มู่จื่อหลิงก้มศีรษะมองตนเอง ร่างกายนอกจากวิ่งห้อจนหมดแรง และโทรมอยู่บ้าง ก็มิได้รับความเสียหายใดๆ เลย
และเย่จื่อมู่
มู่จื่อหลิงชำเลืองขึ้นๆ ลงๆ มองเย่จื่อมู่อย่างละเอียด
ถึงได้เห็นว่าอาภรณ์สีแดงสดบริเวณแขนนั้นขาดวิ่น และย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด แดงเหมือนโลหิตจนน่าสยดสยอง สวยสดเป็พิเศษอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้ถูกหน้ากากผีเสื้อ ดูสีหน้าซีดเซียว อิดโรยซีดขาว ใบหน้าซีกล่างมีเหงื่อผุดขึ้นมาจางๆ ขมุกขมัว
เมื่อมองสีหน้าซีดขาว แขนเสื้อทั้งสองข้างที่ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีและมีคราบเื มู่จื่อหลิงก็บรรยายรสชาติในใจไม่ออกเช่นกัน
ในก้นบึ้งหัวใจราวกับจะมีความทุกข์ใจอันเบาบาง และยังมีความเ็ป...อันเลือนราง!
มู่จื่อหลิงเพียงรู้สึกว่าในหัวใจชาหนึบเล็กน้อย ความแสบร้อนแปลกประหลาดทะลักเข้ามาที่หน่วยตา ดวงตาปกคลุมไปด้วยม่านน้ำ
นางกับเย่จื่อมู่ก็แค่รู้จักกันอย่างบังเอิญเท่านั้น มีไมตรีต่อกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะเหตุใดเขาถึงปรากฏตัวได้ทันเวลา? และเหตุใดจึงปกป้องนางโดยไม่เสียดายชีวิต?
ั้แ่รู้จักจนถึงตอนนี้ นอกจากเย่จื่อมู่จะพูดจาไร้สาระอย่างสมเหตุสมผลจนทำให้นางกระฟัดกระเฟียดพาลโกรธขึ้นมาแล้ว ก็เหมือนจะคอยช่วยเหลือนางอยู่ตลอดเวลา
ขายร้านค้าให้นางทั้งที่ผู้อื่นเขาให้เงินมากกว่า หิ้วอาหารโอชะไปคุยกับนางแก้เหงาในคุกกลางดึกดื่น ช่วยนางสืบเื่ราว กระทั่งลงมือช่วยเหลือในยามนี้
บางทีอาจจะมีเื่ที่นางยังไม่รู้
เย่จื่อมู่มองดวงตาแวววาวเต็มไปด้วยน้ำตาของมู่จื่อหลิง ใบหน้าเบะจะร้องไห้ ในใจบังเกิดความอาดูร
เขายกมือขึ้นอย่างช้าๆ ยื่นนิ้วเรียวยาวที่มีข้อกระดูกโปน ดีดไปที่หน้าผากมู่จื่อหลิง ริมฝีปากซีดขาวยกขึ้นเป็รอยยิ้มทรงเสน่ห์เช่นเดิม “เถ้าแก่มู่ มิได้บอกท่านแล้วหรือ อย่าได้หลงรักข้าเด็ดขาด ยังมองข้าอย่างเคลิบเคลิ้มทำอันใดกัน?”
“ผู้ใดหลงรักเ้ากัน” ความเจ็บบริเวณหน้าผากอย่างกะทันหัน ทำให้มู่จื่อหลิงได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตา น้ำเสียงเจือแววสะอึกสะอื้น
เย่จื่อมู่ชี้ไปที่ดวงตาแวววาวไปด้วยน้ำของมู่จื่อหลิง “ยังพูดว่าไม่อยู่อีก ดูสิ น้ำตาจะไหลออกมาอยู่แล้ว นี่ไม่ได้ลุ่มหลงรูปโฉมหล่อเหลาของข้าจนร้องไห้กระมัง?”
มู่จื่อหลิงค้อนใส่อย่างอารมณ์เสีย ปัดมือเขาออกทันที “ท่านเป็นกยูงหรือ? หลงตนเองเพียงนี้ ท่านไม่อาย ข้ายังอายแทนท่านแล้ว อีกอย่างท่านไม่ใช่ตั๋วทอง ที่แต่ละคนเห็นก็จะหลงรัก”
ร่างกายของเย่จื่อมู่นั้นปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง แขนที่ได้รับาเ็ถูกมู่จื่อหลิงปัดเช่นนี้ ทั้งตัวก็เกือบจะตกต้นไม้ลงไป
ในชั่วพริบตานั้น มู่จื่อหลิงก็รีบพยุงเย่จื่อมู่เอาไว้ ทำให้ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของเขามั่นคง “พ่อค้าหน้าเื ท่าน...”
คำพูดนางยังไม่จบก็รู้สึกว่ามือที่วางอยู่บนแผ่นหลังของเย่จื่อมู่นั้นเหนียวหนึบ
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นมามองตามสัญชาตญาณ
เื เืเหนียวเหนอะ ติดอยู่เต็มมือของนาง เป็ภาพที่ละลานตา และกลิ่นเืที่บีบหัวใจ
มู่จื่อหลิงขมวดหัวคิ้วแน่น ในใจอดตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้ นางย้ายสายตาไปที่แผ่นหลังของเย่จื่อมู่ตามสัญชาตญาณ
เพียงแวบแรก อาภรณ์สีแดงด้านหลังของเย่จื่อมู่กลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่มีดี เหวอะหวะไปหมด สีแดงก็ดูน่าสยดสยองขึ้นไปอีก ทำให้คนไม่อาจอดทนมองตรงๆ ได้
เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็รอยแผลจากการถูกหมาป่ากัดทึ้งอย่างโเี้
“พ่อค้าหน้าเื เป็อย่างไรบ้าง ท่านเจ็บหรือไม่?” มู่จื่อหลิงร้อนใจขึ้นมา ในใจแสบร้อน ม่านน้ำที่ก่อตัวขึ้นในดวงตาก็กลิ้งลงมาอย่างไม่รู้ตัว
าแที่ถูกกัดจนเืไหลซิบมากมายเพียงนี้ แค่มองนางก็เจ็บไปหมดแล้ว
เดิมมู่จื่อหลิงคิดว่าเย่จื่อมู่ได้รับาเ็เพียงที่แขนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่า เขาจะาเ็สาหัสเพียงนี้ และเขาก็ยังฝืนทน ยังอดทนแย้มยิ้มล้อเล่นกับนาง
มิน่าเล่าการจู่โจมของหมาป่าฝูงใหญ่เพียงนั้น บนตัวนางกลับไม่มีาแกัดทึ้งแม้แต่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะถูกเย่จื่อมู่บังไว้จนหมด
นางโชคดีอย่างไร ทำให้คนที่พบกันอย่างบังเอิญเสียสละเอาตัวเข้าช่วยเหลือเพียงนี้
ในชั่วขณะนี้มู่จื่อหลิงรู้เพียงว่า ในใจนางเต็มไปด้วยความทุกข์ และยังเต็มไปด้วยความทรมานใจ
เย่จื่อมู่ เ้าเป็ใครกันแน่?
เหตุใดจึงต้องเสียสละตนเองช่วยชีวิตข้าให้รอดจากปากหมาป่าเพียงนี้
“ไอ้หยา จะไม่เจ็บได้อย่างไร เจ็บนัก ข้าเจ็บจนจะตายอยู่แล้ว” เย่จื่อมู่ยกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้ามู่จื่อหลิงพลางส่งเสียงร้องอย่างเ็ป
การแสดงนี้เกินจริงยิ่งนัก สวมหน้ากากผีเสื้ออันเ็า แต่ท่าทางเจ็บจนนิ่วหน้ากลับทำได้สมจริง ดูแล้วน่าขบขันนัก
เย่จื่อมู่ช่างเป็คนรู้ทิศทางลมจริงๆ!
“ท่านนั่งให้ดี ข้าจะใส่ยาพันแผลให้” มู่จื่อหลิงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้โดยพลัน นางรู้ว่าเย่จื่อมู่เจ็บจริงๆ แต่ก็ไม่จำเป็ต้องแสดงออกเกินจริงเช่นนี้
มู่จื่อหลิงฉีกแขนเสื้อของเย่จื่อมู่ออก มองาแเ่าั้อยู่นาน ดวงตาก็เริ่มแดงเรื่อขึ้นมา นางพูดเสียงเบา “พ่อค้าหน้าเื ขอโทษนะ”
เย่จื่อมู่มองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความปวดใจ พูดเสียงแ่เบา “เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ มิจำเป็ต้องพูดสามคำนี้กับข้าไปตลอดกาล”
“ท่านว่าอะไรนะ?” มู่จื่อหลิงเงยศีรษะขึ้นอย่างงงงวย เสียงของเย่จื่อมู่แ่เบาจนนางได้ยินไม่ชัดเจนอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าเถ้าแก่มู่รู้สึกผิดต่อข้าจริงๆ ล่ะก็ มิสู้...มิสู้แบ่งรายได้ในภายหน้าของหลิงซั่นถังให้ข้าเจ็ดส่วน เป็อย่างไร?” เย่จื่อมู่เท้าคาง โค้งริมฝีปากเป็รอยยิ้มร้าย
พรวด...มู่จื่อหลิงเกือบกระอักเืออกมา
นางเบิกตาโตในทันที ร้องอย่างเกินจริง “อะไรนะ? ต้องแบ่งให้เจ็ดส่วน?”
“ใช่ เจ็ดส่วน” เย่จื่อมู่พยักหน้า ตอบอย่างมั่นใจ
หลังจากนั้นประเดี๋ยวเดียว ในที่สุดมู่จื่อหลิงก็ตัดสินใจ หัวใจเปี่ยมไปด้วยความเ็ป “เจ็ดส่วนมากไปแล้ว มากสุดให้ท่านได้แค่ห้าส่วน”
นางก็รู้ว่าพ่อค้าหน้าเืไม่ว่าอย่างไร นิสัยเดิมของพ่อค้าหน้าเืก็ยังอยู่ ในเวลาคับขันยังไม่ลืมขูดรีดนางอย่างโหดร้ายสักหน
เหลือให้นางเพียงสามส่วน เช่นนั้นนางเปิดร้านยาแห่งนี้จะยังมีความหมายอยู่อีกหรือ? ต่อไปเถ้าแก่ผู้นี้ยังจะมีเงินเข้ามืออย่างชื่นใจอยู่หรือ?
นางก็รักเงินเช่นกัน!
นางชอบความรู้สึกของการนับเงินจนมือเป็ตะคริวเช่นนั้นเหมือนกัน!
เจ็ดส่วน? พ่อค้าหน้าเืผู้นี้กล้าพูดเช่นนี้ มิสู้บอกให้นางยกหลิงซั่นถังมอบให้ด้วยสองมือเลยเล่า
ในเวลานี้ ใจมู่จื่อหลิงก็แทบจะคลุ้มคลั่งอยู่แล้ว
“เอาเถอะ ห้าส่วนก็ห้าส่วน” เย่จื่อมู่ถอนหายใจเบาๆ ด้วยท่าทางมีเหตุผลและใจกว้าง
ถ้าไม่เพราะเย่จื่อมู่ได้รับาเ็ ถ้าไม่เพราะฝูงหมาป่าใต้ต้นไม้จ้องตาเป็มัน มู่จื่อหลิงจะต้องผลักเย่จื่อมู่ลงไปเป็แน่
ได้ประโยชน์มากเพียงนั้น ยังทำเป็ผู้บริสุทธิ์ มีเหตุผล เข้าอกเข้าใจ ตนเองกลับทำเป็เสียประโยชน์ มีเช่นนี้ที่ใดกัน เนื้อแท้ของพ่อค้าหน้าเืไร้อันใดจะมาเปรียบเทียบ ช่างเ้าเล่ห์ยิ่งนัก
แม้จะแบ่งเงินจากรายได้ภายหน้าของหลิงซั่นถังไปครึ่งหนึ่ง ชดเชยชีวิตตนเอง แต่มู่จื่อหลิงก็รู้สึกเ็ปจนแทบทนไม่ได้
กิจการของหลิงซั่นถังในยามนี้เฟื่องฟูไม่ใช่เล่น ไม่กี่วันก่อนหน้าก็เชิญผู้ช่วยมาเพิ่มอีกสองคน คนเข้าๆ ออกๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยเม็ดเงิน!
รายได้ที่ได้มาอย่างยากลำบาก ได้รับเพียงครึ่งหนึ่ง จะไม่ให้นางเ็ปได้อย่างไร
เย่จื่อมู่สายตาสั่นไหว มองสีหน้าขมขื่นของมู่จื่อหลิง เย่จื่อมู่ก็มุมปากกระตุก ลอบพูดอย่างจนปัญญา ยายหนูโง่งมรักเงินยิ่งกว่าชีวิตเสียอีกได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงก้มศีรษะช่วยเย่จื่อมู่จัดการาแโดยละเอียด นางถามอย่างอดไม่ไหว “พ่อค้าหน้าเื เหตุใดท่านต้องช่วยชีวิตข้า?”
เย่จื่อมู่มองมู่จื่อหลิงจัดการาแอย่างระมัดระวัง ดวงตาเต็มไปด้วยความพะเน้าพะนอ เขาเอ่ยปากเสียงแ่ “เห็นคนจะตายไม่ช่วยมิใช่วิสัยของข้า อีกอย่าง ถ้าไม่มีเถ้าแก่มู่ ใครจะยังลับฝีปากเป็เพื่อนข้าได้อีก!”
เย่จื่อมู่กำลังพูดไร้สาระอีกแล้ว!
มู่จื่อหลิงพลันถูกเย่จื่อมู่ทำให้ทั้งฉิวทั้งขัน หมดคำพูดกับเขาเหลือเกิน
เย่จื่อมู่ไม่พูดก็พอทำเนา เพียงเปิดปากก็ทำให้คนโมโหอยากหาเต้าหู้มาชนตาย
ในขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังจัดการาแ เย่จื่อมู่ก็ก้มศีรษะลงไปมองหมาป่าที่รูปร่างใหญ่กว่าตัวอื่นเล็กน้อยด้านล่าง “จุ๊ๆ เถ้าแก่มู่ ท่านมีความสามารถนัก! แค่เข้ามาในป่าสายหมอกก็สามารถยั่วโทสะาาหมาป่าได้ ข้านับถือ”
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังแอบยินดีในใจ ยินดีที่ครั้งนี้มู่จื่อหลิงรอดพ้นจากภยันตรายอันน่าอกสั่นขวัญแขวนนี้ไปได้
าาหมาป่าปกครองหมาป่าทั่วทั้งป่าสายหมอก ปกติจะปรากฏตัวน้อยครั้งนัก ถ้ามีเื่ใหญ่เกิดขึ้นมันก็จะแหงนหน้าส่งเสียงหอนแบบพิเศษ หมาป่าทั้งป่าสายหมอกก็จะปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน
หมาป่าในป่าสายหมอกมีมากเท่าใด ใครก็ไม่รู้ โดยสรุปคือเป็ตัวเลขน่ากลัวที่ทำให้คนสยดสยอง
ปัจจุบันพวกเขายังคงปลอดภัย โชคดีที่มีหมาป่าแค่สิบกว่าตัวเท่านั้น มิเช่นนั้นต้นไม้ที่พวกเขาอยู่นี้คงโค่นไปแล้ว
มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุก หน้าผากปรากฏเส้นสีดำสามเส้น นี่พ่อค้าหน้าเืกำลังชมนาง? หรือกำลังด่านางกัน?
“ข้ามิได้หาเื่ใส่ตนเอง ว่างจนไปยั่วยุฝูงหมาป่า หมาป่าฝูงนี้ ข้าสงสัยว่ามีคนเรียกมาให้สังหารข้าให้ตาย”
นางเอาชีวิตรอดมาจากความตายท่ามกลางอันตราย ครั้งนี้นางจะไม่ทนต่อไปอีกเด็ดขาด
เป็นายแห่งวังหลังแล้วอย่างไรเล่า? ฐานะสูงศักดิ์แล้วอย่างไรเล่า? ต่อให้พึ่งเพียงพลังของตนเองก็มิอาจถอนรากถอนโคน แต่กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่นางวาง ก็มิอาจทำเป็เหมือนไม่รับรู้ได้
“ผู้ใด?” เย่จื่อมู่ถามอย่างเคร่งขรึม
“ผู้ที่ข้าพูดคือเด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบ ท่านเชื่อหรือไม่?” มู่จื่อหลิงพูดล้อเล่น
“นี่! ข้าก็ไม่เชื่อสิ” สีหน้าของเย่จื่อมู่ไม่เชื่อ ทว่าในใจกลับปรากฏไอเย็นอันเฉียบคมซ่อนอยู่
มู่จื่อหลิงกลอกตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “ก็รู้อยู่แล้วว่าท่านไม่เชื่อ ที่จริงข้าก็ไม่เชื่อ”
าแบนร่างของเย่จื่อมู่ถึงดูแล้วจะเหวอะหวะ แต่ล้วนเป็าแภายนอก ไม่ได้หนักหนาจนถึงเอ็นและกระดูก
หลังจากที่มู่จื่อหลิงใส่ยาที่แผลแล้ว ไม่นานาแก็เริ่มสมาน
มู่จื่อหลิงจัดการาแของเย่จื่อมู่เรียบร้อยแล้ว ทว่าปัจจุบันพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่หลวง
ถ้าหมาป่าภายใต้ต้นไม้ไม่จากไปไหน พวกเขาคงมิอาจอยู่บนต้นไม้ได้ตลอดไปกระมัง?
“พ่อค้าหน้าเื ท่านมีวิธีหรือไม่?” มู่จื่อหลิงขมวดหัวคิ้วแน่น มองฝูงหมาป่าที่เต็มไปด้วยความดุร้ายด้านล่าง
ยามนี้ยาพิษในระบบซิงเฉินใช้จนหมดแล้ว นางเองก็หมดวิธีการเช่นกัน
“ข้าเองก็หมดวิธีการเช่นกัน เมื่อครู่เสียเืมากไป ไม่ถึงสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ ยามนี้แม้แต่แรงจะวิ่งหนีก็ไม่มีแล้ว” เย่จื่อมู่พูดเกินจริงยิ่งนัก ส่ายศีรษะทันที สองมือแบออก แสดงท่าทางไร้กำลังจะช่วยเหลือ
ส่วนเขาจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะวิ่งหนีจริงหรือไม่ คาดว่าคงมีแค่เขาเองที่รู้
มู่จื่อหลิงปวดศีรษะอย่างมาก ถอนหายใจเบาๆ “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
“รอ!” เย่จื่อมู่พูดออกมาคำเดียว แล้วเอนกายนอนบนลำต้นที่ใหญ่และแข็งแรง ปิดตางีบหลับ
คำง่ายๆ เพียงหนึ่งคำ กลับแฝงความหมายลึกซึ้ง
มู่จื่อหลิงไม่ได้คิดมาก พวกเขายามนี้ได้แต่รอให้หมาป่าจากไปเอง
แต่รอจนถึงตอนไหนนั้น มู่จื่อหลิงมองท้องฟ้าอย่างไร้คำพูด
มู่จื่อหลิงเห็นเย่จื่อมู่ไม่สนใจนาง นางก็หาตำแหน่งที่ปลอดภัย เข้าสู่ห้วงนิทรา เข้าไปสกัดยาในระบบซิงเฉิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้