สกุลลู่ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเลียนแบบแล้วไปเปิดขายแข่งตัดหน้าพวกเขาเลยหรือไร
เป็เพราะสกุลลู่เชื่อใจพวกเขามาก หรือว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาไม่สนใจการค้าเล็กๆ นี้?
คนทั้งสองต่างพากันอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมา นี่เป็ความเชื่อใจขนานแท้ เป็ความเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขาอันล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง เป็สิ่งล้ำค่าถึงขนาดว่ายังไม่เคยได้รับจากตระกูลของตนมาก่อนด้วยซ้ำ วันนี้กลับได้รับจากบ้านของสหายแทน
คนทั้งสองสบตากันไปทีหนึ่ง ต่างก็เห็นความแน่วแน่ในดวงตาอีกฝ่าย พวกเขาจะทำเื่ที่ผิดต่อความเชื่อใจนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้จะยากลำบากแค่ไหนก็อย่าได้คิดขัดขาสกุลลู่
คนสกุลลู่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขาได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นแล้ว หลายปีให้หลัง พวกเขาก็ยังเป็สหายที่เป็ดังพี่น้องต่างแซ่ของลู่เชียนไม่เปลี่ยนแปลง...
แต่สำหรับเสี่ยวหมี่ เนื่องจากนางไม่ได้คิดจะทำเส้นมันฝรั่งขายเป็กิจการหลักแต่อย่างใด เพราะนางเองก็รู้ว่ากรรมวิธีทำมันง่าย ต่อให้ไม่ใช่สกุลเฉิงสกุลหลิว ก็คงมีสกุลหม่าสกุลหลี่สกุลเฝิง...
ธุรกิจนี้ความน่าสนใจเพียงอย่างเดียวของมันก็คือความแปลกใหม่ สกุลลู่ริเริ่มทำก่อนรีบกอบโกยเงินทองตอนที่มันยังแปลกใหม่อยู่ แค่นี้ก็พอแล้ว
กลับเป็เฝิงเจี่ยนและผู้เฒ่าหยางที่มองออกว่าสองคนนี้คิดอะไรอยู่ พวกเขาจึงพากันยิ้มออกมา
ต้นข้าวด้านนอกถูกเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วจึงมองไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้มีการปลูกข้าวชุดแรกในภาคเหนือขึ้นที่นี่
คันไถถูกเก็บเข้าห้องเก็บของไปแล้ว เพิงผักสดยังไม่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ พวกผู้หญิงก็เย็บของเล่นกันอยู่แต่ในเรือนหลัง เนื่องจากพวกนางไม่เคยก้าวเท้าออกมาแม้ครึ่งก้าวจึงไม่อาจมองเห็นได้...
หากได้พบของเหล่านี้ เกรงว่าคนทั้งสองคงจะใจนตาหลุดออกมาแน่นอน
เฝิงเจี่ยนเงยหน้ามองแม่นางอันเป็ที่รักกำลังรินชา ที่ข้อมือขาวนวลคู่นั้นมีกำไลหยกวงงามที่เขาใส่ให้ด้วยมือของตัวเองอยู่ มันส่องประกายล้อแสงเทียนราวกับแสงส่องนำทางชีวิตให้เขาก็ไม่ปาน
…
“เสี่ยวหมี่ เสี่ยวหมี่”
หุบเขาหมียามเช้ามีเสียงกาเสียงไก่ร้องระงมไม่นับว่าสงบนัก แต่ก็ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายอยู่ดี เมื่อก่อนคนแรกที่ตื่นขึ้นมาเปิดประตูบ้านจะเป็พี่ใหญ่ลู่ แต่ั้แ่พี่ใหญ่ลู่ลงไปอาศัยอยู่ที่เรือนหลังใหม่นั้น หน้าที่เปิดประตูก็ตกเป็ของเสี่ยวหมี่
ยามเช้านางเพิ่งจะเปิดประตูเสร็จ กำลังจะเดินไปห้องครัวพลางคิดว่าเช้านี้จะทำอะไรดี ก็ได้ยินพี่รองของนางแหกปากะโ
นางจึงเดินไปถาม “พี่รอง ท่านะโเรียกข้าทำไม”
ครั้งแรกที่ออกล่าสัตว์ พี่รองลู่ไม่ได้จับกลุ่มกับทุกคนออกล่าสัตว์อย่างเต็มที่ เขารู้สึกผิดยิ่งนัก แน่นอนว่าจริงๆ แล้วรู้สึกผิดต่อท้องของตัวเองมากกว่า มีน้องหญิงทำอาหารอร่อยขนาดนี้แต่กลับไม่ล่าเนื้อดีๆ กลับมา
ดังนั้นหลายวันมานี้เขาจึงนับว่าทำตัวดี ตื่นแต่เช้ากลับมาตอนพลบค่ำ แต่ละวันก็ล่าสัตว์กลับมาได้ไม่น้อย
วันนี้เขาตื่นแต่เช้า เดิมตั้งใจจะไปทักทายเสี่ยวเอ๋อก่อนแล้วค่อยขึ้นเขา คิดไม่ถึงว่าหาเสี่ยวเอ๋อไม่เจอ ในห้องเจอแค่กระดาษแผ่นเดียว
“เสี่ยวหมี่เ้าดูนี่ เสี่ยวเอ๋อจากไปแล้วหรือ?”
เสี่ยวหมี่แปลกใจเล็กน้อย รับกระดาษมาอ่านดู แล้วค่อยเงยหน้ามองพี่รองของตนที่ดูความอดทนใกล้จะหมดเต็มที
“พี่รอง...เสี่ยวเอ๋อจากไปแล้วจริงๆ”
ถึงแม้พี่รองลู่จะชอบเรียนวรยุทธ์มาั้แ่เด็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเรียนหนังสือ แน่นอนว่าย่อมอ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่บนกระดาษออก ที่มาถามน้องสาวอีกครั้งก็เพราะไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น
“เหตุใดนางถึงจากไปเล่า? นางจะออกไปทวงความยุติธรรมให้ครอบครัว หากว่าถูกจับได้...”
พี่รองลู่เดินวนเวียนไปมาในเรือนราวกับหนูติดจั่น หนุ่มน้อยคนนี้หลงรักเสี่ยวเอ๋อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกอย่างไร ยามนี้จู่ๆ ก็ต้องมาสูญเสียไป เขารู้สึกเ็ปราวกับเนื้อในอกถูกคว้าน
“ไม่ได้ ข้าต้องไปตามหานาง”
เขาพูดจบก็พุ่งออกไปด้านนอกทันที เสี่ยวหมี่ย่อมไม่ยอมเด็ดขาด นางรีบดึงแขนเขาไว้พลางเอ่ยโน้มน้าวว่า “พี่รอง ท่านไปไม่ได้ เสี่ยวเอ๋อเขียนไว้ในจดหมายแล้วว่ามีคนที่เชื่อใจได้มารับนางไป สามารถปกป้องนางให้ปลอดภัยได้ หลังจากนางเรียกร้องความเป็ธรรมให้ครอบครัวได้แล้วนางจะกลับมา ท่านก็...”
“ไม่ได้ ข้าต้องไปตามหานาง”
พี่รองลู่ไม่สนใจว่าน้องสาวเขาจะพูดอะไร เขายกมือขึ้นผลักนางแล้ววิ่งออกไป แต่กลับชนเข้ากับเฝิงเจี่ยนที่กำลังเดินเข้ามาจนล้มลงบนพื้น
เฝิงเจี่ยนสีหน้าดำคล้ำ เขาเดินผ่านพี่รองลู่ที่กำลังอารมณ์ร้อน เข้าไปประคองเสี่ยวหมี่ที่มือกุมแขนข้างที่าเ็เอาไว้ “เป็อย่างไรบ้าง ล้มลงไปจนแขนเจ็บหรือ?”
เสี่ยวหมี่อดทนความเจ็บแขนที่เสียดแทงไปถึงหัวใจ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่เป็ไร อย่าให้พี่รองข้าไป”
“วางใจเถอะ” เฝิงเจี่ยนพยักหน้า หันไปสั่งเกาเหรินที่สีหน้าไม่ดีนักเช่นกัน “จับตาดูเขาไว้ ห้ามออกจากเรือนไปแม้แต่ก้าวเดียว”
พูดจบก็อุ้มเสี่ยวหมี่เดินออกไป
ลุงสามปี้กำลังสะพายตะกร้าขึ้นหลังเพื่อไปเก็บสมุนไพร ่ฤดูกาลออกล่าเช่นนี้ เขาเองก็ต้องเตรียมสมุนไพรไว้ให้เพียงพอเช่นกัน
จู่ๆ เห็นเฝิงเจี่ยนอุ้มเสี่ยวหมี่มา เขาก็ใไม่น้อย “เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวหมี่าเ็หรือ?”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า “เมื่อครู่...ล้มลงไป”
อย่างไรเสียก็เป็เื่ในสกุลลู่ พี่ชายทำร้ายน้องสาว เื่เช่นนี้ไม่ใช่เื่น่าป่าวประกาศแต่อย่างใด
ดีที่ลุงสามปี้เองก็ไม่ซักไซ้ รีบเข้าไปตรวจดูอาการเสี่ยวหมี่ที่เจ็บจนหน้าซีดขาว ครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็ไรมาก แค่กระดูกเคล็ดเท่านั้นไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร รอข้าจัดกระดูกและประคบแผลภายนอก จากนั้นพักรักษาตัวสักครึ่งเดือนก็คงหาย”
เสี่ยวหมี่เงยหน้า เอ่ยอย่างคับข้องใจ “ครึ่งเดือน...ไม่ได้นะเ้าคะ โรงทำบะหมี่ของข้า...อ๊า”
นางพูดได้ครึ่งเดียวก็เจ็บจนร้องออกมา ที่แท้ลุงสามปี้อาศัยจังหวะที่นางกำลังคิดเื่อื่นอยู่จัดกระดูกให้นางตอนเผลอ
เฝิงเจี่ยนปวดใจสงสารนางเป็อย่างยิ่ง เขากำมือแน่นจนเส้นเืปูดโปน แต่กลับมองเสี่ยวหมี่ด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ตอนนี้ก็ไม่เป็ไรแล้ว เื่ทำบะหมี่ก็ไม่จำเป็ต้องให้เ้าลงแรงเองทุกวัน ยังมีข้าอยู่”
เสี่ยวหมี่ไม่รู้สึกเจ็บแขนเท่าไรแล้ว รู้สึกสบายขึ้นมาก จึงพยักหน้ารับ “ก็ได้”
ลุงสามปี้เดินเข้าไปเอายาออกมา แล้วจึงไล่พวกเขากลับไป “พวกเ้ารีบกลับไปเถอะ ข้ายังต้องรีบขึ้นเขาอีก”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทำได้แค่ตอบรับ “เ้าค่ะ ท่านลุงสาม คืนนี้...อืม อีกสองสามวันข้าค่อยทำขาหมูผัดน้ำแดงที่ท่านชอบมาฝากนะเ้าคะ”
“ดีมาก อย่าลืมเอาสุรามาด้วยละ”
ลุงสามปี้โบกมือน้อยๆ ไม่สนใจว่าพวกเขายังอยู่ในลานบ้านตัวเองก็หันหลังรีบขึ้นเขาไปแล้ว
เสี่ยวหมี่อยากจะลงเดินด้วยตนเองแต่จะทำอย่างไรเฝิงเจี่ยนก็ไม่ยินยอม เขายังคงอุ้มนางเดินกลับไปยังบ้านสกุลลู่
ตลอดทางกลับ ชาวบ้านที่ตื่นเช้าเห็นภาพนี้ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ เสี่ยวหมี่หน้าแดงตอบเพียงว่านางไม่ระวังจนทำให้แขนาเ็ ส่วนเฝิงเจี่ยนสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ราวกับว่าการที่เขาและเสี่ยวหมี่สนิทสนมกันถึงเพียงนี้เป็เื่ปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
ที่ลานบ้านสกุลลู่พี่รองลู่กำลังคลุ้มคลั่ง เหงื่อผุดเต็มศีรษะราวกับสัตว์ป่า
“เ้าถอยไป”
เกาเหรินกลอกตา เขาไม่สนใจคนคนนี้สักนิด หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเสี่ยวหมี่ เขาสามารถตบเ้านี่ตายได้ในฝ่ามือเดียว
“ไม่น่าเล่าทุกวันนี้เสี่ยวหมี่ถึงได้ผอมลงๆ มีพี่ชายแบบเ้านับเป็โชคร้ายอย่างแท้จริง เพื่อผู้หญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง ถึงกับทำร้ายน้องหญิงตัวเองาเ็ เ้ายังมีหน้าบอกว่าจะไปอีก หึ หากข้าเป็เ้า คงจะกลั้นใจตายไปแล้ว”
เดิมทีเกาเหรินก็เป็คนปากไม่ดีเช่นนี้ ยิ่งยามนี้ไม่มีเ้านายอยู่ด้วย จึงยิ่งด่าได้ถึงใจยิ่งนัก ทำเอาบิดาลู่ พี่สามลู่ รวมถึงหลิวปู๋ชี่เฉิงจื่อเหิงที่เปิดประตูออกมาดูสถานการณ์ใจนตาโต “เสี่ยวหมี่เป็อะไรไป?”
“เ้ารอง เ้าตีเสี่ยวหมี่าเ็อย่างนั้นหรือ?”
พี่รองลู่เห็นทุกคนออกมาโยนคำถามใส่เขา ก็ใจเย็นลงเล็กน้อย หลังจากนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่งก็พึมพำออกมา “ข้าไม่ได้ออกแรงเลยสักนิดนี่นา?”
“เ้ากล้า ข้าจะตีเ้าให้ตาย”
บิดาลู่ที่ท่าทางเฉกเช่นบัณฑิตสูงศักดิ์มาตลอด ยามนี้ได้ยินว่าลูกชายลงมือทำร้ายบุตรสาวสุดที่รักของเขา ก็กลายร่างเป็ลูกศิษย์ของมหาเทพาในทันที เอาตำราคำสอนในมือเข้าไปทุบตีบุตรชาย
แต่เพราะร้อนใจจนกะจังหวะพลาด เกือบจะหน้าคว่ำลงไปเสียเอง ดีที่เกาเหรินจับเขาไว้ ทั้งยังช่วยปรับทิศทางของตำราคำสอนในมือให้ลงน้ำหนักไปบนหน้าพี่รองลู่ได้พอเหมาะพอดี
พี่รองลู่โกรธจัด แต่ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง เขาทำได้แค่จับข้างแก้มที่แสบชาของตน พึมพำว่า “เสี่ยวเอ๋อจากไปแล้ว”
“ต่อให้พ่อเ้าคนนี้จะจากไป เ้าก็ห้ามลงมือกับน้องของตัวเอง”
บิดาลู่โกรธจัดแล้วจริงๆ เขาคิดจะพุ่งเข้าไปอีกรอบ กลับถูกพี่สามลู่จับแขนเอาไว้ “ท่านพ่อ ถึงแม้พี่รองจะมุทะลุ แต่เขาเองก็รักเสี่ยวหมี่มาก อาจจะเป็ความเข้าใจผิดก็ได้ขอรับ”
ไม่ใช่ว่าพี่สามลู่ไม่สงสารน้องหญิงของตน แต่ตอนนี้บิดาเขาโกรธจนคุมสติไม่อยู่แล้ว หากพี่รองเจ็บตัว ครอบครัวเขาห้าคนมีสามคนที่ล้มลง เช่นนี้ไม่ใช่เื่ดีนัก
พูดจบเขาก็ะโใส่พี่รอง “พี่รอง ยังไม่คุกเข่าสำนึกผิดกับท่านพ่ออีก”
พี่รองลู่เชิดหน้าขึ้นแต่ก็คุกเข่าลงไป ท่าทางเหมือนยอมถูกตีแต่ไม่ยอมรับผิด
บิดาลู่โกรธมาก คิดจะลงไม้ลงมือกลับเห็นเฝิงเจี่ยนอุ้มเสี่ยวหมี่กลับมา
ทุกคนจึงเข้าไปรุมล้อมทันที
“เสี่ยวหมี่ เ้าาเ็ที่ตรงไหน เจ็บมากหรือไม่?”
“ใช่แล้ว ลุงสามปี้ว่าอย่างไรบ้าง”
เสี่ยวหมี่แอบซ่อนอาภรณ์บริเวณที่ฉีกขาดไว้ด้านหลัง ยิ้มกว้างปลอบใจคนในบ้านว่า “ท่านพ่อ พวกท่านอย่าได้กังวลใจไปเ้าค่ะ ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ก็แค่แขนเคล็ดเท่านั้น ไม่เจ็บสักนิดเดียวเ้าค่ะ”
เฝิงเจี่ยนกวาดสายตามองเ้ารองลู่ที่กำลังคุกเข่าก้มหน้ารับโทษอยู่ สีหน้าเขาดูสะใจอยู่ไม่น้อย เขากล่าวว่า “กระดูกแขนเคล็ดเกือบหัก ลุงสามปี้บอกว่าต้องประคบยาอย่าให้ขาด และต้องพักรักษาตัวให้ดีสักครึ่งเดือนไม่เช่นนั้นจะกลายเป็โรคติดตัวไปตลอดเพราะ่นี้อากาศก็หนาวขึ้นมาแล้ว”
“อะไรนะ?” เดิมทีถึงแม้บิดาลู่จะเห็นว่าบุตรสาวสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่เสียงยังสดใสก็คิดว่าคงไม่เป็อะไรมาก แต่ยามนี้ได้ยินเฝิงเจี่ยนพูดเช่นนี้ จึงยกมือหันไปตบลูกชายอย่างแรงถึงสองครั้ง
หลิวปู๋ชี่และเฉิงจื่อเหิงเดิมทีคิดจะเข้าไปห้าม แต่ในสมองก็คิดขึ้นได้ว่าเสี่ยวหมี่าเ็แล้ว วันหน้าพวกเขากลับไปสำนักศึกษาก็คงไม่มีของอร่อยๆ ให้กินอีก จึงลดมือลงทันที...
พี่รองลู่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาแค่สะบัดแขนออกไปทีหนึ่ง น้องหญิงจะาเ็ได้ขนาดนี้ ยามนี้ก็รู้สึกผิดในใจเช่นกัน จึงยอมโดนตีโดยไม่ร้องสักแอะ
เสี่ยวหมี่กลับรู้สึกสงสาร รีบใช้มือข้างที่ไม่ได้าเ็ห้ามบิดา “ท่านพ่อ พี่เสี่ยวเอ๋อไปแล้ว พี่รองคงร้อนใจขึ้นมากะทันหัน...”
บิดาลู่กลับไม่สนใจฟังสักนิด เขายกมือตบลูกชายไปอีกสองที จากนั้นก็หอบหายใจะโด่าว่า “ให้เ้าเรียนวรยุทธ์ั้แ่เล็กก็เพื่อให้เ้าใช้ปกป้องน้องหญิงของตนเอง วันนี้เ้ากลับทำร้ายน้องแท้ๆ ของตนเพื่อคนนอกคนหนึ่ง เช่นนั้นยังจะเก็บเ้าไว้ทำอะไรอีก ั้แ่วันนี้ไปเ้าก็อยู่ทำงานหนักในบ้าน หากกล้าขึ้นเขาไปข้าจะตีขาเ้าให้หัก”
พูดจบก็หมุนกายกลับเข้าเรือนไป ไม่สนใจคนอื่นๆ ที่คิดจะเอ่ยปากขอร้องแทน