บทที่ 10 เปิดม่านประมูลสะท้านเมือง
"ละครฉากใหญ่ เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้นแหละ"
คำพูดของหลี่ซือซือลอยเข้าหูของหัวหน้าโจรรับจ้าง ราวกับเสียงจากยมโลก ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงระคนความพ่ายแพ้ มันถูกเด็กสาวตรงหน้าปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือั้แ่ต้นจนจบ! แผนการที่วางไว้อย่างรัดกุมกลับกลายเป็เพียงตัวตลกในละครฉากใหญ่ของนางไปเสียแล้ว
"ตามเด็กนั่นไป!" มันตวาดสั่งลูกน้องเสียงหลง
แต่สายไปแล้ว... เด็กหนุ่มหน้ามอมเ้าของหนังสติ๊ก ผู้มีนามว่า "อาเฟย" เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวดุจวิหคทะยานลม เขาะโข้ามหลังคาไปทีละ่อย่างรวดเร็ว หายลับไปยังทิศทางของโรงประมูลจินเป่า ทิ้งให้เหล่าโจรรับจ้างได้แต่ยืนกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจอยู่เบื้องล่าง
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ซือซือไม่รอช้า นางฉวยโอกาสดึงมือพ่อกับพี่ชายวิ่งฝ่าวงล้อมของชาวบ้านที่กำลังช่วยกันรุมประชาทัณฑ์โจรกลุ่มแรกไป
"ไป! พวกเรารีบไปที่โรงประมูล!"
โรงประมูลจินเป่า...
คือสถาปัตยกรรมสามชั้นที่สร้างขึ้นจากไม้หอมชั้นดี หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีเขียวมรกต บนยอดหลังคามีรูปปั้นกิเลนคู่ยืนตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม เสาแต่ละต้นถูกแกะสลักเป็ลวดลายัพันเมฆอย่างวิจิตรบรรจง แค่เพียงมองจากภายนอกก็ััได้ถึงความมั่งคั่งและทรงอิทธิพล
วันนี้... โรงประมูลจินเป่าคึกคักและเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากกว่าวันไหนๆ บรรดาพ่อค้าวาณิช เศรษฐี และผู้มีหน้ามีตาในเมืองซูเหอต่างหลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย รถเทียมม้าคันหรูจอดเรียงรายเป็ทิวแถวจนยาวเหยียดออกไปนอกถนน บ่าวรับใช้ในชุดผ้าไหมวิ่งวุ่นกันขวักไขว่ เสียงพูดคุยจอแจผสมกับเสียงหัวเราะดังระงมไปทั่วบริเวณ
"ท่านเถ้าแก่หลิว วันนี้ลมอะไรหอบท่านมาถึงนี่ได้ ปกติท่านไม่เคยสนใจของประมูลจำพวกผ้าผ่อนมิใช่รึ?"
"ฮ่าๆๆ ท่านเถ้าแก่เฉินก็มาด้วยรึ? ข้าจะพลาดละครฉากเด็ดที่สุดในรอบสิบปีของเมืองซูเหอได้อย่างไรกัน! ข้าแค่อยากจะมาดูให้เห็นกับตาว่าผ้าในตำนานของสกุลหลี่มันจะวิเศษวิโสแค่ไหนกันเชียว"
‘ปากก็พูดไปอย่างนั้นเถอะ ข้าเห็นบ่าวของท่านแอบไปสืบราคาผ้าแดงในตลาดมามิใช่รึ? ทุกคนต่างก็แสร้งทำเป็มาดูเื่สนุก แต่ในใจกลับคิดจะฉวยโอกาสฮุบสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้กันทั้งนั้น!’เถ้าแก่เฉินแอบบ่นอุบอิบ
เมื่อครอบครัวสกุลหลี่เดินทางมาถึง พวกเขาก็กลายเป็จุดสนใจของทุกสายตาทันที หลี่เจิ้งในสภาพที่สง่างาม หลี่เหวินที่แม้จะดูเหนื่อยหอบแต่ก็องอาจ และหลี่ซือซือที่ดูสงบนิ่งเกินวัย ภาพของพวกเขาในวันนี้ช่างแตกต่างจากภาพครอบครัวใกล้ล้มละลายที่ทุกคนเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง
"นั่นไง! พวกสกุลหลี่มาแล้ว!"
"ดูคุณหนูซือซือสิ นางไม่เห็นจะตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ดูเยือกเย็นเหมือนแม่ทัพก่อนออกรบไม่มีผิด"
อาเฟย เด็กหนุ่มปริศนา กำลังยืนรอพวกเขาอยู่ที่ประตูหลังพร้อมกับหีบไม้จื่อถาน "ของจริง" เขาส่งหีบคืนให้หลี่เหวินพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง "ภารกิจสำเร็จลุล่วงขอรับ เถ้าแก่เนี้ย!"
"ขอบใจเ้ามาก อาเฟย" ซือซือพยักหน้ารับ "ที่เหลือเป็หน้าที่ของพวกเราแล้ว"
"เถ้าแก่เนี้ยไม่ต้องห่วงขอรับ" อาเฟยขยิบตา "นายท่านของข้าจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว... เชิญชมละครให้สนุกนะขอรับ"
พูดจบเขาก็โค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะหายตัวไปกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ซือซือครุ่นคิดถึงคำพูดที่ว่า "จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว"
หลี่เหวินเลิกคิ้ว เขายังไม่คุ้นกับท่าทางสนิทสนมของคนผู้นี้กับน้องสาว แต่ซือซือกลับดูไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ราวกับทั้งสองมีสายสัมพันธ์เก่าแก่ที่ไม่จำเป็ต้องอธิบายใด ๆ
ความจริงแล้ว อาเฟยกับซือซือรู้จักกันมาั้แ่ก่อนที่นางจะล้มป่วยหนัก ตอนที่ซือซือแอบออกไปเดินตลาดในยามเช้าอยู่บ่อย ๆ ที่นั่นเอง นางเคยช่วยอาเฟยจากการถูกพ่อค้าคนโกงใส่ร้ายว่าขโมยของ ด้วยไหวพริบและคำพูดเด็ดขาด
ในวันนั้น… เสียงของตลาดยามเช้าอึกทึกด้วยเสียงเรียกลูกค้าและเสียงต่อรองราคาของผู้คน ข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายผลไม้สด เนื้อหมูแขวนเรียงราย และแผงผ้าแพรที่ส่องประกายรับแสงอาทิตย์
ท่ามกลางความพลุกพล่านนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกลากออกมาจากร้านขายยาโดยมีพ่อค้าะโลั่น "เ้าขโมยยาหอมของข้า! เ้าหัวขโมยเลว!"
อาเฟยถูกผลักให้ล้มคุกเข่ากับพื้น ร่างผอมบางเต็มไปด้วยฝุ่น มือทั้งสองถูกมัดแน่นด้วยเชือก เขาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างลนลาน "ข้าไม่ได้ทำ! ข้าไม่ได้แตะต้องของของท่านเลย!" แต่เสียงเขาถูกกลบด้วยเสียงโห่ร้องของผู้คนรอบข้าง
ฝูงชนเริ่มมุงดู บ้างสาปแช่ง บ้างโยนเศษผักเศษผลไม้ลงใส่เด็กหนุ่มที่ไร้ทางสู้
ทว่าท่ามกลางเสียงวุ่นวาย เสียงใส ๆ ของหญิงสาวก็ดังขึ้น "หยุดก่อน!"
ฝูงชนแตกออกเล็กน้อย ร่างในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบง่ายก้าวออกมา ซือซือในวัยเยาว์ดวงตาแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
"ท่านว่าเขาขโมย?" นางหันไปถามพ่อค้าเสียงเรียบ แต่แฝงความเฉียบคม "แล้วของที่หายไปคือสิ่งใด? ท่านมีหลักฐานหรือไม่?"
พ่อค้าหน้าเหวอไปชั่วครู่ ก่อนจะชี้ไปที่กระเป๋าข้างตัวอาเฟย "มันต้องเป็เขา! นอกจากมันจะเป็ใครไปได้!"
ซือซือก้าวไปหยิบกระเป๋านั้นขึ้นมา ตรวจดูทีละชิ้นข้างในมีเพียงเศษผ้าเก่า ๆ และไม้แกะสลักราคาถูก นางหันไปเผชิญหน้ากับพ่อค้าอีกครั้ง "นี่หรือหลักฐานของท่าน?"
เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบตัว ผู้คนเริ่มลังเล ไม่มั่นใจว่าเื่ที่เห็นเป็อย่างไร ซือซือไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางกวาดตามองรอบร้าน ก่อนหยิบห่อเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะขายของขึ้นมา "หรือจริง ๆ แล้วของหายไม่ได้หายไปไหน แค่ท่านหาไม่เจอเองต่างหาก"
สีหน้าพ่อค้าถอดสีทันที เสียงฝูงชนเปลี่ยนเป็เสียงหัวเราะเยาะแทน เสียงะโด่าพ่อค้าดังระงม "โกงเด็กยังจะกล้าทำ!" "น่าขายหน้ายิ่งนัก!"
อาเฟยยังคงคุกเข่าอยู่ แต่สายตาที่มองขึ้นไปยังซือซือเต็มไปด้วยความตกตะลึงและซาบซึ้ง น้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัวในวันที่ทั้งโลกพร้อมจะประณาม นางกลับเป็เพียงคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาปกป้องเขา
จากวันนั้น... คำสัตย์ของอาเฟยก็เกิดขึ้น ไม่ว่านางจะสั่งให้เขาทำสิ่งใด เขาจะไม่ลังเลแม้แต่ก้าวเดียว
นางไม่เพียงกอบกู้ชื่อเสียงให้เขา แต่ยังทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยเป็เพียงเด็กรับใช้ข้างถนน มีศักดิ์ศรีที่จะเชิดหน้าขึ้นได้อีกครั้ง
นับแต่นั้น อาเฟยก็ยึดมั่นว่าจะตอบแทนบุญคุณ ไม่ว่าซือซือจะขอสิ่งใด เขาก็พร้อมเสี่ยงทุกอย่าง แม้กระทั่งเข้าร่วมวางแผนกับนางเพื่อโค่นตระกูลสวีที่บีบคั้นครอบครัวหลี่จนเกือบสิ้นชื่อ
ดังนั้นการที่อาเฟยโผล่มาพร้อมหีบของจริงในค่ำคืนนี้ จึงไม่ใช่เื่บังเอิญ หากแต่เป็ผลจากความสัมพันธ์ที่สานต่อมาเนิ่นนาน และคำสัตย์ที่เด็กหนุ่มผู้ถูกกอบกู้ศักดิ์ศรีให้ไว้กับหญิงสาวผู้เป็ “เถ้าแก่เนี้ย” ของเขา.
เมื่อพวกเขาเข้าไปด้านใน กลิ่นไม้จันทน์หอมและกำยานชั้นดีก็ลอยมาปะทะจมูก พื้นปูด้วยหินอ่อนขัดมันวาววับ โคมไฟแก้วเจียระไนอันงดงามห้อยระย้าลงมาจากเพดานสูง บรรยากาศภายในนั้นหรูหราและโอ่อ่าเสียจนหลี่เหวินถึงกับเผลอกลืนน้ำลาย
ผู้จัดการของโรงประมูลซึ่งเป็ชายชราผมสีดอกเลาในชุดผ้าไหมปักดิ้นทองรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง "ปรมาจารย์หลี่ คุณชายหลี่ คุณหนูซือซือ... เชิญทางนี้ขอรับ ของประมูลของท่านเป็รายการสำคัญที่สุด ทางเราจึงจัดให้เป็รายการสุดท้ายเพื่อสร้างความตื่นเต้น"
‘แต่เดิมข้าก็คิดว่านี่เป็แค่เื่ตลก แต่พอได้เห็นผ้าตัวอย่างที่คุณหนูซือซือส่งมาให้เมื่อวันก่อน ์! ข้าอยู่ในวงการนี้มาสี่สิบปี ยังไม่เคยเห็นสีย้อมที่งดงามเช่นนั้นมาก่อน! วันนี้โรงประมูลของข้าจะต้องได้จารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็แน่!’ผู้จัดการเหอคิดอย่างคาดหวัง
ครอบครัวสกุลหลี่ถูกเชิญให้ไปนั่งในที่นั่งแถวหน้าสุด ซึ่งเป็เกียรติอย่างสูงที่สงวนไว้สำหรับเ้าของสินค้ารายการสำคัญเท่านั้น
ซือซือกวาดตามองไปรอบๆ โถงประมูลขนาดใหญ่ ที่นั่งชั้นล่างถูกจับจองจนเต็มทุกที่นั่ง ส่วนบนชั้นสองและชั้นสามคือห้องส่วนตัวสำหรับแขกพิเศษที่้าความเป็ส่วนตัว ม่านมู่ลี่ไม้ไผ่ถูกปล่อยลงมาบดบังสายตาจากคนภายนอก ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าใครคือผู้อยู่เื้ัม่านเ่าั้
แต่ด้วยพลังพิเศษของนาง ซือซือกลับ มองเห็น ออร่าพลังที่แตกต่างกันแผ่ออกมาจากห้องส่วนตัวเ่าั้
ห้องหนึ่งทางทิศตะวันออก แผ่ไอสังหารที่เย็นเยียบและคลุ้มคลั่งออกมาอย่างชัดเจน ตระกูลสวี
และอีกห้องหนึ่ง บนชั้นสามซึ่งเป็ตำแหน่งที่ดีที่สุด แผ่ออร่าสีทองอันทรงพลังและคุ้นเคยที่นางเคยััได้จากบุรุษใต้ร่มกระดาษน้ำมัน เซียวจิ่นเหยียน
หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย วันนี้ ไม่ใช่แค่การประมูลเพื่อปลดหนี้ แต่ยังเป็การเผชิญหน้ากันของพลังอำนาจที่มองไม่เห็นอีกด้วย
แล้วการประมูลก็เริ่มต้นขึ้น...
ของประมูลชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกนำขึ้นมาบนเวที ทั้งภาพวาดโบราณ เครื่องลายครามหายาก ไปจนถึงศาสตราวุธในตำนาน เสียงเคาะไม้ของผู้คุมการประมูลและเสียงขานราคาสู้กันดังขึ้นเป็ระลอก บรรยากาศค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ
"รายการต่อไป! หยกขาวสลักรูปปลาหลีฮื้อคู่! สัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและโชคลาภ! ราคาเริ่มต้นที่แปดสิบตำลึงเงิน!"
"เก้าสิบตำลึงเงิน!"
"หนึ่งร้อยตำลึงเงิน!"
หลี่เหวินนั่งบีบมือตัวเองจนชื้นเหงื่อ เขาไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ถูกพูดถึงอย่างง่ายดายราวกับเป็แค่เศษกระดาษมาก่อน ยิ่งใกล้ถึงรายการสุดท้ายของพวกเขา เขาก็ยิ่งประหม่าจนแทบหายใจไม่ออก
ในที่สุด... ของประมูลชิ้นรองสุดท้ายก็จบลง
ผู้คุมการประมูลซึ่งเป็ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ยืนขึ้นกลางเวทีอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหมาย "และแล้ว ก็มาถึงรายการสุดท้ายที่ทุกท่านรอคอย!"
เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะประกาศเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งโถง!
"ผลงานชิ้นเอกที่ได้ฟื้นคืนชีพจากตำนาน! อาภรณ์แห่งเปลวเพลิงและความหวัง! จากโรงย้อมผ้าสกุลหลี่... อาภรณ์ชาดอัคคี!!!"
สิ้นเสียงประกาศ! พนักงานสองคนก็ช่วยกันประคองหีบไม้จื่อถานที่ขัดเงาวับขึ้นมาบนเวที ทุกสายตาในห้องประชุมจับจ้องไปยังหีบใบนั้นเป็ตาเดียว บรรยากาศที่เคยจอแจเงียบกริบลงในทันใด เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ตื่นเต้นของผู้คน
ผู้คุมการประมูลไม่รีรอ เขาวางมือลงบนฝาหีบ
และค่อยๆ เปิดมันออกอย่างช้าๆ
วินาทีที่ฝาหีบเปิดขึ้น แสงสะท้อนจากผ้าไหม ปิงหลิง สีขาวบริสุทธิ์ที่ใช้ห่อหุ้มอยู่ชั้นในก็สาดประกายออกมา ทำให้ดูราวกับว่ามีแสงจันทร์ซ่อนอยู่ในหีบใบนั้น!
"โอ้..." เสียงอุทานด้วยความทึ่งดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ
ผู้คุมการประมูลค่อยๆ คลี่ผ้าไหมสีขาวออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้
วินาทีนั้น ทั้งโถงประมูลก็ราวกับหยุดหายใจ!
ผ้าฝ้ายสีแดงสด... วางทอดตัวอยู่บนผ้าไหมสีขาวราวกับเปลวเพลิงที่กำลังเริงระบำอยู่บนผืนหิมะ!
แสงจากโคมไฟแก้ว้าสาดส่องลงมากระทบผืนผ้า ทำให้สีแดงนั้นยิ่งขับประกายเจิดจรัสล้ำลึก มันไม่ใช่สีแดงธรรมดา แต่เป็สีแดงที่มีชีวิตชีวา มีมิติที่ซับซ้อนจนยากจะละสายตาได้
"์ งดงาม งดงามเหลือเกิน!"
"ข้าไม่เคยเห็นสีแดงที่งดงามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต!"
ในห้องส่วนตัวของตระกูลสวี สวีจื่อเชินกำที่เท้าแขนของเก้าอี้ไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยวด้วยความอิจฉาริษยา "เป็ของจริง มันคือของจริง!"
ผู้คุมการประมูลปล่อยให้ทุกคนได้ตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ของตนเอง "ก่อนที่เราจะเริ่มการประมูล เพื่อให้ทุกท่านได้ััถึงความมหัศจรรย์ของอาภรณ์ผืนนี้ ทางสกุลหลี่ได้มอบของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ มาให้ทุกท่านได้ชมเป็ขวัญตา"
สิ้นเสียงของเขา พนักงานสาวสวยในชุดกี่เพ้าก็เดินถือถาดไม้ที่ปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำออกมา ในถาดนั้นมีผ้าฝ้ายสีแดงชิ้นเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือวางเรียงรายอยู่อย่างงดงาม พวกนางเดินแจกผ้าชิ้นเล็กๆ เ่าั้ให้กับแขกทุกคนในที่นั่งชั้นล่าง
เมื่อเหล่าพ่อค้าได้ััของจริงกับมือตัวเอง... พวกเขาก็ยิ่งคลั่ง!
"เนื้อผ้านุ่มนวลนัก! ไม่เหมือนผ้าฝ้ายธรรมดาเลย!"
"ดูสีสิ! ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งงดงาม!"
นี่คือไม้ตายที่ซือซือวางไว้! นางเปลี่ยนจาก การดู มาเป็ การัั สร้างประสบการณ์ร่วมที่ทำให้ทุกคนไม่อาจปฏิเสธคุณภาพของมันได้!
ผู้คุมการประมูลยิ้มอย่างพึงพอใจ "เอาล่ะ! ข้าคิดว่าทุกท่านคงได้ประจักษ์ถึงความพิเศษของมันแล้ว อาภรณ์ชาดอัคคีผืนนี้ ราคาเริ่มต้นที่..."
เขาทอดเสียงยาวเพื่อสร้างความตื่นเต้น
"ห้าสิบตำลึงเงิน!!!"
ราคานี้ทำให้หลายคนต้องสูดหายใจอย่างแรง! แค่ผ้าฝ้ายผืนเดียวเริ่มต้นราคาสูงขนาดนี้เชียวรึ!?
แต่ก่อนที่ใครจะได้ทันหายใ
"หกสิบตำลึงเงิน!" เสียงแรกดังขึ้นทันทีจากเถ้าแก่เฟิงร้านผ้าไหม
"เจ็ดสิบ!"
"แปดสิบ!"
ราคาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าใ! าไร้เสียงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
หลี่เหวินนั่งตัวเกร็ง เหงื่อแตกพลั่ก เขาไม่เคยคิดฝันว่าผ้าที่เขาเคยคิดว่าไร้ค่า จะกลายเป็ที่้าของผู้คนมากมายขนาดนี้
หลี่เจิ้งนั่งนิ่ง แต่สองมือกำแน่นอยู่บนตัก น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตา
ซือซือมองดูทุกอย่างด้วยความสงบ แต่นางรู้ดีว่า นี่เป็เพียงแค่การเริ่มต้น ศึกที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
"หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน!"
ราคายังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุหลักร้อยไปอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นเอง เสียงที่เย็นเยียบและแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นจากห้องส่วนตัวบนชั้นสอง!
"สามร้อยตำลึงเงิน!!!"
สวีจื่อเชิน เขาทุ่มราคาสูงขึ้นเป็เท่าตัวในครั้งเดียว! หมายจะข่มขวัญคู่แข่งคนอื่นให้ถอยหนี!
ทั้งโถงประมูลเงียบกริบลงอีกครั้ง สามร้อยตำลึงเงิน! นี่มันราคาที่สูงเกินกว่าค่าของผ้าไปมากแล้ว!
ผู้คุมการประมูลยิ้มกว้าง "สามร้อยตำลึงเงิน! มีใครให้สูงกว่านี้อีกหรือไม่ขอรับ! สามร้อยครั้งที่หนึ่ง!"
สวีจื่อเชินแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ
แต่แล้ว...
เสียงที่ทุ้ม นุ่มนวล แต่ทรงพลังอย่างยิ่ง ก็ดังขึ้นจากห้องส่วนตัวบนชั้นสามสุด
"ห้าร้อยตำลึงเงิน"
สิ้นเสียงนั้น ทั้งโรงประมูลก็ราวกับถูกแช่แข็ง!
แม้แต่ผู้คุมการประมูลยังต้องอ้าปากค้าง!
ห้าร้อยตำลึงเงิน! มันคือราคาที่ตรงกับ หนี้สิน ของสกุลหลี่พอดีเป๊ะ!
สวีจื่อเชินกระโจนลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธจัด "ใคร! ใครมันกล้ามาขวางทางข้า!"
ซือซือหลับตาลงช้าๆ นางรู้ดีว่าเ้าของเสียงนั้นคือใคร
เซียวจิ่นเหยียน ในที่สุดเขาก็เคลื่อนไหว
และเขาก็ได้ส่งสัญญาณบางอย่างถึงนางผ่านการขานราคาครั้งนี้ เขารู้ เขารู้เื่หนี้สินของนางทุกอย่าง