“เ้าค่ะ ในหนังสือมีห้องทองคำนะเ้าค่ะ พอข้าอยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำสิ่งใดก็จะอ่านหนังสือเ้าค่ะ” เมื่อครู่หลี่หรูอี้เพียงเอ่ยถึงถ้อยคำที่เคยอ่านและจดจำมาจากหนังสือในโลกก่อน มิได้เอามาจากหนังสือที่เจียงชิงอวิ๋นนำมามอบให้แต่อย่างใด
ทว่าในหนังสือที่เจียงชิงอวิ๋นให้ลุงโจวนำมามอบให้กลับมีตำราแพทย์อยู่สองเล่ม ตำรับยาหลายชนิดที่อยู่ในนั้นมีคุณค่าใหญ่หลวง ทำให้นางไม่กล้าดูแคลนผู้ร่วมวิชาชีพในโลกนี้
จ้าวซื่อกำชับว่า “เ้ามีเื่ที่ต้องทำในแต่ละวันมากมายนัก อย่าอ่านหนังสือจนต้องอดนอนเชียว ทำเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกาย”
หลี่หรูอี้ถามขึ้นว่า “ท่านแม่ พวกเราไปดูในตัวเมืองเยี่ยนกันดีหรือไม่เ้าคะ”
“เ้าอยากซื้อสิ่งใด” พอจ้าวซื่อได้ยินคำว่า เมืองเยี่ยนคำนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความถวิลหา มาอยู่ที่เมืองเยี่ยนสิบหกปี นางก็แค่เคยเดินผ่านประตูของตัวเมืองเยี่ยนเมื่อครั้งอพยพหนีภัยเท่านั้น แม้แต่ในเมืองก็ยังไม่เคยเข้าไปเลย
หลี่หรูอี้เอ่ยทั้งกะพริบตาถี่ๆ ว่า “ข้าอยากไปดูเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าต้นผลไม้ที่ร้านขายเมล็ดพันธุ์ในตัวเมืองเยี่ยนเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อเกิดความประหลาดใจ จึงถามขึ้นว่า “เพียงเท่านั้นหรือ”
หลี่หรูอี้หัวเราะพลางตอบว่า “ฤดูใบไม้ผลิจวนมาถึงแล้ว ข้าอยากเลือกผ้ามาทำกระโปรงด้วยเ้าค่ะ”
“แม่ก็ว่าแล้ว ปกติเ้าไม่เคยถามเื่เพาะปลูก เหตุใดวันนี้จะต้องวิ่งไปถึงตัวเมืองเยี่ยนที่ห่างออกไปตั้งยี่สิบกว่าลี้เพื่อเมล็ดพันธุ์พืช ที่แท้เ้าอยากได้กระโปรงใหม่จึงไปซื้อผ้า” จ้าวซื่อดึงตัวบุตรสาวคนเล็กที่รักเข้ามาใกล้ๆ นางทำอาหารมาหลายเดือน และเวลานี้ก็ต้องปรุงยาอีก มือของนางกร้านไปหมดแล้ว ดีที่ยังรู้จักรักสวยรักงาม จึงไม่ขัดนาง จ้าวซื่อยิ้มแล้วบอกว่า “เ้าไปเถิด ให้พี่ชายเ้าตามไปด้วย”
“ท่านแม่ ท่านไม่ไปกับข้าหรอกหรือเ้าคะ”
“แม่ก็อยากไป แต่น้องชายเ้าสองคนต้องกินนม ถ้าแม่ไปแล้วพวกเขาก็ต้องหิว และตัวแม่เองก็จะต้องเจ็บหน้าอกเพราะน้ำนมคัด แม่จึงไม่ไปด้วย”
“เช่นนั้นก็รอไว้ฤดูใบไม้ร่วงให้น้องๆ หย่านมก่อน ข้าค่อยไปที่ตัวเมืองเยี่ยนอีก ท่านแม่จะได้ไปกับข้าด้วย อ้อ... ตอนนั้นบ้านเราก็จะย้ายไปที่ตัวอำเภอฉางผิงแล้ว ที่นั่นห่างจากตัวเมืองเยี่ยนแค่สิบกว่าลี้ ระยะทางใกล้กว่าตอนนี้มาก ถึงยามนั้นพวกเราอยากไปวันใดก็นั่งเกวียนลาไปได้เ้าค่ะ”
พอจ้าวซื่อนึกถึงเื่ที่จะย้ายไปอยู่เรือนหลังใหม่ในตัวอำเภอก็มีรอยยิ้มเต็มเปี่ยมและบอกว่า “ดี ครั้งนี้แม่จะให้เงินเ้าสามตำลึงพอใช้หรือไม่”
“ข้ามีเงินเ้าค่ะ เงินของท่านแม่เก็บเอาไว้ให้พวกพี่ชายน้องชายข้าแต่งภรรยาเถิดเ้าค่ะ”
สกุลหลี่ไปหมั้นหมายจางอิ๋นฟาง ลำพังเพียงเงินก็มอบให้ถึงสามสิบตำลึง และยังมีของกำนัลอีกหกอย่างเป็ต้น
สิ้นปีนี้หลี่เจี้ยนอันก็จะแต่งงาน สกุลหลี่ต้องจัดงานแต่งงานซึ่งต้องใช้เงินทองอีกมาก
ปีหน้าหลี่อิงฮว๋ากับหลี่ิ่หานจะอายุสิบสามปีและต้องหมั้นหมายเช่นกัน สกุลหลี่จึงต้องใช้เงินอีกมากมาย
เงินทองเ่าั้หลี่ซานและจ้าวซื่อล้วนต้องเป็คนออก ซึ่งปกติแล้วเงินทองของพวกเขานั้นหลี่หรูอี้ก็เป็คนมอบให้
แต่จ้าวซื่อกลับไม่ยอม “ไม่ได้ แม่จะไปเอาเงินให้เ้า เ้าต้องรับไว้ อยากซื้อสิ่งใดก็ซื้อ” ว่าแล้วนางก็ลุกขึ้นไปหยิบกุญแจตู้ เปิดกล่องเงินที่อยู่ในนั้นและหยิบก้อนเงินกำใหญ่ที่มากกว่าสามตำลึงออกมามอบให้หลี่หรูอี้
บุตรสาวทำงานอย่างยากลำบากเพื่อครอบครัวเพียงนี้ เป็ผู้สร้างฐานะที่ดีขึ้นให้แก่ครอบครัว จึงไม่มีเหตุผลหากจะใช้เงินทองทั้งหมดกับบุตรชาย
เปรียบกับฝ่ามือและหลังมือต่างก็เป็เนื้อ จ้าวซื่อจะปฏิบัติต่อบุตรสาวอย่างไม่เป็ธรรมได้อย่างไร
อีกประการ ครั้งจ้าวซื่ออยู่บ้านฝ่ายมารดาก็ไม่ได้เฉลียวฉลาดเก่งกาจหาเงินเก่งเช่นที่หลี่หรูอี้เป็ นางยังไม่มีความสามารถนำเงินมามอบให้บิดามารดาได้ แต่สกุลจ้าวก็ไม่ได้ยกย่องชายดูแคลนหญิง มิได้เอาแต่สนใจพี่ชายทั้งสามของจ้าวซื่อ แต่ไม่ไยดีนาง
จ้าวซื่อเคยกล่าวว่า บุตรสาวของบ้านตนก็ต้องรักใคร่ หากแม้แต่บ้านตนยังไม่รักใคร่บุตรสาว เมื่อบุตรสาวแต่งออกเรือนไปบ้านแม่สามี ก็จะยิ่งไม่มีใครรัก
จ้าวซื่อได้เห็นแบบอย่างมาจากมารดาของนาง จึงไม่มีความคิดยกย่องชายดูแคลนหญิง ซึ่งเป็คนจำนวนน้อยในแคว้นต้าโจว และนี่นับเป็วาสนาของหลี่หรูอี้เช่นกัน
“ท่านแม่ ช่างดีเหลือเกิน” หลี่หรูอี้รับน้ำใจของจ้าวซื่อเอาไว้
หลี่ซานเดินกลับเข้ามาจากข้างนอก ดูมีความกลัดกลุ้มอยู่จางๆ ที่หว่างคิ้ว ต่างจากปกติที่มักจะเป็คนที่หัวเราะเฮฮา
หลี่หรูอี้เป็คนที่ละเอียดอ่อนที่สุด จึงถามไปว่า “ท่านพ่อ เป็อันใดไปเ้าคะ”
หลี่ซานมองใบหน้าเล็กๆ ที่แสนอ่อนเยาว์ของบุตรีสุดที่รักก่อนจะส่ายหน้า “เฮ้อ... อย่าเอ่ยถึงเลย พูดแล้วจะยืดยาว”
“ท่านพบเจอเื่ยุ่งยากหรือเ้าคะ”
“พ่อไปเจอเื่ยุ่งยากจริงดังว่า คนเช่าที่นาสามรายมาขอเครื่องมือเพาะปลูกกับพ่อ และยังขอสัตว์ใหญ่ไว้ไถนาอีก บอกว่าบ้านเรามีที่นาตั้งร้อยกว่าหมู่ อย่างน้อยต้องมีสัตว์ใหญ่ไว้ใช้แรงงานสี่ตัว มิเช่นนั้นจะไถนาไม่ทันและทำให้การเพาะปลูกล่าช้า” หลี่ซานรับถ้วยน้ำชาที่บุตรสาวส่งมาให้และดื่มน้ำอุ่นๆ ในถ้วยจนหมดในคำเดียว วันนี้เขาพูดกับคนเช่าที่นาจนคอแหบแห้งไปหมด
“สัตว์ใหญ่? ท่านหมายถึงโคหรือเ้าคะ”
หลี่ซานเห็นว่าบุตรสาวสนใจในเื่นี้ จึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดว่า “ยามไถนา สัตว์ที่ใช้ได้ดีที่สุดก็คือ โค แต่โคมิใช่สัตว์ที่บ้านเรือนคนธรรมดาๆ เช่นพวกเราจะเลี้ยงไหว หากวันหนึ่งโคเกิดล้มเจ็บหรือตายขึ้นมา ก็จะถูกพวกคนชั่วไปฟ้องที่ที่ว่าการอำเภอ และต้องไปขึ้นศาล พวกเราทำเื่ใหญ่หลวงเช่นนี้ไม่ไหว”
แคว้นต้าโจวมีกฎหมายคุ้มครองโคสำหรับไถนา
ขอเพียงเป็โคไถนาก็จะต้องไปลงทะเบียนกับทางการ ไม่ว่าจะเกิดหรือตายล้วนต้องไปรายงานต่อทางการ โคไถนาจะแก่ตายหรือป่วยตายได้เท่านั้น แต่จะถูกคนทรมานไม่ได้
หากมีคนพบว่าบ้านใดฆ่าโคไถนา ถ้ามีการไปฟ้องต่อทางการก็จะต้องมีการสืบสวนให้กระจ่าง โทษสถานเบาคือ การโบย โทษสถานหนักคือ ถูกเนรเทศและถูกยึดทรัพย์
เรือนที่เลี้ยงโคทั่วทั้งอำเภอฉางผิง มีอยู่เพียงไม่กี่ครัวเรือน และไม่กี่ครัวเรือนที่ว่านั้นก็ยังเป็บ้านเรือนของผู้มั่งคั่งสูงศักดิ์ที่มีหน้ามีตาด้วย
แม้แต่เจียงชิงอวิ๋นที่มีจวนเยี่ยนอ๋องหนุนหลังก็ยังไม่ได้เลี้ยงโคภายในจวน จึงเห็นได้ว่ามิใช่บ้านเรือนทั่วๆ ไปจะสามารถเลี้ยงโคได้
ครั้งหลี่หรูอี้เพิ่งมาถึงหมู่บ้านหลี่ ก็พบว่าในหมู่บ้านไม่มีโคเลย ยังถึงกับไปสอบถามเื่นี้กับอู่โก่วจื่อด้วย และคำตอบที่ได้ก็คือ หมู่บ้านในรัศมีหลายสิบลี้นี้ไม่มีชาวบ้านที่เลี้ยงโคเลย
สาเหตุก็คือ โคไถนานั้นมีกฎหมายคุ้มครอง หากพลาดพลั้งขึ้นมาเ้าของเรือนก็จะถูกฟ้องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
หลี่หรูอี้บอกว่า “บ้านเราก็ไม่ได้เลี้ยงโค แต่ทั้งลาและล่อก็ไถนาได้นี่เ้าคะ”
“ลากับล่อเรี่ยวแรงน้อย ไถนาได้แตกต่างจากโคมากนัก” หลี่ซานนั่งลงมองไปยังประตูโถงใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่อย่างเหม่อลอย “ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว พวกลากับล่อก็ขึ้นราคาแล้ว แพงกว่า่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวมากนัก ลาหรือล่อสี่ตัวราคาถึงยี่สิบตำลึง ซึ่งเป็ค่าใช้จ่ายก้อนโตอีกก้อนหนึ่ง”
บ้านเล็กๆ คนยากจนอยู่ยาก บ้านใหญ่โตร่ำรวยยิ่งอยู่ยาก
สกุลหลี่มีที่นาสองร้อยหมู่ หลี่ซานก็มีอันต้องเป็กังวลกับเื่ซื้อลากับล่ออีก
“ยี่สิบตำลึง ราคาสูงไปสักหน่อย”
การไถนาใช้เวลาเพียงระยะหนึ่ง อย่างมากก็แค่สิบวันหรือครึ่งเดือน หลังจากนั้นก็จะไม่ได้ใช้ลากับล่อแล้ว
คราวนี้ตอนที่ลากับล่อเ่าั้อยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำงาน แต่ยังต้องมีคนไปตัดหญ้าหรือไม่ก็ต้องเสียเงินไปซื้อเมล็ดพืชมาให้พวกมันกิน ซึ่งจะเป็ค่าใช้จ่ายอีกก้อนหนึ่ง ต่อให้ถึงยามนั้นเอาพวกมันไปขาย แต่พอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ก็ยังต้องซื้อสัตว์ใหญ่ใหม่และต้องจ่ายเงินอีก
ต่อให้หลี่หรูอี้มีเงิน ก็ไม่้าเสียเงินซื้อลาซื้อล่อเพิ่มเพื่อเอามาใช้ในการเพาะปลูก
หลี่ซานมีสีหน้าเลิ่กลั่ก เอ่ยเสียงหนักว่า “ยังมีเครื่องมือเพาะปลูกที่ต้องใช้เงินอีก พ่อคำนวณดูคร่าวๆ รวมกันแล้วเป็เงินถึงยี่สิบสามตำลึง”
หลี่หรูอี้ถามว่า “ครั้งบ้านเราเพาะปลูกเมื่อก่อนนี้ไม่ได้ใช้สัตว์ใหญ่ ก็มิใช่ว่าเพาะปลูกได้เหมือนกัน เหตุใดยามนี้คนเช่าที่นา พวกเขาจึงมาเอ่ยว่า ้าสัตว์ใหญ่เล่าเ้าคะ”
หลี่ซานตอบว่า “ก่อนนี้ที่ดินของบ้านเรามีน้อย แต่เวลานี้ที่ดินมีมากคนเช่าน้อย จึงต้องใช้สัตว์ใหญ่”
ที่แท้ฐานะของผู้เช่าที่ดินในแคว้นต้าโจวยังเป็รองพวกบ่าวไพร่เสียอีก
คนเช่าที่ยากจนกระทั่งที่ดินก็ยังไม่มี ทำได้แค่เช่าที่นาของผู้อื่นมาเพาะปลูก เมื่อจ่ายค่าเช่าที่แล้วผลผลิตที่เหลือยังไม่พอให้ตนเองกินด้วยซ้ำ หลังจากวุ่นวายกับการเพาะปลูกแล้วก็ยังต้องไปทำงานอื่นเพิ่มอีก
ก่อนนี้บ้านสกุลหลี่เพาะปลูกในที่ดินของตนเอง จึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ก็ยังไม่พอกินเลย หลี่ซานพี่น้องจึงต้องไปทำงานอื่นๆ ด้วย คนเช่าที่เหล่านี้จึงด้อยกว่าสกุลหลี่มากนัก พวกเขามีลมหายใจให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็นับว่าพอทนแล้ว
ที่ดินของสกุลหลี่มีผู้เช่าสามครอบครัว แต่ละครอบครัวมีชายวัยฉกรรจ์อยู่ไม่ถึงสามคน ทุกครอบครัวต้องเพาะปลูกในที่ดินหกสิบหมู่ ซึ่งแน่นอนว่าปลูกไม่ทัน จึงจำเป็ต้องขอให้สกุลหลี่นำสัตว์ใหญ่มาให้ใช้งาน
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้