ตอนที่ 10 ถึงจุดหมาย...ชั่วคราว
เปลวแดดของฤดูที่ผันผ่านยังคงแผดเผาอย่างไม่ปรานี ผืนดินทางใต้ที่พวกเขาเหยียบย่ำแม้จะดูอุดมสมบูรณ์กว่าทางเหนือ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความเหนื่อยล้าที่กัดกินลึกถึงกระดูกของคณะอพยพ หลังเหตุการณ์อันน่าสลดใจของอาซันที่ทิ้งรอยแผลเป็ไว้ในใจของทุกคน การเดินทางก็หนักหน่วงขึ้นด้วยความเงียบงัน ทุกย่างก้าวคือการต่อสู้กับความทรงจำอันเลวร้ายและความไม่แน่นอนเบื้องหน้า ทว่าท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น หลี่ซานยังคงเป็ดั่งดวงประทีปดวงน้อยที่ส่องสว่าง แม้แสงของมันจะริบหรี่ในบางครา แต่ก็ไม่เคยดับสิ้น
หลายวันผ่านไป... ภูมิทัศน์เริ่มเปลี่ยนผัน กลิ่นดินแห้งแล้งค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นชื้นของพืชพรรณและไอดินที่แตกต่างออกไป ในที่สุด ยามบ่ายคล้อยของวันหนึ่ง ขณะที่ขบวนผู้คนอันอ่อนล้ากำลังลากเท้าผ่านเนินเขาเตี้ยๆ ลูกสุดท้าย...
สายลมระลอกหนึ่งพัดโชยมา มันไม่ได้นำพามาเพียงฝุ่นผงเช่นเคย แต่หอบเอากลิ่นอันเป็เอกลักษณ์ที่หลี่ซานคุ้นเคยในชาติภพก่อน... กลิ่นเค็มของเกลือ กลิ่นคาวจางๆ ของสรรพชีวิตในท้องน้ำ และความสดชื่นอันเย็นเยียบที่ปลุกเร้าทุกโสตประสาท
"กลิ่นนี่มัน..." ชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินนำหน้าชะงักงัน คำพูดของเขาขาดห้วงไปกลางคัน
ทุกคนหยุดเดินโดยพร้อมเพรียงกัน เงี่ยหูฟัง... และแล้วพวกเขาก็ได้ยิน เสียงซ่า... สาด... เป็จังหวะสม่ำเสมอที่ไม่เหมือนเสียงลมพัดผ่านพงหญ้าหรือยอดไม้
เมื่อก้าวสุดท้ายถูกพาขึ้นสู่ยอดเนิน ภาพเบื้องหน้าก็ทำให้ทุกคนลืมสิ้นซึ่งความเหนื่อยล้า ภาพที่แม้แต่นักวาดที่เก่งกาจที่สุดยังยากจะจำลองความงดงามนั้นออกมาได้
เส้นขอบฟ้าสีครามกว้างไกลสุดสายตา กับผืนน้ำสีเขียวมรกตที่แผ่ไพศาลไปจนจรดขอบโลก ฟองคลื่นสีขาวม้วนตัวเข้ากระทบหาดทรายสีทองอร่ามราวกับพรมที่ถูกทอขึ้นอย่างประณีต แสงแดดยามบ่ายทาบทอลงบนผิวน้ำ เกิดเป็ประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีนับล้านชิ้น... ทะเล!
"ทะเล... พวกเรา... มาถึงทะเลแล้ว!" เสียงะโที่สั่นเครือด้วยความตื้นตันดังขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดี ผู้คนทิ้งสัมภาระลงกับพื้นแล้ววิ่งกรูกันลงจากเนินเขา มุ่งหน้าไปยังชายหาดราวกับเด็กน้อยที่ได้พบของเล่นชิ้นใหม่ น้ำตาแห่งความทุกข์ทรมานที่เคยหลั่งริน บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็น้ำตาแห่งความสุขและความหวังที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาทุกคู่
หลี่ซานยืนนิ่งอยู่บนยอดเนิน ทอดสายตามองภาพนั้นด้วยหัวใจที่พองโต นางสูดลมหายใจเข้าลึก รับเอาไอทะเลที่เย็นสดชื่นเข้าไปเต็มปอด ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานหลายเดือนพลันมลายหายไปสิ้น กลิ่นปลาสด กลิ่นสาหร่ายทะเล และกลิ่นดินเค็มๆ ที่ลอยมาตามลมนั้น หอมหวนกว่าเครื่องหอมหรืออาหารเลิศรสใดๆ ที่นางเคยรู้จัก
"พ่อคะ... แม่คะ... เรามาถึงแล้วจริงๆ" หลี่ซานหันไปพูดกับบิดามารดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
พ่อหลี่ต้าเกอ ชายผู้เงียบขรึมและเข้มแข็งเสมอมา บัดนี้กลับมีหยาดน้ำใสไหลอาบแก้ม "จริงด้วย... ซานเอ๋อร์ลูกพ่อ เรามาถึงแล้วจริงๆ" เขาพูดเสียงเครือ มือไม้สั่นเทาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นเกินจะเก็บงำ
แม่ซูซูโผเข้ากอดบุตรสาวแน่น "ขอบคุณ์... ขอบคุณเ้านะซานเอ๋อร์ หากไม่มีเ้า... พวกเราคงตายอยู่กลางทางไปแล้ว"
หลี่เสี่ยวเป่าวิ่งแซงทุกคนลงไปยังชายหาด เขาถอดรองเท้าฟางที่ขาดรุ่งริ่งออกแล้วเหยียบลงบนผืนทรายอุ่นๆ ก่อนจะหัวเราะคิกคักอย่างที่ไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต
แต่แล้ว... ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน
ขณะที่ชาวบ้านกำลังดื่มด่ำกับความงดงามเบื้องหน้า ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ และเสียงเกราะกระทบกันดังมาจากทางหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ปรากฏร่างของชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารยาม สวมเกราะหนัง ถือทวนยาวและดาบสั้นที่เอว พวกเขามีสีหน้าเคร่งขรึมและแววตาที่แข็งกร้าว เดินตรงเข้ามาล้อมกลุ่มผู้อพยพเอาไว้
"หยุดอยู่ตรงนั้น! พวกเ้าเป็ใคร มาจากไหน!" เสียงตะคอกห้าวหาญของผู้ที่ดูเหมือนจะเป็หัวหน้าดังขึ้น ทำให้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของทุกคนจางหายไปในทันที บรรยากาศแห่งความสุขถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวงและความกลัว
พ่อหลี่ต้าเกอรีบเดินออกไปข้างหน้า ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม "เรียนท่านนายกอง พวกเราเป็เพียงผู้อพยพหนีภัยแล้งมาจากเป่ยโจวทางเหนือ เดินทางรอนแรมมาหลายเดือนเพื่อหาที่ทำกินใหม่เท่านั้น ขอรับ"
หัวหน้ายาม ซึ่งมีแผลเป็บากยาวที่คิ้วซ้าย มองสำรวจั้แ่หัวจรดเท้าของกลุ่มคนเนื้อตัวมอมแมมด้วยสายตาดูแคลน "เป่ยโจวรึ? ไกลถึงเพียงนั้นเชียว? เมืองริมผาของเราไม่ใช่สถานทานนะ ที่จะมารับคนจรจัดได้ไม่สิ้นสุด"
เมืองที่พวกเขามาถึงนี้คือ "เมืองริมผา" เมืองท่าเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลทางใต้ของแคว้นต้าิ แม้จะดูมีชีวิตชีวาจากระยะไกล ด้วยเรือประมงลำเล็กที่จอดเรียงรายและตลาดที่ดูคึกคัก แต่เมื่อได้เข้ามาใกล้ กลับััได้ถึงความระแวดระวังและกฎระเบียบที่เข้มงวด ผู้คนที่เดินผ่านไปมามองพวกเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็มิตรนัก บางคนถึงกับถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างรังเกียจ
"พวกเราไม่ได้มาขอทาน" หลี่ซานกล่าวแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ยังคงความสุภาพ "พวกเรามีแรงงาน มีฝีมือ หากท่านให้โอกาส พวกเราสามารถสร้างประโยชน์ให้เมืองนี้ได้แน่นอน"
หัวหน้ายามหรี่ตามองเด็กสาวที่กล้าสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว "ปากดีนักนะแม่หนู... เอาล่ะ ข้าชื่อเว่ยเฉิน เป็หัวหน้าผู้ตรวจการของที่นี่ พวกเ้าทั้งหมดตามข้ามา ท่านผู้ใหญ่บ้านจะเป็ผู้ตัดสินชะตาของพวกเ้าเอง"
คณะอพยพถูกคุมตัวเดินลึกเข้าไปในเมือง สภาพที่เห็นแตกต่างจากภาพฝันลิบลับ เมืองริมผามีชีวิตชีวาจริง แต่เป็ความมีชีวิตชีวาที่แฝงไว้ด้วยความดิ้นรน กลิ่นคาวปลาสดผสมปนเปกับกลิ่นเหม็นเน่าจากเศษปลาที่ถูกทิ้งไว้ตามซอกซอย แม้ผู้คนที่นี่จะดูมีเืฝาดกว่าทางเหนือ แต่แววตาของพวกเขาก็ฉายแววเหนื่อยล้าและแข็งกระด้างไม่ต่างกัน
พวกเขาถูกนำมายังลานกว้างหน้าบ้านหลังใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งน่าจะเป็บ้านของผู้ใหญ่บ้าน ไม่นานนัก ชายชราผมสีดอกเลาในชุดผ้าไหมเนื้อดีก็เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูใจดี แต่แววตาของเขากลับมีความหลักแหลมและเ็าซ่อนอยู่ลึกๆ
"โอ้... ผู้อพยพจากแดนไกลอีกแล้วรึ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ "ข้าคือผู้ใหญ่บ้านเฉิน ยินดีต้อนรับสู่เมืองริมผา"
พ่อหลี่ต้าเกอคุกเข่าลงทันที "ท่านผู้ใหญ่บ้าน ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วยเถิด พวกเราเพียง้าที่ซุกหัวนอนและงานเล็กๆ น้อยๆ ประทังชีวิตเท่านั้น"
ผู้ใหญ่บ้านเฉินลูบเคราแพะของตนเบาๆ สายตาเหลือบมองหลี่ซานแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้น "ลุกขึ้นเถิดๆ การเดินทางมาไกลขนาดนี้ย่อมลำบากยิ่งนัก เอาเช่นนี้แล้วกัน... ทางทิศตะวันตกของเมืองมีโกดังเก่าริมทะเลที่ถูกทิ้งร้างอยู่ พวกเ้าไปพักที่นั่นก่อนได้ ส่วนเื่งาน... เมืองของเรากำลังขาดแคลนคนงานแล่ปลาและซ่อมแหพอดี หากพวกท่านไม่รังเกียจงานต่ำต้อย ก็พอจะมีให้ทำประทังชีวิตไปได้"
คำพูดของผู้ใหญ่บ้านทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนยกูเาออกจากอก เสียงขอบคุณดังระงมไปทั่ว แต่หลี่ซานกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ข้อเสนอที่ดูเหมือนจะใจดีเกินไป... แววตาที่ประเมินค่าของชายชรา... และความรู้สึกเย็นเยียบที่แล่นผ่านสันหลังของนาง
"ขอบพระคุณท่านผู้ใหญ่บ้านอย่างสูงเ้าค่ะ" หลี่ซานกล่าว ขณะที่สายตาของนางกวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว นางสังเกตเห็นรอยสักรูปคลื่นขนาดเล็กที่ข้อมือของหัวหน้ายามเว่ยเฉิน และยามคนอื่นๆ อีกหลายคน เป็รอยสักรูปแบบเดียวกันอย่างน่าประหลาด
หลังจากได้รับอนุญาต พวกเขาก็ถูกนำไปยังโกดังร้างดังกล่าว มันเป็อาคารไม้เก่าซอมซ่อที่ตั้งอยู่สุดขอบเมือง ด้านหนึ่งติดทะเล อีกด้านติดกับหน้าผาสูงชัน ภายในมีแต่ความว่างเปล่าและกลิ่นอับชื้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีที่ไป มันก็เปรียบเสมือนวิมาน
ค่ำคืนนั้น ขณะที่ทุกคนต่างหลับใหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อน หลี่ซานกลับนอนไม่หลับ นางลุกออกมานั่งที่ช่องหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทะเลสีดำสนิทใต้แสงจันทร์ เสียงคลื่นยังคงซัดสาดเป็จังหวะ แต่บัดนี้มันไม่ได้ฟังดูไพเราะเหมือนเมื่อตอนกลางวัน แต่กลับฟังดูเหมือนเสียงคร่ำครวญอันน่าสะพรึงกลัว
"ที่นี่... ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น" นางพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น พู่กันหยกที่นางเหน็บไว้ที่เอวก็เริ่มเรืองแสงอ่อนๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แสงสีเขียวอบอุ่นที่เคยเห็น แต่เป็แสงสีฟ้าเย็นเยียบที่สั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่าง
หลี่ซานหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือ ความรู้สึกเย็นเฉียบแล่นจากพู่กันเข้าสู่ฝ่ามือของนาง มันไม่ได้สื่อสารเป็คำพูด แต่เป็ความรู้สึก... ความรู้สึกถึงอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันสงบสุขของเมืองนี้ ความรู้สึกถึงความเจ็บป่วยและความตายที่ไม่ได้มาจากโรคภัยไข้เจ็บธรรมดา แต่มาจากสิ่งอื่นที่มองไม่เห็น
นี่ไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย... มันเป็เพียงจุดพักชั่วคราวที่อันตรายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
หลี่ซานกำพู่กันในมือแน่น เงยหน้ามองท้องฟ้าสีนิลที่กว้างใหญ่ไพศาล รอยยิ้มแห่งความสุขเมื่อตอนกลางวันได้เลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแววตาที่มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง
การเดินทางของพวกเขาอาจจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดที่แท้จริง...หลี่ซานจุ่มปลายพู่กันลงในจอกชาที่วางบนโต๊ะข้างหน้าต่าง...ที่บัดนี้กลายเป็สีแดงฉานราวกับโลหิต ก่อนจะตวัดมันลงบนแผนที่ของเมืองริมผา พร้อมกับเสียงกระซิบที่เยียบเย็น “...มันเริ่มแล้ว”