“โม่เสวี่ยถง เ้ายังมีสิ่งใดแก้ตัวได้อีก” โม่อวี่เฟิงย่อมไม่ทิ้งโอกาส ถลึงตาใส่นางแล้วตวาดอย่างรุนแรง “คิดไม่ถึงว่าจะเป็สตรีที่มีจิตใจดั่งอสรพิษเยี่ยงนี้ เสียแรงที่ิ่เอ๋อร์ดีกับเ้า”
ใครๆ ก็มองออกว่าเขากำลังโกรธจัด หากไม่ใช่ว่าข้างกายมีคนช่วยกันดึงเขาไว้สุดกำลัง ยามนี้เขาคงะโเข้าไปลงมือกับนางแล้ว
“น้องสาม เป็เ้าจริงๆ หรือ ทำไมต้องมาทำร้ายอี๋เหนียงด้วยเล่า แม้ว่านางจะทำบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็เป็ผู้าุโ ทำไมเ้าจึงใจคอโหดร้ายขนาดนี้...” โม่เสวี่ยิ่แสดงสีหน้าผิดหวัง มองหน้านางอย่างปวดร้าวใจเป็ที่สุด ดูราวกับไม่อยากเชื่อว่าจะมีน้องสาวที่มีนิสัยเลวร้ายเช่นนี้อยู่ในโลก
ดวงตาของนางหลุบต่ำเล็กน้อย ซ่อนความร้ายกาจเข้าไปในเบื้องลึกของดวงตา ละครเริ่มสนุกขึ้นมาแล้ว...
“พี่สาม ที่แท้ก็เป็ท่านนี่เอง ข้าล่ะนึกสงสัยท่านอยู่แล้วเชียว นอกจากท่านแล้วยังมีใครที่คิดร้ายต่อฟางอี๋เหนียงได้ขนาดนี้”
โม่เสวี่ยฉงทำท่าตื่นตระหนก กล่าวโทษเสียงดังร่วมผสมโรงใส่ไฟป้ายความผิดไปที่โม่เสวี่ยถง นางได้กลิ่นแผนการร้ายั้แ่เข้ามาแล้ว แต่กลับเห็นเป็เื่เริงใจ หากไม่ทุ่มหินลงบ่อเวลานี้แล้วจะให้รอถึงเวลาไหน
ทว่าโม่ฮว่าเหวินยังคงนิ่งขรึมสงวนวาจา ไม่มีผู้ใดมองออกว่าแววตาที่นิ่งลึกหยั่งไม่ถึงก้นบึ้งของเขามีสิ่งใดอยู่ แต่ทุกคนเชื่อว่าเขาต้องออกหน้าเพื่อปกป้องฟางอี๋เหนียงแน่นอน
สีหน้าของโม่เสวี่ยถงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางผลักโม่หลันที่ยืนกันท่าอยู่ด้านหน้าตนเองออกไป นางรับดอกหงฮวามาจากมือของท่านหมอ มองพิจารณาอย่างละเอียดก่อนผลิยิ้มเล็กน้อยแล้วถามว่า “ท่านหมอ แน่ใจแล้วหรือว่านี่คือดอกหงฮวา”
“นี่คือดอกหงฮวาแน่นอน ตัวข้าอยู่บนเส้นทางการแพทย์มาหลายปี จะไม่รู้จักแม้แต่ดอกหงฮวา หรือจำไม่ได้แม้แต่กลิ่นชะมดเช็ดซึ่งเป็พิษร้ายกาจเชียวหรือ คุณหนูท่านนี้อายุก็ยังน้อยนักไฉนจึงร้ายกาจเยี่ยงนี้ ต่อไปมิ...” หมอผู้นั้นเมื่อถูกโม่เสวี่ยถงสอบถามอย่างแคลงใจก็หน้าตึงลุกขึ้น ถือโอกาสกล่าววาจาทิ่มแทงนางทันที
“นายท่าน ช่วยจัดการให้ข้าอนุภรรยาด้วย นายท่าน ลูกของพวกเรา...” ฟางอี๋เหนียงฟื้นขึ้นมาพอดี พยายามจะยกศีรษะขึ้น ยื่นมือที่สั่นระริกไปดึงแขนเสื้อของโม่ฮว่าเหวิน ใบหน้าซีดเซียวดูน่าสงสาร จากปรกติที่เคยสดใสกระฉับกระเฉง บัดนี้เหลือเพียงความอ่อนแอเปราะบาง ร้องไห้จนเอ่ยวาจาต่อไปไม่ออก
โม่ฮว่าเหวินมุ่นคิ้วขมวดนั่งลงตรงนั้น มองโม่เสวี่ยถงด้วยแววตานิ่งลึกซึ่งปรกติไม่เคยมี เขายกมือขึ้นหมายสลัดมือของฟางอี๋เหนียงออก แต่เมื่อเห็นสายตาของโม่เสวี่ยถงก็ชะงักนิ่ง ภาพในอดีตพลันผุดขึ้นในสมอง สีหน้าก็ยิ่งนิ่งขรึมลงเรื่อยๆ หากเื่ที่เกิดตอนนี้เป็ความจริง เื่ที่เกิดขึ้นตอนนั้นย่อมไม่มีใครปรักปรำนาง
เขาไม่อยากเชื่อความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า จะไม่ให้เขารู้สึกปวดใจได้อย่างไร ถงเอ๋อร์ของเขาเติบโตขึ้นมาเป็สตรีที่มีจิตใจโเี้ มีเจตนาซ่อนเร้นที่ร้ายลึกถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะเป็ไปได้อย่างไร
ไม่! เป็ไปไม่ได้!
ไม่ว่าตนเองจะ้าบุตรคนนี้หรือไม่ ถงเอ๋อร์ก็ไม่มีทางทำเช่นนี้
ลั่วเสียเป็สตรีที่มีจิตใจดีงาม จะให้กำเนิดบุตรสาวที่มีนิสัยเลวร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดเป็แน่
เมื่อคิดถึงความอ่อนโยนของบุตรสาว ความเศร้าสลดและความเ็ปก็เกาะกุมหัวใจ มือที่อยู่ภายใต้ชายเสื้อกำหมัดแน่น เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าบุตรสาวที่ตนเองรักสุดหัวใจจะเป็สตรีใจคอโเี้ ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด...
หากกล่าวถึงเื่เมื่อหนึ่งปีก่อน หัวใจของเขาเหมือนถูกเข็มทิ่มตำ เื่ในตอนนี้กลับเหมือนเป็การตอกย้ำให้เขามองเห็นเข็มที่ทิ่มแทงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ถงเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่มีจิตใจงดงามจริงๆ หรือ
แต่เมื่อเงยหน้ามองบุตรสาว ดวงตาใสแจ๋วราวกับหยดน้ำบริสุทธิ์มองจ้องเขาอยู่ ผู้มีดวงตาใสซื่อเยี่ยงนี้จะเป็คนแบบนั้นไปได้อย่างไร
เขามองเห็นสตรีอีกคนในดวงตางดงามคู่นั้น ลั่วเสียเคยใช้สายตาที่บริสุทธิ์สดใสแบบนี้จ้องมองเขา ไม่... ถงเอ๋อร์ไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเกิดความแคลงใจต่อนางได้อย่างไร สงสัยความบริสุทธิ์ในดวงตาของนางได้อย่างไร ไม่มีวัน นางไม่มีทางเป็แบบนั้น
หัวใจเคยเ็ปจนแทบแหลกสลายมาครั้งหนึ่งแล้ว หากต้องเจออีกครั้ง สู้เขายอมตายเสียดีกว่า
โม่ฮว่าเหวินสูดหายใจลึกข่มความระแวงในหัวใจลง แล้วดึงแขนเสื้อออกจากมือของฟางอี๋เหนียง เหลือบตามองโม่เสวี่ยถงก่อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถงเอ๋อร์ เ้าไม่รู้เื่เหล่านี้จริงๆ หรือ”
โม่ฮว่าเหวินเตรียมใจไว้แล้ว ขอเพียงถงเอ๋อร์บอกว่าไม่รู้ เขาก็พร้อมจะเชื่อนาง
ไม่ใช่เพราะอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่นึกถึงดวงตาใสบริสุทธิ์ของนางที่เคยมองตนเองอย่างสิ้นหวังและอ้างว้าง ความเ็ปปานหัวใจถูกฉีกขาดแบบนั้น เขาไม่มีวันรับได้อีก
“ท่านพ่อ ข้าถูกปรักปรำ” เดิมทีโม่เสวี่ยถงไม่อยากเอ่ยคำพูดนี้ แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสลดของบิดา หัวใจของนางพลันอ่อนยวบ ความโศกเศร้าแทรกเข้ามาในหัวใจ ไม่ว่าใครจะเล่นงานใคร สำหรับท่านพ่อแล้วล้วนไม่ต่างกัน ทุกคนต่างเป็บุตรสาวของเขา แม้ว่าโม่เสวี่ยิ่จะอำมหิตปานใด นางก็ได้แต่ให้เขาค่อยๆ เข้าใจแจ่มชัดด้วยตนเองทีละก้าว
“พี่ชายใหญ่ พี่หญิงใหญ่ พวกท่านต่างคิดว่าข้าทำให้ฟางอี๋เหนียงแท้งบุตรเช่นนั้นหรือ ถามหน่อยว่าข้าทำเช่นนั้นแล้วได้ประโยชน์อย่างไร” นางหันไปถามโม่เสวี่ยิ่และโม่อวี่เฟิงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ฟางอี๋เหนียงมีบุตรชายและบุตรสาวอยู่แล้ว แม้ว่าขาดบุตรคนนี้ไปสักคนก็ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด แล้วไยนางจะเอาตนเองเข้าเสี่ยงเพื่อลงมือกับเด็กคนนี้ทั้งที่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อสถานะของฟางอี๋เหนียงทั้งสิ้น คำพูดประโยคนี้ทำให้โม่ฮว่าเหวินรู้สึกโล่งใจ ถงเอ๋อร์มิได้ทำเื่นี้จริงๆ
“เพราะเ้ากลัวว่าหากท่านพ่อได้บุตรชายอีกคน จะตั้งฟางอี๋เหนียงขึ้นเป็ภรรยาเอก ดังนั้นจึงคิดตัดไฟแต่ต้นลม” โม่อวี่เฟิงโต้กลับด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“ท่านพ่อจะตั้งอี๋เหนียงขึ้นเป็ภรรยาเอกหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ท่านพ่อไม่มีวันแต่งตั้งสตรีที่มีใจคอโเี้ขึ้นมาเป็ภรรยาเอกอย่างแน่นอน” โม่เสวี่ยถงสีหน้าไม่เปลี่ยน ทั้งยังกล่าวกระทบกระเทียบโม่อวี่เฟิง “พี่ใหญ่ เหนือศีรษะสามฉื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เื่ที่พวกท่านคิดว่าควบคุมได้ก็อาจมีการพลิกผัน ท่านกล้าพูดจริงๆ หรือว่าข้าเป็คนทำร้ายเด็กในท้องของฟางอี๋เหนียง”
คนบางคนหากไม่ใช้อำนาจข่มเสียบ้างก็มักจะลืมนึกถึงสถานะของตน เป็เพียงบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา คิดว่าตนเองเป็บุตรชายคนสำคัญที่แท้จริงของจวนนี้หรืออย่างไร
เมื่อเห็นแววตาเยาะหยันของโม่เสวี่ยถง หัวใจของโม่อวี่เฟิงพลันหดรัด แต่ทันทีที่ได้สติคืนมาก็รีบเอ่ยวาจาโต้กลับทันที
“กล้าหรือไม่ตนเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ โม่เสวี่ยถง มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าสตรีท่าทางอ่อนแออย่างเ้าจะเป็แค่การแสดงออกให้ผู้อื่นดู ใบหน้าชวนให้ผู้คนรู้สึกสงสาร แต่จิตใจกลับดำมืด ดอกหงฮวากับกำยานที่มีกลิ่นชะมดเช็ดถูกวางไว้ด้วยกัน เ้าคงไม่เพียงแค่คิดร้ายต่อบุตรในท้องของอี๋เหนียง ยังคิดจะเอาชีวิตของนางด้วยกระมัง”
“พี่หญิงใหญ่ก็คิดว่าข้าทำร้ายบุตรในครรภ์ของฟางอี๋เหนียงกระนั้นหรือ” โม่เสวี่ยถงหันไปถามโม่เสวี่ยิ่ นางอุตส่าห์ทุ่มเทใจกายหมายจะลากนางลงน้ำให้ได้ ไฉนเลยตนเองจะให้นางรอดตัวไปคนเดียวเล่า
“น้องสาม ถึงตอนนี้แล้วเ้ายังไม่รู้สำนึกอีกหรือ แม้ว่าเ้าจะไม่ชอบอี๋เหนียงเพียงใด แต่นั่นก็เป็อีกหนึ่งชีวิตเชียวนะ เด็กมีความผิดอันใด ไม่ว่าจะเกิดมาในท้องของผู้ใดก็ล้วนแล้วแต่เป็ชีวิตที่บริสุทธิ์ น้องสาม เ้าลงมืออย่างโเี้เช่นนี้ได้อย่างไร” โม่เสวี่ยิ่แสดงท่าทางโศกเศร้าสุดประมาณ ทุกถ้อยคำล้วนจิกกัดโม่เสวี่ยถงไม่ปล่อย
นางอุตส่าห์ใช้ชีวิตบุตรในครรภ์ของฟางอี๋เหนียงเป็เดิมพัน ไหนเลยจะปล่อยให้โม่เสวี่ยถงรอดตัวไปได้
ความชิงชังทอวาบในดวงตา แต่เพียงไม่นานก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยสายตาตัดพ้อที่มองโม่เสวี่ยถง
โม่เสวี่ยถงมองนางเล่นละครฉากใหญ่ด้วยแววตาเยาะหยัน ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ โม่เสวี่ยิ่ล้วนเล่นละครเก่งที่สุด ทั้งที่จิกกัดตนเองอยู่ก็ยังสามารถแสดงบทบาทพี่สาวผู้แสนดีได้อีกด้วย
แต่ตนเองจะให้นางสมหวังได้อย่างไร ฟางอี๋เหนียงกับโม่เสวี่ยิ่ติดหนี้นางและมารดา นางจะค่อยๆ เก็บคืนทีละน้อย วันนี้ก็แค่เก็บดอกเบี้ยนิดๆ หน่อยๆ ความตายมิใช่จุดจบเพียงหนึ่งเดียว ความเคียดแค้นเยี่ยงนั้น ตนจะให้พวกนางสุขสบายเกินไปได้อย่างไร
โม่เสวี่ยิ่อยากเป็ธิดาภรรยาเอก เพื่อตนเองจะได้แต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์มิใช่หรือ
ริมฝีปากคลี่ยิ้มเยาะหยันบางๆ ไม่นำพาต่อโม่เสวี่ยิ่ นางถือดอกหงฮวาที่รับมาจากท่านหมอเดินไปที่เตากำยาน แล้วเป่าไฟให้ดับ โม่หลันส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ แล้วนำเถ้ากำยานกับดอกหงฮวาใส่รวมกันไว้ในห่อกระดาษ
“น้องสามพยานบุคคล พยานวัตถุพรั่งพร้อมแบบนี้ เ้ายังคิดจะบิดพลิ้วอันใดอีก” เมื่อเห็นอีกฝ่ายนำของสองอย่างรวมไว้ด้วยกันด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่แสดงความเสียใจ ไม่บันดาลโทสะเพราะถูกปรักปรำอย่างที่ตนเองจินตนาการไว้ โม่เสวี่ยิ่ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมารางๆ เอ่ยปากถามตามจิตใต้สำนึก
“พี่หญิงไม่คิดหรือว่ามีหลักฐานเหลือไว้ครบถ้วนเช่นนี้ หากมีคนเป็พยานรู้เห็นเพิ่มก็จะยิ่งดีกว่านี้อีก จะได้ไม่เป็การถูกกล่าวหาว่าใช้หมอเถื่อนจากยุทธภพที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็ผู้ตัดสิน” โม่เสวี่ยถงห่อกระดาษไว้อย่างดี ไม่เห็นความกระวนกระวายบนสีหน้าแม้แต่น้อย
“จะเป็หมอเถื่อนจากยุทธภพได้อย่างไร หมอท่านนี้มีชื่อเสียงในเมืองหลวง มีคนมากมายเชิญเขาไปรักษาถึงบ้าน ยามที่อี๋เหนียงทุกคนในจวนไม่สบายก็ได้เขามารักษา ถือว่าเป็ผู้มีชื่อเสียงเป็ที่รู้จัก” โม่เสวี่ยิ่มุ่นคิ้วขมวด
สายตาของโม่เสวี่ยถงเลื่อนมาพิจารณาใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่ช้าๆ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “เมื่อก่อนพี่หญิงก็เคยย้ำกับข้าเป็พิเศษมิใช่หรือว่า สิ่งที่ได้ยินมาไม่แน่ว่าจะเป็เื่จริงเสมอไป ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าหมอที่มีวิชาแพทย์สูงส่งคนใดจะมารักษาให้ผู้เป็อนุภรรยา”
สายตาของโม่เสวี่ยถงที่กวาดมองมาทำให้หมอผู้นั้นรู้สึกหนาวเยือกถึงกระดูก กลัวจนหัวหด คำพูดที่คิดจะใช้โต้เถียงออกพลันจุกอยู่ในลำคอ
หมอที่มารักษาอาการเจ็บไข้ให้กับอนุภรรยาที่มีสถานะกึ่งบ่าวไพร่ ก็ไม่อาจนับว่าเป็บุคคลที่ยิ่งใหญ่อันใดอย่างแท้จริง คำกล่าวนี้ทำให้โม่เสวี่ยิ่หน้าแดงก่ำ ไปต่อไม่ถูก
“คุณหนู แต่ท่านก็ไม่อาจใส่ความข้าเพื่อปัดความรับผิดชอบเช่นนี้” หลังจากถูกฟางอี๋เหนียงถลึงตาใส่ หมอผู้นั้นก็ยืดอกกล่าวทัดทานด้วยความโมโห
โม่ฮว่าเหวินมองดูอยู่เงียบๆ ยามนี้ก็พอมองเหตุการณ์บางอย่างออกแล้ว เขาเป็ถึงขุนนางในราชสำนักที่จักรพรรดิจงเหวินตี้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำงานสำคัญ ย่อมเป็ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ที่เมื่อครู่รู้สึกสับสนเพราะความเป็ห่วง ยามนี้เมื่อเห็นความสงบนิ่งของโม่เสวี่ยถงจึงวางใจลงได้ มุ่นคิ้วหันไปมองพิจารณาท่านหมอที่อยู่ตรงหน้าั้แ่หัวจรดเท้า
ปรกติแล้วในจวนก็ใช้ท่านหมอผู้นี้อยู่บ่อยครั้ง วันนี้เหล่าไท่ไท่ไม่สบาย เขาจึงให้บ่าวไปเชิญมา คนในจวนไม่ว่าจะป่วยหนักหรือเจ็บไข้เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็เขาที่มารักษา ตนเองไม่เคยสังเกตหมอผู้นี้มาก่อน ยามนี้พอได้ยินโม่เสวี่ยถงเอ่ยถึง พอเห็นหมอผู้นี้ดูท่าทางข้างนอกแข็งแกร่งข้างในแห้งกลวงเยี่ยงนี้ก็อดแคลงใจมิได้
“ใส่ร้ายท่านหรือไม่ คงต้องให้สาธารณชนเป็ผู้ตัดสิน ท่านพ่อช่วยไปเชิญคุณชายไป๋มาได้ไหมเ้าคะ คำพูดของเขาน่าจะถูกต้องที่สุดกระมัง” โม่เสวี่ยถงไม่แยแสหมอผู้นั้น หันไปพูดกับโม่ฮว่าเหวิน “หากคุณชายไป๋พิสูจน์ได้ว่าข้าเป็ผู้บริสุทธิ์ พี่ชายกับพี่หญิงจะว่าอย่างไร”
ทักษะด้านการแพทย์ของไป๋อี้เฮ่าเป็ที่ยอมรับของสาธารณชน แม้แต่ชีวิตของไทเฮาที่คณะหมอหลวงต่างจนปัญญาแล้ว เขายังสามารถฉุดกลับมาจากหน้าประตูผีได้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดแคลงใจในวิชาแพทย์ของเขา แต่การเชิญมามิใช่เื่ง่าย แทบไม่เคยได้ยินว่าเขาออกไปรักษาให้ใคร อย่างมากก็ช่วยเขียนเทียบยาให้
“หากเป็เช่นนั้นพวกเราก็จะโขกศีรษะคำนับให้น้องสาม ยอมรับแต่โดยดีว่าปรักปรำเ้าและคุกเข่ายกน้ำชา” โม่อวี้เฟิงยิ้มเยาะกล่าวรับทันที หลักฐานพวกนี้เป็ของจริง น้องหญิงของเขาให้คนมาสับเปลี่ยนกำยานไว้แล้ว วันนี้ตอนที่เข้ามาฟางอี๋เหนียงก็เป็คนนำดอกหงฮวาเข้ามาเอง แล้วซ่อนไว้ใต้หมอน ดังนั้นไม่ว่าใครมาเป็ผู้พิสูจน์เขาย่อมไม่กลัว
พวกเขาสามแม่ลูกวางแผนไว้อย่างดี จะกำจัดโม่เสวี่ยถงให้ได้ในวันนี้ เขาไม่เชื่อว่าเมื่อท่านพ่อทราบความจริงจะยังคงปกป้องนังเด็กสมควรตายผู้นี้อยู่ ขอเพียงโค่นนางได้ ท่านพ่อต้องรู้สึกละอายใจต่อบุตรที่สูญเสียไปจนคิดหาทางชดเชยให้ เส้นทางขึ้นเป็ภรรยาเอกของฟางอี๋เหนียงย่อมไร้อุปสรรคขัดขวาง
แค่เปลี่ยนน้ำใสให้กลายเป็น้ำขุ่น นังเด็กชั้นต่ำผู้นั้นก็กลายมาเป็เครื่องสังเวยอำนาจวาสนาให้พวกเขาสามแม่ลูกแล้ว
“แล้วพี่หญิงใหญ่เล่าจะว่าอย่างไร” โม่เสวี่ยถงมองไปที่โม่เสวี่ยิ่ แววตาของนางมิได้กระจ่างสดใสเหมือนทุกครั้ง ทว่ากลับนิ่งลึกและเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ชนิดที่ว่าเมื่อตกไปแห่งหนใดก็แทบทำให้ที่นั่นกลายเป็น้ำแข็ง โม่เสวี่ยิ่ยังอดสั่นสะท้านมิได้ ยามนี้ตนเองขึ้นมาขี่บนหลังเสือแล้วไม่อาจลงได้อีก นางย่อมมีใจเดียวกับโม่อวี่เฟิง เมื่อปรายหางตามองฟางอี๋เหนียงที่แสร้งทำเป็ลมหมดสติ หัวคิ้วก็มุ่นเล็กน้อย ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำเอ่อคลอ แสร้งทำท่าทางเหมือนคนผิดหวังในตัวของอีกฝ่าย
“ข้าย่อมมีความเห็นเดียวกับพี่ชาย แต่น้องสามคงยังไม่ยอมรับอีกกระมัง เ้าทำแบบนี้ไปได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าพี่สาวปวดใจแค่ไหน...”
ปวดใจมากเลยหรือ? อีกประเดี๋ยวเ้าจะเ็ปยิ่งกว่านี้!
“แต่หากพิสูจน์ได้ว่าเป็น้องสามทำจริงๆ เ้าจะทำอย่างไร” โม่เสวี่ยิ่เปลี่ยนหัวข้อทันที ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ วาจาคมกล้าหลุดออกจากริมฝีปาก
“แล้วพี่ชายกับพี่หญิงปรารถนาจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า” โม่เสวี่ยถงถามเสียงเรียบ มองทั้งสองคนด้วยแววตาล้ำลึก
“หากเ้าทำเื่นี้จริง โม่เสวี่ยถง... เ้าก็ไม่ใช่ธิดาสกุลโม่อีกต่อไป” โม่อวี่เฟิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา ทุกคนต่างเงียบกริบ สีหน้าตื่นตะลึง