เสิ่นเฉินไม่รีบร้อนที่จะเดินออกจากหอแห่งดวงดาว เขายังคงยืนรออยู่ที่หน้าประตู
“เ้ามาสาย ครั้งต่อไปจงรักษาเวลาด้วย” ผู้าุโเป่ยเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นเฉิน
เสิ่นเฉินพยักหน้าให้อย่างลวกๆ พลางคิดในใจว่า
“ข้ามาสายเพียงเล็กน้อย แต่ไอ้เด็กนั่นคงมาสายกว่าข้า ข้าอยากจะเห็นนักว่าเขาจะจัดการมันอย่างไร” เสิ่นเฉินหัวเราะอยู่ในใจขณะที่รอหลินเฟิงเดินออกมา และหลินเฟิงก็ไม่ปล่อยให้เสิ่นเฉินต้องรอนาน ไม่ช้าเขาก็เดินออกมา สีหน้าของหลินเฟิงดูเรียบเฉยราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“ท่านผู้าุโเป่ย นี่เป็เคล็ดวิชาที่ข้าเลือก” หลินเฟิงกวาดสายตามองเสิ่นเฉินเพียงชั่วครู่ ก่อนจะมอบเคล็ดวิชาที่ตัวเองเลือกให้กับท่านผู้าุโเป่ย และยิ้มที่มุมปากจางๆ
“เคล็ดวิชาฉุนหยวน จะช่วยให้รากฐานของผู้ฝึกมั่นคง นับว่าเหมาะสมกับเ้าแล้ว” เมื่อผู้าุโเป่ยเห็นเคล็ดวิชาที่หลินเฟิงเลือกก็พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ “แปดฝ่ามือพิฆาต ในบรรดาเคล็ดวิชาระดับลี้ลับนับได้ว่าร้ายกาจที่สุด ถึงแม้ว่าระดับการฝึกฝนจะค่อนข้างยาก แต่ด้วยศักยภาพของเ้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนดาบมรณะมีแค่สามกระบวนท่า ซึ่งทุกคนสามารถเรียนรู้มันได้ แต่คนที่ประสบความสำเร็จในเคล็ดวิชานี้ แทบจะไม่มี ดังนั้นเ้าต้องพยายามอย่างหนัก”
ผู้าุโเป่ยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่หลินเฟิงเลือก “แต่ถ้าในอนาคตเ้าสามารถเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาดาบมรณะทั้งสามกระบวนท่าได้ พลังของเ้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อย่าว่าแต่เผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะที่ฝึกเคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นกลางเลย ต่อให้เจอผู้บ่มเพาะที่ฝึกเคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นสูง ก็สามารถต่อสู้ได้อย่างสูสี”
หลินเฟิงเผยรอยยิ้มยินดีออกมาเมื่อได้ฟังคำแนะนำของผู้าุโเป่ย ช่องว่างระหว่างขั้นของเคล็ดวิชาระดับลี้ลับค่อนข้างกว้างมาก แต่ผู้าุโเป่ยกลับกล่าวว่า ถ้าหากบรรลุเคล็ดวิชาดาบมรณะ ก็จะสามารถเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นสูงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเคล็ดวิชาดาบมรณะจะต้องเป็เคล็ดวิชาที่ทรงพลังแน่ๆ
ในขณะที่หลินเฟิงกับผู้าุโเป่ยกำลังสนทนากันอย่างออกรส เสิ่นเฉินที่ยืนอยู่อีกด้านก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ออกมา ที่แท้ไอ้เด็กนี่กับยามเฒ่าก็รู้จักกัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงได้หยิ่งผยองนัก
“มันเข้าไปในชั้นสองของหอแห่งดวงดาวเกินหนึ่งก้านธูปนะ!” เสิ่นเฉินแผดเสียงออกมาอย่างหงุดหงิด ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้าุโเป่ยชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองเสิ่นเฉิน
“ข้ารู้” ผู้าุโเป่ยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ในเมื่อรู้ว่าเขาละเมิดกฎของนิกาย ก็ควรลงโทษเขาอย่างรุนแรง” เสิ่นเฉินคาดไม่ถึงเลยว่าผู้าุโเป่ยจะแสดงท่าทางไม่แยแสแบบนี้ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
ผู้าุโเป่ยกวาดสายตามองเสิ่นเฉิน แล้วส่ายหน้า “ข้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่ว่าจะเป็ศิษย์สายนอก สายในหรือศิษย์หลัก ถ้าอยากจะเข้าไปในหอแห่งดวงดาวก็จำเป็ต้องฟังข้า แล้วเ้านับเป็อะไรได้? ข้าผู้เฒ่าจะทำอะไรจำเป็ต้องให้เ้ามาสอนหรือ!”
ท่านผู้าุโเป่ยเป็ใคร? ขนาดประมุขนิกายหยุนไห่อย่างหนานกงหลิงยังต้องแสดงความเคารพออกมาเมื่อเห็นผู้าุโเป่ย ในสายตาของผู้าุโ ศิษย์สายนอกล้วนเป็ได้แค่มดปลวกเท่านั้น ต่อให้เป็ศิษย์อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอกก็ยังไม่มีค่าคู่ควรให้ท่านผู้าุโได้ชายตามอง
แต่หลินเฟิงแตกต่างจากศิษย์คนอื่นๆ เนื่องจากว่าผู้าุโเป่ยรู้สึกประทับใจในตัวหลินเฟิงั้แ่ครั้งแรก เขามองว่าหลินเฟิงเป็เด็กที่รู้สัมมาคารวะและมีมารยาท ต่อมาเขาก็ค้นพบว่าหลินเฟิงมีพร์ที่สูงมาก และยังสามารถตีกลองจงกู่จนครบทั้ง 8 ใบ ด้วยเหตุนี้จึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับหลินเฟิงเป็พิเศษ
ในน้ำเสียงย้อนถามของผู้าุโเป่ยแฝงไปด้วยร่องรอยการตำหนิ ไม่มีเหตุจำเป็อะไรที่ท่านผู้าุโจะต้องไว้หน้าเสิ่นเฉิน
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้าุโเป่ย สีหน้าของเสิ่นเฉินพลันอึมครึมขึ้นมา เขากล่าวอย่างเ็าว่า “ในฐานะยามคนหนึ่ง เ้ากลับกล้าไม่เคารพกฎของนิกายหยุนไห่ สมควรถูกลงโทษ!”
“เ้านี่มัน...” หลินเฟิงรู้สึกพูดไม่ออก หรือว่าคนคนนี้บ่มเพาะพลังมากเกินไปจนกลายเป็คนโง่? ถึงได้ไม่รู้หลักครองตนในสังคม ศิษย์สายนอกคนหนึ่งถือดีอะไรมาพูดว่าผู้าุโเป่ยสมควรถูกลงโทษ? ดูเหมือนว่าศิษย์อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอกจะเคยชินกับการถูกผู้คนตามเอาอกเอาใจ จนหลงคิดว่าตัวเองเป็บุคคลสำคัญที่ใครๆ ก็ต้องเชื่อฟัง
ผู้าุโมองท่าทางอวดดีของเสิ่นเฉินด้วยความขบขัน เป็เวลาหลายปีที่เขามารับหน้าที่นี้ นี่เป็ครั้งแรกที่มีศิษย์สายนอกกล้าพูดต่อหน้าว่าเขาสมควรถูกลงโทษ แต่เนื่องจากผู้าุโเป่ยไม่ได้โกรธใครมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ถือสาหาความกับเสิ่นเฉิน
ผู้าุโเป่ยส่ายหัว ขณะที่พูดตะคอกออกมาคำหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไสหัวไป”
ราวกับว่าคำพูดได้กลายเป็คลื่นพลังที่บ้าคลั่งกระแทกใส่ร่างของเสิ่นเฉิน ทันใดนั้นดวงตาของผู้าุโเป่ยก็ฉายแววคมกริบขึ้นมา ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังราวกับผู้ยิ่งใหญ่
เสิ่นเฉินที่ถูกโจมตีกะทันหัน รู้สึกเหมือนกับว่าโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว ร่างของเขากระตุกเล็กน้อยก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด
ไม่เพียงแค่เสิ่นเฉินที่รู้สึกหวาดกลัว แต่ทุกคนที่อยู่รอบๆ หอแห่งดวงดาวล้วนถูกเสียงตะคอกของผู้าุโเป่ยทำให้ยืนตัวสั่นอยู่กับที่ ส่วนคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงตะคอกก็พากันวิ่งเข้ามาดูด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าร่างของผู้าุโเป่ยเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลัง ทำให้แต่ละคนพากันหุบปากเงียบ ที่แท้ยามเฒ่า ไม่สิ… ผู้เฝ้าหอคอยแสนี้เีคนนี้ ก็มีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ด้วย
เพียงตะคอกคำเดียวก็สามารถรวบรวมเจินหยวนที่แข็งแกร่งเพื่อโจมตีได้
ว่ากันว่าถ้าหากผู้บ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาได้ทะลวงเข้าไปในขอบเขตลี้ลับ จิงชี่กับจิติญญาจะหลอมรวมกันเป็หนึ่ง และสามารถรวบรวมเจินหยวนได้
เจินหยวน ถูกสร้างขึ้นโดยหยวนชี่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ทุกเจินหยวนจะแฝงไปด้วยหยวนชี่อันบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ซึ่งผ่านการควบแน่นมาแล้ว เจินหยวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถถล่มูเาให้ราบคาบได้
เสียงตะคอกของผู้าุโเป่ยเมื่อครู่ ดูเหมือนกับการปล่อยเจินหยวนไม่มีผิด แต่พลังของมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดทำลายูเาได้ ซึ่งอาจจะเป็เพราะว่าท่านผู้าุโเป่ยตั้งใจจะลดพลังของเจินหยวนลง
ฉากนี้ทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่า ผู้เฝ้าหอคอยคนนี้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตลี้ลับ
ขอบเขตลี้ลับ ถือได้ว่าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงและสามารถดำรงตำแหน่งเป็ผู้าุโของนิกายหยุนไห่ได้
“ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เสิ่นเฉินมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมา เขาจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงด้วยแววตาดุร้ายพลางพูดว่า “ขยะอย่างเ้าก็ดีแต่จะพึ่งพาคนอื่น หากเ้าเข้าร่วมการประลองของนิกาย ถึงตอนนั้นข้าจะดูแลเ้าเป็อย่างดี!”
พูดจบ เสิ่นเฉินก็หันหลังวิ่งจากไป
หลินเฟิงมองไล่หลังเสิ่นเฉิน ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ คนคนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็ศิษย์อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอก แต่เขาก็จองหองเกินไป และไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กระทั่งความสามารถในการวิเคราะห์ก็ไม่มี ท่านผู้าุโเป่ยแข็งแกร่งขนาดนี้ เ้าก็ยังไปพูดจาดูถูกท่าน มิหนำซ้ำทั้งๆ ที่เห็นว่าหลินเฟิงได้รับความโปรดปรานจากผู้าุโ แต่เสิ่นเฉินก็ยังกล่าววาจาอาฆาตออกมาอีก... หากเสิ่นเฉินฉลาดกว่านี้สักนิด เขาก็จะรู้ว่าตัวเองควรลืมเื่ราวในวันนี้ไปเสีย
ยิ่งไปกว่านั้น เื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เป็เสิ่นเฉินที่ท้าทายเขาก่อน ทำตัวเองแท้ๆ
“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ขยับเนื้อขยับตัวแบบนี้ สงสัยว่าข้าคงจะแก่เกินไป” ผู้าุโเป่ยแอบพึมพำกับตัวเองในใจ จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เซวียเยว่ หลังจากนี้ข้าจะมอบหอแห่งดวงดาวให้เ้าดูแล”
จบประโยคนี้ ร่างของผู้าุโเป่ยก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หายลับไปในหมู่เมฆ
หัวใจของทุกคนพลันสั่นไหว พวกเขาเหม่อมองไปยังทิศทางที่เงาร่างของผู้าุโหายไปอย่างมึนงง ความแข็งแกร่งของท่านผู้าุโช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
เพียงก้าวเดียวก็พุ่งทะยานไปไกลถึงหมื่นลี้ พริบตาเดียวก็หายไปจากสายตาของพวกเขา มีเพียงผู้ที่ทรงพลังเท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้? ไม่มีใครคิดว่าผู้าุโเฝ้าหอคอยที่ไม่เคยอยู่ในสายตาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ตอนนี้พวกเขาล้วนเกลียดชังตัวเองที่มีตาหามีแวว ไม่อย่างนั้นคงได้รับคำแนะนำมากมายจากผู้าุโเป่ยอย่างแน่นอน
หลินเฟิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ความแข็งแกร่งของท่านผู้าุโมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้หลายเท่า
ขณะนั้นเองก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในหอแห่งดวงดาว และเดินมาแทนที่ท่านผู้าุโ คนคนนี้น่าจะเป็เซวียเยว่ที่ผู้าุโเป่ยพูดถึง
…
ขณะเดียวกันที่ห้องห้องหนึ่งในตำหนักรโหฐานบนยอดเขาสูงของนิกายหยุนไห่ ซึ่งภายในห้องเต็มไปด้วยลมปราณที่หนาแน่น
ผู้คนมากมายต่างมารวมตัวกันอยู่ในห้องนั้น และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังถกเถียงอะไรบางอย่างอยู่
“เฟยเฟย เื่นี้ข้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบ เ้าวางใจเถอะ” ประมุขนิกายหยุนไห่หนานกงหลิง ได้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ซึ่งเขากำลังสนทนากับหลิ่วเฟยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ด้านหลังของหลิ่วเฟยมีกลุ่มทหารชั้นยอดยืนอยู่ พวกเขาล้วนแต่งกายเหมือนกัน และยังเป็กองทหารม้าโลหิตที่หลินเฟิงเคยพบที่ตีนเขาหยุนไห่
เมื่อได้ฟังคำตอบของหนานกงหลิง หลิ่วเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของหนานกงหลิงสักเท่าไร แต่ทว่าหลิ่วเฟยก็พอจะเข้าใจ การที่จะให้หนานกงหลิงส่งลูกศิษย์ชั้นยอดเดินทางไปกับนาง มันเป็การตัดสินใจที่ยากมาก
ศิษย์ชั้นยอดทุกคนล้วนเป็อนาคตของนิกาย หนานกงหลิงคงไม่อาจตัดใจมอบให้นางง่ายๆ
“ท่านอาหนานกง ท่านก็รู้ว่าบิดาข้าไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว ท่านคิดว่ามันคือโชคชะตาและยังเป็ประโยชน์ต่ออาณาจักรเสวี่ยเยว่ หากลูกศิษย์เหล่านี้ประสบความสำเร็จเมื่อไร ท่านพ่อจะส่งพวกเขากลับนิกายหยุนไห่อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น และกลายเป็เสาหลักให้กับนิกายหยุนไห่”
หลิ่วเฟยพยายามโน้มน้าวต่อ
“อากับบิดาของเ้าฝึกฝนและเติบโตมาด้วยกัน พวกเราเป็เหมือนพี่น้องที่คลานตามกันออกมา ถ้าหากเขายังอยู่ที่นิกาย ป่านนี้ตำแหน่งประมุขคงเป็ของเขาไปแล้ว นิสัยของเขาเป็เช่นไร มีเหรอที่อาจจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าอาเป็ประมุขของนิกาย ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องนึกถึงนิกายก่อนเป็อันดับแรก จะตัดสินตามใจตัวเองไม่ได้”
หนานกงหลิงไม่ตอบหลิ่วเฟยอย่างขอไปทีเหมือนก่อนหน้านี้ เขาย้อนนึกไปถึงสมัยก่อนที่นิกายหยุนไห่มีศิษย์อัจฉริยะถึงสองคน คนแรกก็คือเขา หนานกงหลิง ส่วนอีกคนก็คือ เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลัน ในตอนนั้นพวกเขามีอิสรเสรี จะทำอะไรตามใจของตนก็ได้ แต่ตอนนี้เขาเป็ประมุขของนิกายหยุนไห่ ดังนั้นจะทำอะไรตามใจเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะเป็ไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้