กริ๊ง!
กริ่งเลิกเรียนดังขึ้น
ฉินหลางรีบทำท่าวิ่งร้อยเมตร ราวกับธนูที่อยู่บนคันศร เตรียมจะพุ่งตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว
แต่เพียงไม่นานก็เหมือนว่าฉินหลางจะคิดอะไรได้ รีบเบรกอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้เขาไม่ได้ไปแย่งข้าวกินคนเดียว แต่เขาจะไปกินข้าวกับรั่วปิน จะทำเหมือนไปแย่งข้าวกินอย่างนี้ได้ยังไง
“นี่นายเป็อะไร?” รั่วปินถามด้วยความสงสัย
“ความเคยชินของร่างกาย” ฉินหลางหัวเราะคิกๆ “ปกติเสียงกริ่งดังแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปแย่งข้าว”
“งั้นพวกเราไปแย่งด้วยกัน” รั่วปินหันมายิ้มหวานให้ฉินหลาง ฉินหลางอึ้งโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่ารอยยิ้มของรั่วปิน สวยเหมือนดอกบัวที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางหิมะ
“ไปสิ!” รั่วปินหมุนตัวพุ่งออกนอกห้องเรียน เธอไปแย่งข้าวแล้วจริงๆ!
ฉินหลางคิดไม่ถึงว่ารั่วปินจะพุ่งออกไปอย่างนี้ จึงรีบวิ่งตามออกไป
ทุกครั้งที่ถึงเวลาพักเที่ยง ผู้ชายจำนวนมากก็จะเหมือนแมลงที่พุ่งเข้าไปตอมถังข้าวของโรงเรียน เมื่อก่อนฉินหลางก็เป็หนึ่งในนั้น
ฉินหลางทำเพราะหิวจริงๆ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ ระบบการย่อยอาหารของฉินหลางจะทำงานดีเป็พิเศษ เรียนมาตลอด่เช้าแล้ว ตอนนี้เขาหิวจนไส้บิด ดังนั้นการแย่งข้าวเป็ปกติของร่างกายอยู่แล้ว
เพียงแต่รั่วปินเป็คนแปลกในหมู่คนที่มาแย่งข้าวแน่นอน
ถึงขั้นมีผู้ชายจำนวนมากวิ่งไปด้วยเหลียวมองรั่วปินไปด้วย อยากรู้ว่าเธอเป็ใครมาจากไหนกันแน่
ถ้าเป็เมื่อก่อนฉินหลางจะต้องพุ่งเข้าโรงอาหารเป็คนแรกแน่นอน แต่เพราะวันนี้เขาวิ่งตามความเร็วของรั่วปิน ดังนั้นเมื่อฉินหลางมาถึงโรงอาหาร คนอื่นก็กินกันไปก่อนแล้ว หลังจากยืนเข้าแถวไปครู่หนึ่ง ฉินหลางตักอาหารชุดหนึ่ง จากนั้นหยิบน้ำของแก้ว เตรียมหาที่นั่ง ตอนนี้ ฉินหลางสังเกตว่า ที่นั่งติดหน้าต่างถูกคนอื่นนั่งกันไปหมดแล้ว
ฉินหลางใช้สายตากวาดมองรอบหนึ่ง คิดในใจแบบนี้ไม่ได้ วันนี้เป็เดทแรกของเขากับรั่วปิน จะต้องได้ที่นั่งที่โรแมนติกกว่านี้สิ ถ้านั่งอยู่กลางผู้คนที่กินกันอย่างตายอดตายอยาก ฉินหลางจะกระชับความสัมพันธ์กับรั่วปินได้ยังไง
ดังนั้นฉินหลางตัดสินใจว่าวันนี้จะใช้ไม้แข็งสักครั้ง เขาจึงถือจานข้าวเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้หน้าต่าง
“ช่างเถอะ ที่นั่งข้างหน้าต่างมาคนนั่งหมดแล้ว เราเปลี่ยนไปนั่งที่อื่นเถอะ” รั่วปินหันไปพูดกับฉินหลาง
“ไม่เป็ไร เดี๋ยวพวกเขาก็จะกินหมดแล้ว” ตอนพูดฉินหลางเดินมาถึงข้างโต๊ะอาหาร
โต๊ะนี้มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ และดูเหมือนจะเป็นักบาสเกตบอลของโรงเรียน เพราะพวกเขาใส่ชุดบาสอยู่ และยังตัวใหญ่ กำยำด้วย ตอนที่ฉินหลางเดินมา ผู้ชายหนึ่งในนั้นจ้องฉินหลางตาเขม็ง แต่อีกคนกลับหน้าซีดทันที แล้วหันไปส่งสายตากับชายคนข้างๆ ก่อนจะหันไปพูดกับฉินหลางด้วยรอยยิ้ม “นี่พี่ฉินไม่ใช่เหรอ พวกเรากินเสร็จแล้ว พวกพี่นั่งเถอะ”
ทั้งคู่ยกจานข้าวเดินจากไป หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเบาๆ ว่า “เห็นชัดหรือยัง เ้าหมอนั่นก็คือฉินหลาง คนที่ตบคุณชายไช่กระเด็น!”
“อะไรนะ! เขาน่ะเหรอ!” ชายอีกคนพูดขึ้นด้วยความใ
“เชิญนั่ง” ฉินหลางวางจานข้าวลงบนโต๊ะ
“พี่ฉิน—คิก คิดไม่ถึงว่านายมาชีจงแค่ไม่นาน ก็ดังขนาดนี้แล้ว!” รั่วปินหัวเราะเบาๆ พลางนั่งลงฝั่งตรงข้ามฉินหลาง
“ช่วยไม่ได้ เธอก็รู้หนิ ตอนที่อยู่อนุบาล ฉันก็ไม่ได้เป็เด็กดีแล้ว เฮ้อ ไม่ใช่เด็กที่ดีแล้ว” ฉินหลางหัวเราะคิกคัก
รั่วปินก็หัวเราะขึ้นมา พยักหน้าพลางกล่าว “จริงสิ ตอนนั้นนายก็โอหังไม่น้อยแล้ว ตอนแรกคิดว่าตอนนี้นายจะโอหังน้อยลงบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะยังเป็เหมือนเดิมอยู่”
“ไม่ ความจริงแล้วตอนนี้ฉันติดดินมากแล้ว” ฉินหลางพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ไม่จริงมั้ง พี่ฉิน—” เห็นได้ชัดว่ารั่วปินไม่เชื่อ เธอหยิบตะเกียบขึ้นคีบกับข้าวเข้าปากหนึ่งคำ พยักหน้าพลางกล่าว “รสชาติอาหารของโรงอาหารนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่ได้กินยากเหมือนที่คิดเอาไว้”
“ไม่ใช่มั้ง? เธอเป็คนแรกเลยนะที่ชมว่าอาหารของโรงอาหารไม่เลว” ฉินหลางพูดด้วยรอยยิ้ม “อธิบายได้อย่างเดียว เมื่อก่อนเธอแทบจะไม่เคยกินอาหารของโรงอาหารเลยใช่ไหม?”
“อืม” รั่วปินพยักหน้า ท่าทีดูค่อนข้างเดียวดาย “ข้าวเช้า กับข้าวเย็นฉันกินที่บ้านตลอด”
“แล้วข้าวเที่ยงล่ะ?”
“พูดไปนายอาจจะไม่เชื่อ มื้อเที่ยงฉันกินอยู่ที่อาคารหอพัก แม่ฉันเช่าห้องตรงนั้นไว้ห้องหนึ่ง แล้วก็หาญาติห่างๆ คนหนึ่งมาทำอาหารให้ฉันโดยเฉพาะ แม่ฉันบอกว่าอาหารของโรงอาหารมีไม่ครบห้าหมู่”
“โชคดีจังเลยเนอะ!” ฉินหลางพูดเหมือนมีความรู้สึก
“นายคิดว่าแบบนี้คือความโชคดีเหรอ?” รั่วปินหันไปมองหน้าฉินหลางพลางถามขึ้น
“นั้นนะ…เธอไม่ต้องมองหน้าฉันขนาดนั้นก็ได้ มันรู้สึกกดดันนะ” ฉินหลางกล่าว “พูดจากใจ ถ้ามีคนมาทำข้าวให้ฉันกิน ไม่ต้องมากินข้าวที่โรงอาหาร ฉันจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยแหละ เพียงแต่ ถ้าฉันไม่เคยกินข้าวที่โรงอาหารเลยแม้แต่มื้อเดียวก็เหมือนจะน่ากลัวอยู่”
“นายรู้สึกว่าน่ากลัวเหรอ?” รั่วปินถอนหายใจ “นั่นสิ ความรักของแม่ฉันบางครั้งก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัว”
“แต่อย่างน้อย เขาก็ทำเพราะรักเธอ”
ฉินหลางตั้งใจจะเปลี่ยนเื่คุย เพราะเขากับรั่วปินเดทกันครั้งแรก ยังไม่ถึงตอนที่จะพูดเื่แต่งแน่นอน ดังนั้นเขายังไม่อยากจะพูดถึงแม่ยายตอนนี้
ตอนนั้นเอง รั่วปินก็วางตะเกียบในมือลง พูดด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ “ฉินหลาง นายว่าความรู้สึกของคนสองคน ไม่สามารถทดสอบได้จริงๆ เหรอ?”
“ใครบอกว่าไม่สามารถทำได้” ฉินหลางเอามือตบหน้าอก “ความรู้สึกของพวกเราก็สามารถทำได้ไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ เธอก็ยังเปลี่ยนไปบ้าง ‘ยัยเด็กขี้มูกโป้ง’ คนเดิม ไม่ได้มีเื่ความรู้สึกทุกข์ใจมากขนาดนี้”
“งั้น ‘เสี่ยวจินกัง’ ในอดีตก็ไม่ได้เ้าชู้ขนาดนี้” รั่วปินหันไปกะพริบตาใส่ฉินหลาง เหมือน้าบอกฉินหลางว่า เธอเริ่มชินกับความ ‘หลายใจ’ ของฉินหลางแล้ว
“ฮึๆ...ฉันหลายใจที่ไหนล่ะ” ฉินหลางพูดอย่างเขินอาย
“วัยรุ่นที่ไหนไม่เ้าชู้ นี่ก็...ไม่เท่าไหร่หรอก แล้วอีกอย่าง ฉันก็จะไปจากที่นี่แล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่า หลังจากผ่านไปหลายปี ไม่แน่อาจจะสิบปี นายจะยังจำเด็กขี้มูกโป่งที่ชอบตามหลังนายได้อยู่หรือเปล่า?” น้ำเสียงของรั่วปินเปลี่ยนเป็เ็ป
ฉินหลางก็รู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบข้างลดลง ในใจรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป เขามองรั่วปินอย่าอึ้งๆ “เธอพูดว่าอะไรนะ...เธอจะจากไปเหรอ เธอจะไปไหน เธอจะย้ายโรงเรียนเหรอ?”
“ไม่ใช่ย้ายโรงเรียน ฉันจะไปเรียนต่อที่อเมริกา ฉันได้รับหนังสือจากทางโน้นแล้ว” รั่วปินกล่าว
“เธอจะไปเรียนต่อที่อเมริกา?” ฉินหลางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ คิดไม่ถึงว่าเขาได้กลับมาเจอรั่วปินแค่ไม่กี่วัน ก็จะต้องห่างกันไปอยู่คนละซีกโลกอีกแล้ว และครั้งนี้ รั่วปินไปอเมริกา ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้เจอเธออีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
ตอนนี้ ฉินหลางนึกถึงที่เถารั่วเซียงพูดว่า่นี้รั่วปินจะมี ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ที่แท้เถารั่วเซียงรู้ั้แ่เมื่อวานแล้ว
“เย็นวันนี้ ฉันก็จะไปจากโรงเรียนแล้ว”
“งั้นก็แสดงว่า สำหรับฉันแล้ว มื้อนี้จะเป็มื้อสุดท้ายใช่ไหม?” ตอนแรกฉินหลางเจริญอาหารมาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกกลืนอาหารพวกนี้ไม่ลง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้