การจะเข้าไปในเมืองฮุ่นยินได้ จำเป็ต้องจ่ายเงินผลึกหนึ่งเหรียญ
หลงอวี้คิดไปคิดมา ตอนนี้เขาคงได้แต่นำพวกยุทธภัณฑ์ในตัวที่ไม่ได้ใช้ไปแลกกับเงินผลึกจำนวนหนึ่งก่อนแล้ว ถุงมือิญญาล่องลอยที่เป็ยุทธภัณฑ์ระดับธรรมดาขั้นล่าง มันต้องไม่ได้ราคาเท่าไรแน่
ส่วนรองเท้าเหมันต์คลั่งนั้น แม้ว่าหลงอวี้จะสร้างสายสัมพันธ์ระดับผสานใจได้แล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ มันก็เป็แค่ยุทธภัณฑ์เสริมความเร็วที่มีระดับต่ำที่สุดอยู่ดี
รองเท้าเหมันต์คลั่งนั้นมีมูลค่ามากกว่าถุงมือิญญาเคลื่อนเล็กน้อย แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้มีราคาสูงสักเท่าไร บางทีทั้งสองชิ้นรวมกันยังแลกเงินผลึกไม่ได้สักเหรียญเลยด้วย
“ดูท่าคงต้องเอายันต์หยกะเิอัคคีไปแลกแล้ว”
ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาขั้นสูงที่ได้มาจากจ้าวตำหนักน้อยแห่งตำหนักซ่อนอัคคีหั่วฝู่ชิ้นนี้ มีระดับที่สูงมาก แม้แต่ในเมืองฮุ่นยินเองก็มีจำนวนไม่มาก!
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือผู้ที่ใช้งานมันได้ค่อนข้างจะมีจำกัด ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปคงไม่ซื้อไปใช้อยู่แล้ว
หากดูจากแง่นี้ล่ะก็ ราคาของมันจะต้องถูกลดลงไม่น้อยแน่
“ไอ้หนู เ้าเป็แม่ทัพเล็กจากกู่เิหรือ?”
ผู้ฝึกยุทธ์พเนจรระดับิญญาแท้ขั้นที่หนึ่งสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูเมืองนั้น พอเห็นหลงอวี้เดินไปเดินมาที่หน้าประตูเมืองแล้ว หนึ่งในสองคนนั้นก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าดูถูก
“อยากเข้าเมืองฮุ่นยินต้องจ่ายค่าเข้าเมืองหนึ่งเหรียญเงินผลึก ไม่อย่างนั้นห้ามเข้าเด็ดขาด!”
คนเฝ้าประตูนั่นสวมใส่ชุดเกราะที่เป็ยุทธภัณฑ์ระดับิญญา เอ่ยพูดขึ้นอย่างอวดเบ่ง
“ถ้าไม่มีเงินผลึกจ่ายก็รีบไสหัวออกไปซะ อย่ามายืนขวางให้รกหูรกตา!”
หลงอวี้เหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดจาไม่ดี แต่สิ่งที่พูดนั้นล้วนถูกต้องทั้งหมด
เ้าหมอนี่ต้องเป็ลูกกะจ๊อกของกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองฮุ่นยินแน่ หากหลงอวี้จัดการกับมันล่ะก็ต้องมีปัญหาตามมาไม่น้อยแน่ ไม่จำเป็ต้องลงมือ
“บนตัวข้าไม่มีเงินผลึก แต่มียุทธภัณฑ์ระดับิญญาชั้นสูงอยู่ชิ้นหนึ่ง เอาไว้ข้าแลกเป็เงินผลึกได้แล้วจะมาใหม่”
หลงอวี้ตอบกลับเสียงเรียบ
“เห้ย ไอ้หนูเ้ามียุทธภัณฑ์ระดับิญญาขั้นสูงอย่างนั้นหรือ?”
ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็เผยแววตาละโมบทันที
“ส่งยุทธภัณฑ์นั่นมาซะ ข้าจะซื้อมันด้วยราคาหนึ่งร้อยเหรียญเงินผลึก!”
“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ มูลค่าของยุทธภัณฑ์ระดับิญญาขั้นสูงมันสูงกว่าขั้นล่างอย่างน้อยสุดก็หนึ่งร้อยเท่าไม่ใช่หรือ”
ในดวงตาของหลงอวี้ฉายแววเ็า
“ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาขั้นล่างหนึ่งชิ้นสามารถแลกเงินผลึกได้สิบเหรียญ แต่เ้าจะซื้อยุทธภัณฑ์ระดับิญญาขั้นสูงของข้าในราคาแค่ร้อยเหรียญ แบบนั้นมันไม่น้อยไปหน่อยหรือ?”
“หุบปาก ให้เ้าหนึ่งร้อยเหรียญก็นับว่าเป็เกียรติของเ้าแล้ว! หากยังไม่รีบส่งยุทธภัณฑ์ออกมาอีกข้าจะหักขาเ้าทิ้งซะ!”
คนเฝ้าประตูผู้นั้นเผยสีหน้าดุร้ายเหี้ยมโหดพร้อมกับพูดข่มขู่
พอหลงอวี้ลองประเมินระดับพลังของอีกฝ่ายดูแล้วก็มีสีหน้าตื่นใเล็กน้อย
ไอ้คนเฝ้าประตูนี่มีระดับแค่ิญญาแท้ขั้นหนึ่งเท่านั้น แต่ยังกล้าพูดจาแบบนี้กับเขาที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับิญญาแท้ขั้นที่สองหรือ?
เห็นได้ชัดเลยว่ากลุ่มที่คอยดูแลเมืองฮุ่นยินอยู่มันมีอำนาจไม่เบาเลยทีเดียว!
แค่ลูกกะจ๊อกระดับิญญาแท้ขั้นที่หนึ่งที่เป็คนเฝ้าประตูก็ยังไม่หวาดกลัวหลงอวี้ที่มีระดับพลังสูงกว่ามันเลย!
ต่อให้ตัวพวกมันเองจะสู้ไม่ได้ พวกมันก็ไม่จำเป็ต้องกลัวอะไรอยู่ดี เพียงแค่ส่งเสียงะโเท่านั้น ก็จะมีกำลังเสริมออกมาจากในเมืองทันที!
อย่าว่าแต่หลงอวี้เลย ต่อให้เป็แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรกู่เิก็ยังไม่อยู่ในสายตาของพวกมันเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าหากเป็ยอดฝีมือระดับิญญาแท้ขั้นที่สี่แล้วจะสามารถเข้าเมืองฮุ่นยินได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินผลึกตามกฎของเมือง ลูกกะจ๊อกพวกนี้ก็ไม่กล้าขวางทางเช่นกัน
แม้ผู้ที่อยู่ในเมืองฮุ่นยินเกือบทั้งหมดจะเป็ยอดฝีมือระดับิญญาแท้แล้ว แต่ผู้ที่สามารถเปลี่ยนิญญาแท้เป็รูปธรรมแล้วก้าวขึ้นสู่ระดับิญญาแท้ขั้นที่สี่ได้ก็ยังมีอยู่เพียงหยิบมือเดียวอยู่ดี
ผู้ฝึกยุทธ์พเนจรในยุทธจักรเกือบทั้งหมดนั้นล้วนติดอยู่ตรง่คอขวดของระดับิญญาแท้ขั้นที่สามทั้งสิ้น ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจทะลวงผ่านไปได้
“มองอะไร?”
คนเฝ้าประตูนั่นข่มขู่ด้วยสีหน้าอำมหิต
“ถ้ายังไม่ส่งยุทธภัณฑ์มาอีกข้าจะเรียกคนออกมาแล้วนะ!”
การที่อีกฝ่ายวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ ทำให้หลงอวี้มีน้ำโหขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ในเมื่อถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งขนาดนี้ ด้วยนิสัยของเขาแล้วย่อมไม่มีทางยอมทนอยู่เฉยๆ ต่อไปอยู่แล้ว
แม้แต่ฉู่เฉาเซิงเขายังกล้าหาเื่ มีหรือที่เขาจะกลัวอีแค่กลุ่มผู้มีอิทธิพลของเมืองฮุ่นยิน?
กลุ่มผู้มีอิทธิพลของเมืองเมืองหนึ่ง ไม่ว่าจะทรงอำนาจขนาดไหนก็ไม่มีทางเทียบกับจั่วหวังเหย่ของอาณาจักรได้อยู่แล้ว
พอเห็นว่าตรงนี้ได้เกิดความขัดแย้งขึ้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่เข้าออกเมืองฮุ่นยินพากันเข้ามามุงล้อมแล้วพูดคุยต่างๆ นานากันทันที
แต่ในตอนที่หลงอวี้กำลังคิดจะลงมือแล้วนั่นเอง อยู่ๆ ก็มีเงาร่างอันสูงศักดิ์ที่สวมชุดยาวสีดำผู้หนึ่งปรากฏตัวกะทันหัน และเข้ามาขวางระหว่างหลงอวี้และคนเฝ้าประตูคนนั้นไว้อย่างรวดเร็วและพลิ้วไหว!
“เงินผลึกหนึ่งเหรียญ เอาไป”
เสียงพูดอันเรียบเฉยของสตรีเพศก็ดังขึ้นจากสตรีชุดดำผู้นั้น ต่อจากนั้นนางก็ได้โยนเงินผลึกจันทราหนึ่งเหรียญไปทางคนเฝ้าประตู
หลงอวี้ชะงักไปอย่างอดไม่ได้ พอตั้งใจมองดูถึงได้พบว่า สตรีชุดดำผู้นี้คือผู้าุโของลัทธิสยบฟ้า เหยียนฮวนโม่!
ตอนที่เขาฝึกฝนอยู่บนป่าไผ่หลังูเาในลัทธิสยบฟ้านั้น เขาเคยพบเจอเหยียนฮวนโม่อยู่ครั้งหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางประลองฝีมือกับผู้าุโอีกคนหนึ่งที่ชื่อ อวี๋เซิ่งซื่อ เสร็จไปก่อนแล้ว
หลงอวี้ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้มาเจอกับผู้าุโของลัทธิสยบฟ้าที่นอกอาณาจักรต้าถังเช่นนี้!
ระดับพลังของเหยียนฮวนโม่ตอนนี้คือิญญาแท้ขั้นที่สี่
เมื่อนางปรากฏตัวแล้วโยนเหรียญจันทราหนึ่งเหรียญออกมา คนเฝ้าประตูนั่นก็เผยแววตาเสียดายออกมาทันที
ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาขั้นสูงดีๆ หนึ่งชิ้นหลุดมือไปเสียแล้ว!
“เข้าไปเถอะ”
ต่อให้เผชิญหน้ากับเหยียนฮวนโม่ คนเฝ้าประตูนี่ก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด ในแววตาฉายแววหวั่นเกรงออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
ระดับิญญาแท้ขั้นที่สี่นั้นเป็ตัวตนที่แตกต่างกับขั้นสามอย่างสิ้นเชิง
“ไปกันเถอะ”
เหยียนฮวนโม่ก้าวเท้าเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เงาร่างอันสูงศักดิ์ในชุดสีดำได้เดินเข้าไปในเมืองฮุ่นยินทันที
หลงอวี้ก็ย่อมต้องรีบเดินตามไปทันที
“ขอบพระคุณผู้าุโเหยียน”
“เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เหยียนฮวนโม่ไม่ได้หันกลับมามอง เพียงเอ่ยถามอย่างเรียบเฉยหนึ่งประโยค
นางเองก็คิดเหมือนกับคนอื่นๆ ว่าหลงอี้ได้เสียชีวิตไปแล้วหลังจากบุกฝ่าบึงอัสนีซ่อนฟ้าไป ข่าวนี้ถูกส่งกลับไปที่ลัทธิสยบฟ้าด้วยแล้วเช่นกัน ทำให้มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่อยากจะเชื่อกับข่าวนี้
แต่กระนั้น หลังจากผ่านไปสามเดือนแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวของหลงอวี้ส่งกลับมาอีกเลย ทำให้คนในลัทธิสยบฟ้าต้องจำใจยอมรับความจริง
หลงอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเื่ที่เขาพบเจอใน่ที่ผ่านมาโดยเลือกเฉพาะเื่ที่เล่าได้
หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองฮุ่นยิน เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แต่เดิมคิดว่าจะได้ดูเื่สนุกๆ ก็พากันผิดหวัง ไม่คิดว่าจะมีสาวงามผู้สูงศักดิ์เข้ามาขัดจังหวะกลางทางแล้วจัดการปัญหาได้ง่ายๆ เช่นนี้!
.......
หลังจากผ่านไปได้ไม่นาน เหยียนฮวนโม่ก็ได้พาหลงอวี้เข้าไปในเมืองฮุ่นยินก่อนจะเลือกร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้วหาที่นั่งบนชั้นสองของร้าน
โดยจากตำแหน่งที่นั่งที่นางเลือกนั้นสามารถมองเห็นถนนเส้นที่คึกคักมากที่สุดในเมืองฮุ่นยินได้อย่างชัดเจน ซึ่งการทานอาหารของร้านนี้หนึ่งมื้อนั้น อย่างน้อยสุดก็ต้องจ่ายด้วยเงินผลึกหลายเหรียญเลยทีเดียว!
หลงอวี้ไม่ได้กินอะไรมานานมากแล้วจริงๆ
่เวลาสามเดือนนั้น หากเปลี่ยนเป็คนอื่นคงจะตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรอีกแล้ว ยังดีที่เขามีสัญลักษณ์ัปรภพอยู่ สามารถใช้พลังสายฟ้ามาทดแทนพลังงานภายในร่างกายที่เสียไปได้
หลงอวี้มองออกว่าเหยียนฮวนโม่มาทำธุระบางอย่างที่เมืองฮุ่นยินนี้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก
“ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว”
เหยียนฮวนโม่ที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างนั้นได้แย้มยิ้มออกมาบางๆ
“เื่บางเื่นั้น ขอเพียงเ้ามั่นใจในตัวเองก็พอแล้ว ต่อให้เป็ข้าก็ไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรกับเ้าได้ ดูจากความเร็วในการพัฒนาของเ้า เกรงว่าอีกเพียงไม่นานก็จะสามารถก้าวข้ามข้าไปได้แล้ว”
“ผู้าุโเหยียนก็พูดเกินไป ระดับิญญาแท้ขั้นที่สี่ถือเป็่คอขวดครั้งใหญ่ที่ยากจะผ่านไปได้สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน”
หลงอวี้ส่ายหน้า
“สำหรับคนอื่นอาจจะใช่ แต่กับเ้า ข้าเชื่อว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนักหรอก”
เหยียนฮวนโม่แย้มยิ้มบางๆ
พอพูดถึงตรงนี้แล้ว ทั้งสองก็เหมือนจะไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี จึงเงียบไปซะเฉยๆ
หลงอวี้ค่อนข้างจะสำรวมกิริยามารยาทในการทานอาหารร่วมกับอีกฝ่าย ถึงอย่างไรนางก็เป็ถึงผู้าุโของลัทธิสยบฟ้า และที่สำคัญคือเขาไม่ค่อยรู้เื่ของเหยียนฮวนโม่สักเท่าไรนัก
เหยียนฮวนโม่ตอนนี้มัดผมมวย ตัวนางที่อยู่ภายใต้ชุดสีดำนั้นก็ดูราวกับเป็กุหลาบสีดำอันทรงเสน่ห์ ดึงดูดสายตาของผู้ฝึกยุทธ์บนชั้นสองของร้านอาหารแห่งนี้ไว้แทบทั้งหมด
แต่กระนั้นกลับไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายเลยแม้แต่คนเดียว!
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับิญญาแท้ขั้นที่สี่ ในสายตาของผู้คนทั้งหมดแล้วคือตัวตนที่น่าหวาดหวั่นครั่นคร้ามอย่างมาก
เพียงแต่ว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่มองมาทางหลงอวี้ด้วยสายตาอิจฉาริษยา
เป็แค่ไอ้หนูระดับิญญาแท้ขั้นที่สองกลับได้นั่งร่วมโต๊ะกับหญิงงามที่ดูสูงสง่าถึงเพียงนี้ มันช่างน่าโมโหเสียจริงๆ
ทันใดนั้นเอง อยู่หลงอวี้ก็นึกขึ้นได้ว่าจะพูดคุยเื่อะไรกับเหยียนฮวนโม่ดี
“จริงสิ ผู้าุโเหยียน ท่านรู้จักเจ็ดดาววิบัติรึเปล่า”
หลงอวี้เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าลูกพี่ของเ้าเติ้งซุ่นที่มากับฉือเสียวเสว่นั้นเป็หนึ่งในเจ็ดดาววิบัติ ทะเลดาวเย่หลุน และดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดอะไรบางอย่างกับหลงอวี้ด้วย!
แม้เขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมิตรหรือศัตรู แต่ในเมื่อได้พบกับเหยียนฮวนโม่แล้วก็ฉวยโอกาสนี้ถามหาข้อมูลของเ้านั่นไปด้วยเลยก็ดีเหมือนกัน
“เจ็ดดาววิบัติ...”
เมื่อเหยียนฮวนโม่ได้ยินแล้ว ดวงตาอันสูงส่งงดงามของนางก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
“เ้าเองก็เคยได้ยินชื่อนี้แล้วเหมือนกันหรือนี่ เจ็ดดาววิบัติ เป็ผู้ฝึกยุทธ์เจ็ดคนที่แข็งแกร่งทรงพลังสุดขีดแต่กลับมีชื่อเสียฉาวโฉ่เป็อย่างมากในอาณาจักรเทียนอวี้ ว่ากันว่าพวกมันทั้งเจ็ดคนล้วนก้าวขึ้นสู่ขอบเขตระดับคนผสานฟ้าแล้ว!”
อย่างที่คิด ระดับคนผสานฟ้า!
หลงอวี้พรั่นพรึงในใจ
การจะมีชื่อไปทั่วทั้งแผ่นดินเทียนอวี้ได้นั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องก้าวขึ้นสู่ระดับคนผสานฟ้าได้ก่อนเท่านั้น
ต่อให้เป็ยอดฝีมือระดับผสานิญญาแท้ก็ยังไม่อาจนับว่ายิ่งใหญ่อะไรหากอยู่บนเวทีใหญ่อย่างแผ่นดินเทียนอวี้
“อย่างนั้น ทะเลดาวเย่หลุนล่ะ?”
หลงอวี้ถามต่อ
“ทะเลดาวเย่หลุน”
เหยียนฮวนโม่ขมวดคิ้ว
“เป็หนึ่งในเจ็ดดาววิบัติที่อยู่อันดับท้ายสุด มีนามว่าเย่หลุน ทะเลดาวเป็ฉายาที่ผู้คนใช้เรียกเพื่อยกย่องเขา... รายละเอียดข้าก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนัก ต่อให้เป็ข้าก็ยังอยู่ห่างไกลจากระดับนั้นอีกไกลโข ข้ารู้เพียงว่า ทะเลดาวเย่หลุนผู้นี้เหมือนจะยังหนุ่มมาก เพิ่งจะผงาดขึ้นมาได้เมื่อไม่นานมานี้เอง”
เย่หลุน
หลงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ออกว่าตัวเขาไปข้องเกี่ยวกับเ้าเย่หลุนนี่ได้อย่างไร
หรือว่า จะเป็เพราะเื่บิดากับมารดาของเขา?
หลงจ้ายเทียนถูกขับไล่ออกจากอาณาจักรต้าถัง ไม่มีใครได้ข่าวมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ส่วนเป่ยอวี้เหยานั้นก็เป็คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนอวี้ ซึ่งหลงอวี้ยังไม่รู้เื่อะไรเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนอวี้เลยเหมือนกัน เขารู้แค่ว่าเป็มหาอำนาจอันแข็งแกร่งที่ทรงอำนาจเหนือกว่าอาณาจักรหนึ่งๆ เสียอีก
สาเหตุที่จะทำให้หลงอวี้จะไปข้องเกี่ยวกับยอดฝีมือระดับเจ็ดดาววิบัติได้ เขาก็นึกออกแค่เื่ของบิดาหรือมารดาเขาเท่านั้น
แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็อย่างไร ตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่อาจรู้ได้
เขารู้เพียงว่า ในรายชื่อคนที่เขาต้องระวังไว้ มีชื่อของทะเลดาวเย่หลุนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว!
“ข้างล่างนั่นเหมือนจะเป็คนรู้จักของเ้านะ”
ในจังหวะนั้นเอง เหยียนฮวนโม่ที่มองไปทางด้านล่างก็ได้ขยับริมฝีปากสีแดงขึ้นอย่างแ่เบา
หลงอวี้จึงหันไปมองทางนอกหน้าต่างทันที เขาเห็นคนรู้จักกำลังเดินมาจากทางประตูเมืองและผ่านร้านอาหารไป
มีทั้งหมดเจ็ดคน
ฉือเสียวเสว่ เติ้งซุ่น คนไม่รู้จักอีกสี่คน และคนสุดท้ายคือ เฟิงเหยา!
