ในที่สุดเวลาที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุดก็ได้หมดลง อาหารของพนักงานได้ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะยาวภายในห้องส่วนตัว พ่อครัวหลายคนก็ต่างเดินไปที่ประตูหลังเพื่อสูบบุหรี่กันก่อน ด้วยเพราะเหนื่อยมากจากการทำอาหารจนยังไม่มีความอยากอาหาร ดังนั้นอี้สี่ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จึงมาถึงห้องอาหารก่อน แล้วก็ได้เจออามีซึ่งเป็หัวหน้าพนักงานเบื้องหน้ากำลังถือชามรอตักอาหารอยู่ เธอเป็ผู้หญิงที่ดูเหมือนทอม รูปร่างผอมสูง ผมสั้นเรียบร้อยและหล่อเท่ แล้วก็ดูท่าทางเหมือนผู้ชายเล็กน้อย แต่หากมองจากในมุมมองของผู้หญิงแล้ว เธอก็ดูเป็คนสวยด้วยเช่นกัน
อาหารสามจานหลักแบ่งเป็ผัดเนื้อวัวกระทะร้อนที่มีหัวหอมมากกว่าเนื้อวัว หอมใหญ่ผัดไข่ ซึ่งก็มีหัวหอมมากกว่าไข่ และปลาผัดหอม ซึ่งก็มีหัวหอมเยอะมากจนมองไม่เห็นเนื้อปลาด้วยซ้ำ
“พระเ้า! ทำไมหัวหอมถึงมีเยอะขนาดนี้กันเล่า” อามีกรีดร้อง “ฉันไม่ชอบกินหัวหอมเลย”
อี้สี่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด [1]รู้สึกอับอายจะแย่
“กินหัวหอมมากๆ ดีต่อสุขภาพนะ ไม่แน่ว่าฮอร์โมนเพศชายอาจจะเพิ่มมากขึ้นก็ได้ มาดูกันว่าเธอจะสามารถไว้หนวดได้ตามที่้าได้ไหม” ซ่งจื่อฉีเดินเข้ามา เขายิ้มให้อามีเล็กๆ และเอ่ยหยอกล้อเธอ ซึ่งอี้สี่ไม่ค่อยเห็นเขายิ้มสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็เพียงใบหน้าเรียบนิ่งเท่านั้น เขาไม่ได้ออกไปสูบบุหรี่ ดังนั้นจึงมาทานอาหารเร็ว
ซ่งจื่อฉีหยิบชามของอามีมา หยิบที่คีบขึ้นมาแล้วควานเอาหัวหอมออก เขาคีบชิ้นปลาและเนื้อวัวจำนวนมากใส่ลงไปในชามของอามี จากนั้นก็เดินไปรอบๆ ห้องครัวอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อออกมา ภายในชามของอามีก็มีไข่ลวกเพิ่มมาหนึ่งลูก
“เชฟใจดีกับฉันมากจริงๆ” อามีกอดซ่งจื่อฉีอย่างมีความสุข
ตอนนี้อี้สี่กำลังคิด คิดว่า ไม่เคยคิดเลยว่าซ่งจื่อฉีจะมีด้านที่อบอุ่นแบบนี้อยู่ด้วย แต่เมื่อเขาหันมาทางเธอ บนใบหน้าก็กลับมามีสีหน้าเ็าเช่นเดิม “ได้ยินแล้วใช่ไหมว่าทุกคนเกลียดการกินหัวหอมมากขนาดนี้ ถ้าให้ดีคุณก็ไม่ควรจะกินข้าว กินหัวหอมแทนข้าวและกินให้อิ่มซะ” ซ่งจื่อฉีกล่าว เขาตักหัวหอมกองใหญ่ลงในชามของอี้สี่ หัวหอมกองสูงบนข้าวของเธอจนกลายเป็เนินเขาเล็กๆ อี้สี่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักมากมายดังมาจากข้างหลังของเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะเยาะเธออยู่หรือเปล่า เธอทำเพียงรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปเสียงเบาว่า “ขอบคุณค่ะเชฟ” แล้วไปนั่งเงียบๆ กินข้าวกับหัวหอมอยู่ที่มุมห้อง
เื่เดียวที่ถือว่าเป็ความโชคดีของเธอก็คือ เธอไม่เกลียดหัวหอม
ในอุตสาหกรรมด้านการทำอาหารล้วนต่างก็มีสองกะคือ กะเช้าเริ่มงานั้แ่เช้า มีเวลาพักเบรกตอนเที่ยงและทำงานจนถึงห้าโมงเย็น จากนั้นถึงเริ่มเวลาของกะเย็น นี่เป็การทดสอบความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายของอี้สี่ไม่น้อย เธอถอดผ้ากันเปื้อนออกด้วยคิดอยากจะออกไปสูดอากาศและซื้อกาแฟสักแก้ว ซึ่งในขณะที่เดินผ่านบาร์ก็มีคนะโเรียกเธอเอาไว้ “คุณชื่ออี้สี่ใช่ไหม?” เธอหันไปมองตามเสียง เป็หลัวจ้งซีที่เธอได้พบในตอนเช้า “มานี่สิ” เขากวักมือเรียกให้เธอเดินเข้าไปในบาร์
หลัวจ้งซีวางลังเบียร์สองลังลงบนพื้น และบอกให้เธอใช้กล่องเบียร์แทนเก้าอี้นั่ง “นั่งพักตรงนี้ก่อน นี่คือพื้นที่ที่ผมดูแลอยู่ ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับผมหรอก”
อี้สี่นั่งลงด้วยความดีใจ ในที่สุดก็มีใครบางคนสนใจเธอหลังจากที่รู้สึกอับอายมาตลอดเช้า ในที่สุดก็มีสถานที่ให้เธอได้ซ่อนตัวและอยู่คนเดียวสักพัก
“คุณจะไปไหนเหรอ? งานมันคงจะไม่เหมือนกับที่คุณคิดไว้เลยจะวิ่งหนีไปงั้นสิ!” หลัวจ้งซีกล่าว เขาคงจะเคยได้ยินซ่งจื่อฉีพูดว่าเธอไม่มีประสบการณ์
“เปล่าค่ะ ฉันแค่อยากจะไปซื้อกาแฟสักแก้ว”
“ซื้อกาแฟ? ทำไมต้องซื้อด้วยล่ะ ที่นี่มีทุกอย่าง โดยเฉพาะกาแฟที่มีเยอะมากที่สุดแล้ว” หลัวจ้งซีเปิดตู้เย็นของบาร์ออกแล้วรินกาแฟเย็นแก้วใหญ่ให้กับอี้สี่ “ถ้าอยากได้กาแฟก็มาเอาที่ผม นี่คือกาแฟเย็นที่จะต้องเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า หากไม่มีคนสั่งก็จะต้องทิ้งภายในสองวัน”
อี้สี่จิบกาแฟเข้าไปหนึ่งอึกและถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ นี่อาจเป็่เวลาที่สบายอกสบายใจที่สุดของวันนี้
หลัวจ้งซีเองก็รินกาแฟให้ตัวเองแก้วหนึ่งเช่นกัน และเขายังเติมน้ำตาลจากผลไม้กับครีมสดจำนวนมากลงไปด้วย ดูเหมือนกาแฟของเขาน่าจะมีรสหวานมาก แถมยังมีแคลอรี่มากอีก “รู้สึกหงุดหงิดมากไหม?” เขาถาม
อี้สี่พยักหน้า
“จริงๆ แล้ว นี่เป็สภาพแวดล้อมการทำงานแบบมืออาชีพ ดังนั้นคุณย่อมจะต้องรู้สึกหงุดหงิดเป็ธรรมดา ทุกคนต่างก็มีเื่ยุ่งของตัวเองให้ยุ่ง ดังนั้นคุณคงจะรู้สึกว่าทุกคนไม่เป็มิตรมากนัก” เขากล่าว
“อืม ก็แค่ไม่รู้ว่าควรจะต้องปรับตัวยังไงน่ะค่ะ”
“อุตสาหกรรมอาหารมีความพิเศษและเฉพาะตัวมาก เว้นแต่ว่าถ้าคุณจะเปิดแผงลอยริมถนนน่ะนะ นี่คืออุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็ทีม คิดอยากจะรวมเข้ากับทีมนี้ คุณก็ต้องเพิ่มความสามารถของตัวเองเร็วๆ เป็สมาชิกที่สามารถแบ่งเบาภาระงานของเพื่อนร่วมทีมได้ ไม่งั้นในสายตาของทุกคนคุณก็จะกลายเป็ตัวถ่วงไป” หลัวจ้งซีพยายามปลอบใจเธอ เสียงของเขาทุ้ม สากๆ และแหบแห้ง ยามที่เอ่ยพูดช้าๆ สามารถทำให้คนฟังสงบได้ ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็การปลอบใจจริงๆ หรือไม่ แต่อี้สี่ก็รู้สึกว่าหลังจากที่เลื่อนลอยมาตลอดทั้งเช้า ในที่สุดก็มีใครบางคนใส่ใจเธอ
เธอยิ้มเบาๆ แล้วพยักหน้าให้เขา
“ยังยืนหยัดต่อไปนะ?” หลัวจ้งซีมองเธออย่างจริงใจ
“แน่นอน” อี้สี่พยักหน้าอีกครั้ง “เชฟซ่งเป็คนเข้าถึงได้ง่ายไหมคะ?” อี้สี่ถาม เธอ้าสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่กับหลัวจ้งซี
หลัวจ้งซีหัวเราะเบาๆ “จะเข้าถึงได้ง่ายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวคุณมีความสามารถหรือไม่ มีมุมมองแบบไหน คุณรู้สึกว่าทุกคนเอาแต่ล้อคุณและไม่ช่วยอะไรคุณตลอดเช้าใช่หรือเปล่า?” สีหน้าของเขาดูผ่อนคลาย ทว่าน้ำเสียงกลับจริงจังมาก
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น ก็แค่คิดว่าจะมีใครสักคนที่ค่อยๆ สอนฉันั้แ่ต้นจนจบไหมก็เท่านั้น”
“นี่เป็ที่ทำงานไม่ใช่โรงเรียน คุณลองไปดูที่ห้องครัวสิ แล้วกลับมาบอกผมว่าคุณเห็นอะไร” หลัวจ้งซีกล่าว หลังจากที่เขาพูดเช่นนี้ อี้สี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินลากขาไปที่ห้องครัวเพื่อตรวจดู
เนื่องจากเป็เวลาพักผ่อน เชฟบางคนจึงนอนหรือเล่นวีดีโอเกมอยู่ที่ที่นั่งแขก มีบางคนที่ออกไปเดินเล่นข้างนอก ภายในร้านอาหารจึงมีคนไม่มากนัก แต่ตอนนี้เธอเห็นเฉินเจี้ยนฉวินอยู่คนเดียวในครัว เขากำลังฟังเพลงและหั่นหัวหอมหม้อใหญ่ไปด้วย เขาทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีหัวหอมสีเขียวที่ล้างแล้วและพักไว้จนแห้งรอหั่นอยู่อีกหม้อใหญ่
อี้สี่สับสนเล็กน้อยว่าทำไมเฉินเจี้ยนฉวินถึงไม่ไปพัก แต่แล้ววินาทีถัดมาเธอก็เข้าใจว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับตัวเธอเองแน่นอน เธอเดินกลับไปที่บาร์เล็กๆ ของหลัวจ้งซี เอ่ยด้วยเสียงแ่เบาว่า “เห็นเฉินเจี้ยนฉวินกำลังหั่นเตรียมของ” ในตอนที่พูดก็รู้สึกอ่อนแรงและค่อนข้างรู้สึกผิด
“ตอนนี้เป็เวลาพักผ่อนของทุกคนและก็เป็เวลาพักผ่อนของเขาด้วย แต่สาเหตุที่เขาไม่สามารถพักผ่อนได้ก็เพราะว่าคนบางคนทำงานของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นภาระงานของเขาจึงเพิ่มขึ้น และเขาเองก็ไม่บ่น ซึ่งนี้คือความใจกว้างที่เขามีต่อคุณ” หลัวจ้งซีเติมกาแฟลงในแก้วเปล่าของเธอโดยที่ไม่พูดอะไรอีก พอรู้แบบนั้นแล้วอี้สี่จะมากล้านั่งลงพักได้อย่างไร เธอรีบกลับไปที่ห้องครัวและถามเฉินเจี้ยนฉวินว่า้าความช่วยเหลืออะไรไหม เดิมทีเธอคิดว่าเฉินเจี้ยนฉวินคงจะคิดว่าเธอเกะกะขวางทางและไล่เธอออกไป แต่เขาไม่ได้ทำ ยังคงมีหัวหอมเหลืออยู่อีกสองสามหัวให้เธอหั่น แต่ทว่า่เวลายามบ่ายนั้นยาวนานและมีความเร่งรีบน้อยลง เขาจึงให้เธอหั่นอย่างช้าๆ และต้องหั่นอย่างระมัดระวัง
ซ่งจื่อฉีเองก็มาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของหลัวจ้งซีเช่นกัน “ฉันเองก็อยากดื่มกาแฟด้วย”
“ทำเองสิ” หลัวจ้งซีเตะประตูตู้เย็น
“แน่นอนว่าฉันอยากดื่มอันที่นายชง” ซ่งจื่อฉีกอดอกและพูดตามความเป็จริง เขาพลิกลังตะกร้านมกลับด้านแล้วนั่งลงพิงผนังด้วยท่านั่งที่สบายเป็อย่างมาก
“ลังตะกร้าเป็ที่ของฉัน อย่ามาแย่งลังตะกร้าของฉันไป ความสูงมันกำลังพอดี” หลัวจงซีบ่นขณะกำลังชงกาแฟ ทว่าซ่งจื่อฉีก็ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง แต่เพียงเตะลังเบียร์ที่อี้สี่นั่งไปอยู่ข้างเท้าของหลัวจ้งซีแทน
“จะยังไงฉันก็ช่วยให้ความรู้แก่เพื่อนร่วมงานคนใหม่ของนาย แถมยังช่วยชงกาแฟให้นายด้วย นายมันจะเลวเกินไปแล้ว!” แม้ว่าหลัวจ้งซีจะกำลังบ่นพึมพำไปเรื่อยแต่ก็ยังนำกาแฟร้อนชงสดใหม่มาให้เขา เขานั่งลงยองๆ บนลังเบียร์ที่เล็กลงอย่างเงียบๆ ซ่งจื่อฉีหาว เขาไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดพลางจิบกาแฟในอุณหภูมิที่เหมาะสม กลิ่นหอมอ่อนๆ และความเปรี้ยวที่พอเหมาะกระจายไปทั่วปากของเขาอย่างนุ่มนวล เขาจงใจกลั้นลมหายใจ ค่อยๆ สูดกลิ่นหอมทางจมูก รับรู้ถึงรสชาติของกาแฟที่ตกค้างอยู่ในปาก เขาหลับตาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “นายเองก็กินอาหารดีๆ ที่ฉันทำไปไม่น้อยเหมือนกัน”
หลัวจ้งซีหัวเราะเหอะๆ “เพื่อนร่วมงานคนใหม่ดูบอบบางมาก ทั้งยังดูอ่อนแอเกินกว่าจะมัดไก่ได้[2]ทำไมถึงเลือกเธอล่ะ?” เมื่อเขาเห็นอี้สี่แล้วก็รู้สึกสงสัยจริงๆ อี้สี่ดูเป็ผู้หญิงที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์และสุภาพเรียบร้อย
“ตอนแรกคิดว่าเธอไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ทว่าประวัติตัวเองกลับเขียนมาน่าสนใจ เลยโทรไปเรียกมาสัมภาษณ์ดูว่าเป็ยังไงบ้าง พอมาถึงก็รู้สึกว่าอ่อนแอบอบบาง ดูเหมือนจะมีพลังงานไม่มากจึงไม่คิดดึงมาใช้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะทำให้ฉันสำลักได้ ฉันเลยรู้สึกว่าน่าสนใจ” ซ่งจื่อฉีกล่าว
“นายก็รู้ว่าฝีมือของเธอไม่ดีนัก มันยากมากในการที่เธอจะปรับตัวได้ในเช้าวันเดียว แล้วทำไมนายไม่ให้คำแนะนำบ้างล่ะ?”
“รอก่อนสิ! ปล่อยให้เธออดทนไปซักหนึ่งสัปดาห์ก่อน ถ้าหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ยังไม่ออกก็ค่อยสอน” ซ่งจื่อฉีอยากรู้ว่าอี้สี่จะมีความสามารถมากแค่ไหน
[1] เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด หมายถึง อาการที่ทั้งโกรธและกลัวจนสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่นิ่ง
[2] อ่อนแอเกินกว่าจะมัดไก่ได้ หมายถึง ใช้บรรยายร่างกายที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้