“อาหัง อาหังๆๆ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจเรียกจนกว่าเขาจะตอบ หลี่อวิ๋นหังไม่มีทางเลือก สุดท้ายแค่นเสียง “ฮึ่ม” อย่างเ็าคราหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ เจียงเฉิงเยว่จึงหัวเราะด้วยความพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกครั้งแล้วเอ่ย “เ้างดงามมาก!”
หลี่อวิ๋นหังไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“งดงามยิ่งนัก” คนผู้นั้นเยินยอเขาอย่างจริงจัง ถึงกับวิเคราะห์ให้เขาฟังด้วย “ดูดีกว่าตอนที่เ้ายังเด็ก ข้าคิดว่าเ้างดงามมากแล้วในยามนั้น แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อเ้าโตขึ้น...จะดูดียิ่งขึ้นเช่นนี้ เ้าเป็คนที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในสามโลกหกเหล่า!”
หลี่อวิ๋นหังพูดไม่ออก
ทันใดนั้นเสียงของแมวขี้เมาสะอื้นเล็กน้อย เริ่มกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “อาหัง ข้าคิดถึงเ้า...หลายปีมานี้ ข้าคิดถึงเ้ามาโดยตลอด”
หลี่อวิ๋นหังช้อนสายตาขึ้น ไม่อาจข่มกลั้นความชื้นบริเวณเบ้าตาได้ เขาเกลียดตนเองที่เป็เช่นนี้จึงหันไปจ้องอีกฝ่ายอย่างเ็า กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “เ้ามันไอ้สารเลวที่หายไปและผิดสัญญามาร้อยห้าสิบเอ็ดปี! นึกไม่ถึงว่าจะยังมีหน้ามาพูดเช่นนี้ในยามนี้!”
ทว่าไอ้สารเลวนั่นไม่รู้อะไรเลย เปลือกตาหนักอึ้ง ขนตาสั่นเล็กน้อยราวกับเต้นระบำ ค่อยๆ ปิดลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
“ยามนั้น ทำไมถึง...ต้องจากไปด้วย?” หลี่อวิ๋นหังนั่งข้างเตียงของอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน มองใบหน้าที่หลับใหลอาบแสงจันทร์ที่ส่องผ่านช่องหน้าต่าง แม้จะรู้ว่าถามไปแล้วคนที่หลับก็ไม่ตอบ ทว่ายังคงพึมพำคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจของเขามาร้อยห้าสิบเอ็ดปีอย่างไม่เต็มใจ
สิ่งที่ตอบกลับเขามีเพียงเสียงลมหายใจที่หอมหวานและนุ่มนวลของเจียงเฉิงเยว่ที่หลับสนิท
เขาทนไม่ได้ไปจนถึง่ที่อีกฝ่ายสร่างเมา ราวกับแม่หม้ายที่ถูกทอดทิ้ง เอาแต่ครุ่นคิดและตั้งคำถามไม่พัก ในความทรงจำหลายร้อยปีของอีกฝ่าย เขากับอีกฝ่ายมีเวลาสามปีแค่เพียงดีดนิ้วเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขานับเป็อะไรสำหรับคนผู้นี้กัน?
เกิดความคิดชั่วคราว? เวทนาเพียงชั่วขณะ? คำสัญญาที่เคยให้ไว้ล้วนจากไปโดยทิ้งมันอย่างง่ายดาย?
เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร้อยห้าสิบเอ็ดปีที่ผ่านมา เขากัดฟันคงความเกลียดชังต่อไป แม้ว่าในส่วนลึกของหัวใจจะมีความตื่นตระหนกอยู่ลึกๆ ที่เขาไม่กล้าเผชิญ บอกให้เขาเผชิญหน้ากับความจริง...ว่าจริงๆ แล้ว...คนผู้นั้นไม่เคยให้คำสัญญาที่แน่นอนกับเขาเลยไม่ใช่หรือ?
เวลานี้ ศิษย์สำนักคงหลงซานหาพวกเขาไม่พบ เกรงว่าจะกลับห้องของตนเองไปแล้วจึงเรียกอยู่นอกประตูห้องเจียงเฉิงเยว่เป็เวลานาน หลังมองคนที่หลับลึกแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ หลี่อวิ๋นหังสร้างเขตอาคมห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้เพื่อแยกเสียงจากภายนอก ศิษย์สำนักคงหลงซานเรียกอยู่นานแต่ไม่มีการตอบรับ จึงทำได้เพียงไปค้นหาที่อื่น
จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขาแล้ว หลี่อวิ๋นหังจึงถอนเขตอาคมออก
เขานั่งอยู่ในห้องของอีกฝ่ายครึ่งค่อนคืน จ้องคนผู้นั้นอย่างละโมบราวกับคนโง่เขลา จนกระทั่งคนที่หลับใหลสะดุ้งไปทั้งร่างอย่างกะทันหัน ขมวดคิ้วแน่น เผยท่าทางเ็ปสุดขีด ดิ้นรนขดตัวเป็ก้อนกลม ผนึกประทับิญญาบนร่างของเจียงเฉิงเยว่เปล่งแสงสีแดงเล็กน้อย เริ่มร้องครวญครางเพราะความเ็ปรุนแรง
หลี่อวิ๋นหังดวงตาเบิกกว้างโดยรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แววตาเผยความเกลียดชัง พลางรีบยื่นมือไปวางบนหน้าผากของอีกฝ่าย แสงรัศมีสว่างวาบเล็กน้อยก่อนซึมเข้าสู่ทั้งร่างนั้นจากฝ่ามือของเขา
“เจ็บจัง” เจียงเฉิงเยว่ไม่ตื่น ตราคำสาปสีดำเผยอยู่ในแสงสีแดงของผนึกประทับิญญาทั้งเจ็ดแห่งบนร่างกายซึ่งมองเห็นได้อย่างเลือนราง ราวกับสัญลักษณ์ดุร้ายที่เผยบนเหล็กร้อนจัด ทั้งร่างของอีกฝ่ายปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น ใบหน้าขาวซีดภายใต้แสงจันทร์ราวกับคนตาย กัดฟันแน่น บิดตัวไม่หยุดเพราะความเ็ปแล่นไปทั่วร่าง พึมพำอย่างทนไม่ไหว “เจ็บ เจ็บมาก ข้าเจ็บเหลือเกิน”
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้วแล้วเร่งความเร็วของแสงรัศมีให้โคจรบนร่างนั้น ตราคำสาปสีดำบนผนึกประทับิญญาราวกับเมฆควันสีดำที่ต่อต้านทิศทางการไหลของแสงรัศมี รวมกับแหล่งกำเนิดของพลังิญญา ทะลวงเข้าไปผ่านมือที่ร่ายเคล็ดวิชาของเขาทีละนิด
ขณะที่เจียงเฉิงเยว่กำลังบิดตัวอย่างทรมาน หน้าผากห่างจากฝ่ามือของเขาหลายครั้ง การโคจรของพลังิญญาถูกบังคับให้ขาดตอนเป็พักๆ หลี่อวิ๋นหังกัดฟันก้มลงตัวลงจับลำคอนั้นอย่างโเี้ บังคับไม่ให้เคลื่อนไหว จากนั้นก้มหน้าลงให้หน้าผากของตนเองแนบกับหน้าผากน้อย จุดหลิงไถแนบชิดกัน ความเร็วของแสงรัศมีที่ไหลบนร่างกายจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่า เจียงเฉิงเยว่ยังคงสั่นด้วยความเ็ปพลางร้องครวญครางไม่หยุด
หลี่อวิ๋นหังเอ่ยปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “จะดีขึ้นในไม่ช้า จะหายเจ็บในไม่ช้า เ้าอดทนอีกหน่อยเถิด”
แม้ว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมา ทว่าเสียงของเจียงเฉิงเยว่ยังคงสะอึกสะอื้นด้วยความอึดอัดใจ “เจ็บ...”
“อืม”
“ข้าเจ็บ...เจ็บเหลือเกิน”
ขนตายาวของหลี่อวิ๋นหังสั่นสะท้าน เสียงพลันนุ่มนวลขึ้นอีก “เ้าจะหายเจ็บในไม่ช้า”
หลังจากนั้นผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม หลี่อวิ๋นหังดึงตราคำสาปสีดำบนร่างกายของอีกฝ่ายออกมาจนสิ้น เจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ สงบลงราวกับอ่อนล้า พลิกตัวสองครั้งโดยไม่ขยับเขยื้อนอีกแล้วหลับสนิทอีกครั้ง
หลี่อวิ๋นหังหยุดร่ายเคล็ดวิชา ยืดตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า ยื่นมือไปเช็ดทำความสะอาดคราบโลหิตที่ไหลจากการกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวจากความเ็ปด้วยความอ่อนโยนเป็เวลานาน เขาใช้เคล็ดวิชาการรักษาเพื่อฟื้นฟูาแ จากนั้นเปิดแขนเสื้อที่คลุมบนแขนซ้ายของตน เผยให้เห็นตราคำสาปดุร้ายบนข้อมือขาว ตราคำสาปยาวลามจากข้อมือไปจนถึงข้อพับแขน
หลี่อวิ๋นหังถอนหายใจเล็กน้อยแล้วหลับตาลง ตราคำสาปจางหายไปจากแขนของเขาแล้วเข้าสู่ร่างกาย ่แขนของเขากลับมาสะอาดสะอ้านไร้ที่ติอีกครั้ง เขาค่อยๆ ดึงแขนเสื้อลงพลางจัดระเบียบเสื้อผ้า เมื่อยืนขึ้นพลันรู้สึกศีรษะหนัก เท้าเบาหวิวชั่วขณะ ทว่าเขากลับมายืนทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว เงาร่างพลันหายเข้าไปในห้องของตนโดยตรง
ดังนั้น ฉิงชางจวินจึงนอนหลับฝันดีทั้งคืน ก่อนจะตื่นขึ้นมาใน่สายของวันรุ่งขึ้น
เขากดที่หน้าผาก ส่ายศีรษะที่ยุ่งเหยิง ครุ่นคิดอยู่นานกลับจำไม่ได้ว่าเมื่อวานตนเองกลับมาที่ห้องได้อย่างไร “ให้ตายเถิด!” ฉิงชางจวินพึมพำกับตนเอง “นึกไม่ถึงว่าจะดื่มจนความจำเสื่อมเสียแล้ว!”
เขาลุกขึ้นนั่งใกล้หัวเตียง รวบรวมความกล้าเป็เวลานานก่อนหยิบเสื้อคลุมที่ดูเหมือนถูกโยนทิ้งไปอย่างลวกๆ สวมรองเท้ากับถุงเท้าเรียบร้อยแล้วไปล้างตัว อย่างไรก็ตาม เขาไม่พบอาการปวดศีรษะจากการเมาค้างอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทั้งร่างนั้นเบาสบายและกระปรี้กระเปร่า ฉิงชางจวินจัดการตนเองเสร็จถึงเปิดประตูออกไปข้างนอก เขายังคงคิดอย่างเบิกบานใจ สุราหลิวฝูชุนนี้ช่างดีจริงเชียว! นึกไม่ถึงว่าดื่มจนความจำเสื่อมยังไม่ปวดศีรษะในวันรุ่งขึ้น เขาคิดพิจารณาจะซื้อสักสองสามไหติดตัวไปด้วย จะได้จิบสองสามครั้งยามกระหายสุรา
คนที่เหลือย่อมรอเขาอยู่ก่อน เมื่อเห็นเขาออกมาต่างทยอยถาม “ฉิงชางจวิน เมื่อคืนกลับมาั้แ่เมื่อไรกัน?”
“นั่นน่ะสิ พวกเราค้นหาด้านล่างสองรอบอย่างเสียเที่ยว”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มพร้อมแลกเปลี่ยนคำพูดอย่างสุภาพกับทุกคน หลังไม่เห็นร่างของหลี่อวิ๋นหังจึงรีบถาม “คุณชายหลินยังไม่ตื่นอีกหรือ?”
ทุกคนรีบบอกว่าไม่เห็น เจียงเฉิงเยว่ทำได้เพียงเอ่ย “ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย เป็ไปได้มากว่าเมื่อคืนดื่มมากเกินไป”
ทุกคนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความจริงแล้ว สุราหลิวฝูชุนนี้นุ่มนวลในปาก ก่อนจะออกฤทธิ์อย่างแข็งกร้าว แต่คนนอกพื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่ทราบ ดังนั้นจึงเมามายล้มนอนตามทางเดิน ฮ่าๆๆๆ”
เจียงเฉิงเยว่กังวลเล็กน้อย เขารีบลุกขึ้นไปชั้นบน ยืนอยู่หน้าประตูห้องของหลี่อวิ๋นหัง ลังเลอยู่หน้าประตูเป็เวลานานก่อนรวบรวมความกล้าเคาะประตู ทว่าประตูกลับเปิดเองจากข้างใน
หลี่อวิ๋นหังมีท่าทางปกติ เขาจัดระเบียบบนร่างกายเรียบร้อย ยืนอยู่หลังประตู
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอับอายนิดหน่อย ฝ่ามือที่กำลังจะเคาะประตูเปลี่ยนมาเกาท้ายทอย กล่าวด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ “ซ่างเซียน อรุณสวัสดิ์”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ซ่างเซียน เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง? พวกเขารออยู่ด้านล่าง”
หลี่อวิ๋นหังเอ่ยอย่างเฉยเมย “เรียบร้อยแล้ว”
.............................
หลังมาถึงเขาเจียวซางกุย ทุกคนค้นพบูเาพื้นที่ลุ่มต่ำตามแผนที่ เจียงเฉิงเยว่กับหลี่อวิ๋นหังอยู่ด้านหน้า ทั้งดูแผนที่ซึ่งหลอกลวงมาจากตระกูลัครามเหยียนชิวในมืออีกครั้ง เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ควรเป็ที่นี่ไม่ผิดแน่ อาจต้องเข้าไปข้างในสักหน่อย”
ทว่า มีชาวคงหลงซานบางคนมองไปที่โคลนกับหญ้าเหี่ยวเฉาใต้ฝ่าเท้าแล้วเอ่ย “นี่ไม่ใช่หนองน้ำหรอกหรือ?”
“เหมือนยิ่งนัก”
หลี่อวิ๋นหังเดินอยู่ด้านหน้าแล้วยื่นมือขวางเจียงเฉิงเยว่ให้อยู่ด้านหลัง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ข้าจะเดินนำหน้า เ้าตามมาก็พอ”
เจียงเฉิงเยว่ตะลึง “ตกลง”
ดังนั้นหลี่อวิ๋นหังจึงเปิดทางเดินนำทุกคนไป
อี้จื่ออีกับสวี่ฮ่วนเจ๋อที่นำชาวสำนักคงหลงซานเดินไปด้วยจากตำแหน่งด้านหลัง ทั้งสองมองแผ่นหลังของสองคนข้างหน้าจากระยะไกล สวี่ฮ่วนเจ๋อมองไปรอบทิศทางแล้วหันมาถามอี้จื่ออีที่อยู่ข้างกาย “คุณชายอี้ ท่านว่าพวกเราเข้าสู่เขตแดนของเขาเจียวซางกุยแล้วหรือยัง?”
อี้จื่ออียักไหล่ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่รู้สึกว่าคงจะเข้าไปในไม่ช้า”
สวี่ฮ่วนเจ๋อมองผู้คนร่วมสำนักด้านหลัง หลังครุ่นคิดเขาสั่งเสียงดัง “ดาบเซียนที่เก็บไว้ในถุงเฉียนคุนในแขนเสื้อ เอาออกมากันก่อนเถิด!”
เหล่าศิษย์คงหลงซานนิ่งค้าง ก่อนค่อยๆ ทยอยตอบ “ขอรับ” จากนั้นเสียง ‘ฮวาๆ ’ ดังขึ้นทีละคน ทุกคนล้วนเผยอาวุธออกมา
สวี่ฮ่วนเจ๋อหยิบดาบเซียนในแขนเสื้อออกมาเช่นเดียวกันแล้วยิ้มให้อี้จื่ออี “กันไว้ดีกว่าแก้”
อี้จื่ออีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พี่ฮ่วนเจ๋อ แม้ว่าจะทำเช่นนี้ หากสูญเสียพลังิญญาจนสิ้น เมื่อเข้าสู่ขอบเขตของค่ายกลมาร์าจริง จะหยิบดาบเซียนหรือไม่ก็มีค่าเท่ากันไม่ใช่หรือ?”
สวี่ฮ่วนเจ๋อยกยิ้ม “แม้ว่าจะถูกผนึกพลังิญญา แต่พลังต่อสู้ยังคงมีอยู่ หากเก็บอาวุธไว้ที่แขนเสื้อในถุงเฉียนคุน จะหยิบออกมาไม่ได้ยามไม่มีพลังิญญา หรือว่าจะรอรับความตายโดยไร้อาวุธในมือกันเล่า?”
อี้จื่ออีกล่าว “พูดได้มีเหตุผล” จากนั้นเขาดึงอาวุธออกมาเตรียมพร้อม
หลี่อวิ๋นหังกับเจียงเฉิงเยว่ซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าต่างเปลี่ยนอาวุธอย่างเงียบงันเช่นกัน ท่ามกลางเสียงน้ำสาดกระเซ็นของโม่หลงเผยออกมาเป็รูปทรงดาบ ไป๋หลวนกู่ร้องแ่เบา ควบเป็ดาวยาวข้างฝ่ามือของหลี่อวิ๋นหัง เจียงเฉิงเยว่มองดาบเล่มนั้นหลายครั้ง
ฝูงชนเตรียมพร้อมเดินไปข้างหน้าด้วยความประหม่า หลี่อวิ๋นหังซึ่งเดินอยู่หน้าสุดหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกแปลกในเล็กน้อย เขาถาม “เซียนจวิน?”
ทันใดนั้น หลี่อวิ๋นหังดึงเขาไว้แล้วหมุนตัวราวกับหลีกเลี่ยงบางสิ่ง เสียงกรีดร้องของชาวคงหลงซานดังแว่วมาจากด้านหลังโดยพลัน กลุ่มคนถูกสังหารจนเกิดความโกลาหลในทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พลังิญญา…พลังิญญาใช้ไม่ได้แล้ว?”
“พวกเราเข้าสู่ค่ายกลแล้วใช่หรือไม่?”
“มีอะไรโจมตีพวกเรา?”
เจียงเฉิงเยว่มีท่าทีเคร่งเครียดตามไปด้วย เขาเบิกตากว้างมองอากาศที่ว่างเปล่าอย่างชัดเจน ทัศนียภาพเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลม เขาลองโคจรพลังิญญา มันเหือดแห้งอย่างที่คาดไว้ ้าบังคับให้โม่หลงตื่นขึ้นกลับทำไม่ได้ สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือยามนี้กลายเป็เพียงดาบเหล็กธรรมดาจริง
“สมควรตาย!” ฉิงชางจวินสาปแช่งเสียงเบา ร่างกายหยุดนิ่งโดยพลัน เขาถูกดึงไว้โดยหลี่อวิ๋นหังอีกครั้งก่อนเซไปยังจุดที่อีกฝ่ายออกแรง ไป๋หลวนในมือของหลี่อวิ๋นหังฟาดฟันบนอากาศที่เจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่เมื่อครู่ ทันใดนั้นกลับมีเสียงแ่เบา เจียงเฉิงเยว่มองเห็นควันสีดำเกลือกกลิ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วสลายไปในอากาศพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของบางสิ่ง
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงะโ “ซ่างเซียน พลังิญญาของท่านยังใช้ได้ใช่หรือไม่?!”
ขณะที่หลี่อวิ๋นหังโบกมือ ไป๋หลวนราวกับกำลังต่อสู้เกี่ยวพันกับบางสิ่งในอากาศ ถึงค่อยตอบกลับอย่างเฉียบขาด “ใช้ไม่ได้”
“อา?”เจียงเฉิงเยว่งุนงง เอ่ยด้วยความใ “เป็เช่นนี้ได้อย่างไร?”
หลี่อวิ๋นหังยิ้มหยัน “ค่ายกลที่มาร์าทิ้งไว้ เ้าคิดว่าอย่างไร? ข้างหลัง!”
หลังจากที่เขาเตือน เจียงเฉิงเยว่เบี่ยงโม่หลงที่รักแร้ฟาดไปทางด้านหลังของตนโดยไม่ต้องคิด เขาพลันรู้สึกได้ว่าโม่หลงในมือสั่นเล็กน้อย มีหมอกควันสีดำที่ฟุ้งกระจายในอากาศและเสียงหวีดหวิวแ่เบาเหมือนก่อนหน้านี้เกิดขึ้น
------------------------
