้าวเข้าสู่เมืองหยุนจง รอบข้างเต็มไปด้วยยอดฝีมือ แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่มีพลังระดับสูงล้วนอายุมากกว่าหลงเหยียนทั้งนั้น จึงแสดงให้เห็นแล้วว่าพร์หลงเหยียนสูงแค่ไหน ในสถานที่เล็กๆ ที่ทรัพยากรมีขีดจำกัด ทว่าเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ เกรงว่าหลงเหยียนต้องเติบโตเร็วกว่าเดิมแน่
หลงเหยียนรู้สึกเหมือนตนเป็เหมือนคนป่าที่เข้าเมือง เขามองที่แห่งนี้ดั่งที่สูงส่ง ถึงอย่างไรก็รู้สึกแปลกหูแปลกตา
“นี่น่ะหรือเมืองหยุนจง? ยิ่งใหญ่เหมือนอยู่บนชั้นเมฆเลยจริงๆ จากผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านข้างกายเข้าไป อย่างน้อยก็มีพลังขั้นที่เก้า ดูเหมือนระดับพลังนี้จะเป็พื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์ที่นี่ ไม่รู้ว่าความน่ากลัวของผู้ฝึกยุทธ์ระดับทั่วไปจะอยู่ในระดับใด”
เมื่อหลงเหยียนนึกถึงตรงนี้ ขณะที่เดินอยู่บนถนน เขาแทบไม่กล้าหายใจ กลัวว่าหากตนเองไม่ระวังอาจทำใครไม่พอใจ ในเมื่อนี่เป็ครั้งแรกที่เขามายังเมืองใหญ่เช่นนี้ หลงเหยียนมีพลังระดับชีพัขั้นที่แปดเท่านั้น ในสายตาคนที่นี่ มันน้อยจนไม่คู่ควรให้พูดถึง
“พี่ฉู่เคยบอกว่าเมืองหยุนจงแบ่งออกเป็สองเขต เขตหนึ่งดูแลโดยตระกูลอู่ตี้ ถูกเรียกว่าเมืองอู่ตี้ ส่วนอีกเขตถูกปกครองโดยสำนักหยุนเฟิง ถูกเรียกว่าเมืองหยุนเฟิง ภายใต้สองมหาอำนาจ มีหกมหาอำนาจที่แตกต่างกันไป หนึ่งในมหาอำนาจที่ถูกปกครองโดยสำนักหยุนเฟิงก็คือสำนักมาร”
หลงเหยียนแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะก้าวเข้าสู่ตระกูลอู่ตี้แล้ว
--------------------