สุดท้าย มู่หรงฉือก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างไม่ยินยอม หากนางไม่ยอมทำตามความคิดของเขา เขาก็จะบังคับนาง สุดท้ายก็เป็ผลเหมือนเดิม อีกอย่าง โจวฮวายตายไปแล้ว มู่หรงอวี้ก็ออกจากเมืองมาที่นี่พอดี นี่มันแปลกมากไม่ใช่หรือ?
รถม้าสองคันเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะเดินทางกลับเข้าไปในเมือง
รถม้าขับผ่านถนนเส้นป่านอกเมืองที่เงียบสงัดเหมือนกับตาย
แสงอาทิตย์สายเล็กๆ เล็ดลอดเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาของมู่หรงอวี้ก็สว่างวาบขึ้นวูบหนึ่งเหมือนกับกระจกหลิวหลีที่ส่องแสงระยิบระยับ
“โจวฮวายตายได้อย่างไร?” เขาถามเสียงเรียบ
“บริเวณท้องโดนแทง ลมหายใจรวยริน ตอนที่เปิ่นกงสอบถามเขาก็ถูกเหม่ยฮวาเปียวโจมตีใส่จนตาย” นางอธิบายง่ายๆ
“เห็นมือสังหารชัดเจนหรือไม่?”
“เปิ่นกงเห็นแค่เงาดำแวบไป คนผู้นั้นก็หายตัวไปแล้ว ความสามารถไม่ธรรมดาเลย” มู่หรงฉือลองถามออกไป “ท่านอ๋องเองก็จะไปที่กองทัพตรวจสอบอาวุธหรือ?”
เขาพยักหน้า ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับผิวน้ำ “เปิ่นหวางได้รับรายงานมาว่าที่กองทัพตรวจสอบอาวุธมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ เตี้ยนเซี่ยเองก็ได้รับรายงานจากสายสืบถึงได้มาที่กองทัพเหมือนกันสินะ”
นางขมวดคิ้ว พูดเสียงเ็า “น่าเสียดายที่โจวฮวายยังไม่ทันได้บอกว่าใครเป็ผู้ก่อเหตุก็ถูกฆ่าปิดปากเสียก่อน”
แต่ว่านี่ก็แสดงว่ากองทัพตรวจสอบอาวุธมีปัญหา มีความลับอยู่มากพอสมควร
มู่หรงอวี้พูดเสียงทุ้มเย็น “เ้าเห็นโจวฮวายตายกับตา คนที่ก่อเหตุในกองทัพตรวจสอบอาวุธจะต้องเดาได้ว่าเ้าจะมาสืบหาเื่นี้ พวกเขาจะต้องมีการป้องกันต่างๆ ตอนนี้เราแหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว”
นางพยายามควบคุมไฟโทสะเอาไว้ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องปกปิดมันแล้ว ท่านอ๋องได้รับรายงานมาว่าอะไรบ้างหรือ?”
แสงเล็กๆ ส่องลงบนใบหน้าของเขา ราวกับประกายแสงของไข่มุกยามค่ำคืน “ลอบค้าอาวุธ”
นางก็แค่ถามไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แต่ว่า เมื่อมองเช่นนี้แล้วก็หมายความว่าเขาได้ส่งคนไปจับตามองกองทัพตรวจสอบอาวุธอยู่ตลอด
“เตี้ยนเซี่ยมีแผนอะไรหรือ?” มู่หรงอวี้ถามเสียงเรียบ
“ไม่มีแผนอะไร เปิ่งกงอยากจะเรียบเรียงความคิดก่อน ท่านอ๋องมีแผนการอะไรหรือไม่?” มู่หรงฉือถามกลับ
“เื่ของกองทัพตรวจสอบอาวุธนั้นไม่เล็กเลย จำเป็ต้องใช้เวลาอีกสักพักในการดูสถานการณ์”
นางหัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ เขาพูดเช่นนี้ก็เหมือนกับนางไม่ใช่หรือ ไม่อยากจะเปิดเผยการเคลื่อนไหวกับแผนการของตน
แสงอาทิตย์ระยิบระยับในอากาศ ใบหน้าเ็าของเขาประหนึ่งรูปสลักที่หลอมรวมความงดงามในโลกมนุษย์เอาไว้
เดินทางมาถึงศาลต้าหลี่ เสิ่นจือเหยียนชันสูตรพลิกศพของโจวฮวาย จุดที่ทำให้เขาาเ็จนตายมีสองตำแหน่ง หนึ่งคือส่วนท้องที่ถูกแทง อีกหนึ่งก็คือส่วนลำคอ
ความจริงแล้ว ตอนที่มู่หรงฉือถามโจวฮวายเขาก็เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว จะต้องตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดรีบร้อนลงมือเพื่อเร่งความเร็วในการตายของโจวฮวาย ไม่ให้เขาเปิดปากพูด
ต่อมา กู้ฮวายก็มาส่งมู่หรงอวี้กลับไปด้วยตนเอง ส่วนมู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนก็มายังห้องปีกด้านในสวน
เสิ่นจือเหยียนรินชาสองถ้วย คลี่ยิ้มงดงาม “เตี้ยนเซี่ยคิดว่าโจวฮวายถูกคนของกองทัพตรวจสอบอาวุธสังหารหรือ?”
นางพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมด “โจวฮวายคงจะพบความลับของใครสักคนเข้า จึงหนีออกมาจากกองทัพตรวจสอบอาวุธ แต่กลับทำให้คนผู้นั้นรู้ตัว สุดท้ายจึงถูกฆ่าปิดปาก”
เขาเห็นด้วย ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “ลอบค้าอาวุธก็เท่ากับเป็ฏต่อแคว้น คนผู้นั้นช่างกล้าหาญจริงๆ!”
“กองทัพตรวจสอบอาวุธมีใต้เท้าว่านเป็ผู้บังคับบัญชากับใต้เท้าหวังเทาที่เป็รองผู้บังคับบัญชารวมผู้จัดการโจวแล้วเป็สามคน กล้าลอบค้าอาวุธกองทัพ หากไม่ใช่ว่านฟางก็เป็หวังเทา จะต้องมีความสามารถในการควบคุมกองทัพได้”
“เตี้ยนเซี่ยวิเคราะห์ได้ถูกต้อง แต่ว่าการลอบค้าอาวุธทหารนั้นเป็ความผิดร้ายแรง หากมีเื่นี้จริงๆ คนที่เกี่ยวข้องด้วยก็คงไม่มีทางยอมรับผิด”
“เื่นี้จำเป็ต้องลอบตรวจสอบต่อไป แต่สิ่งที่ต้องเปิดเผยก่อนก็คือ พรุ่งนี้เปิ่นกงจะไปที่กองทัพตรวจสอบอาวุธรอบหนึ่ง เ้าก็ไปด้วยกัน”
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะมารอที่หน้าประตูศาลต้าหลี่” เสิ่นจือเหยียนยิ้มแล้วพูด
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสองสามประโยคก่อนมู่หรงฉือจะบอกลากลับไป
ระยะทางจากศาลต้าหลี่ไปยังตำหนักบูรพานั้นไม่ใกล้ไม่ไกล นางคิดว่าจะราบรื่นมาก ใครจะรู้ว่าจะเจอเข้ากับองค์หญิงตวนโหรวอีก
องค์หญิงตวนโหรวมู่หรงสือที่ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งเอาไว้คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจไปหาเสิ่นจือเหยียนที่ศาลต้าหลี่ แต่คิดไม่ถึงว่าเดินไปได้กลางทางก็จะเจอเข้ากับรถม้าขององค์รัชทายาทอีก
นางวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ “เตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ย...”
บนถนนมีรถวิ่งไปมามากมาย บนถนนก็ครึกครื้น จู่ๆ ก็มีเสียงะโร้องเรียก คนที่อยู่ริมทางต่างหันไปมอง
แม่นางคนนั้นดูเหมือนจะเป็คุณหนูจากครอบครัวร่ำรวย เหตุใดถึงได้วิ่งตามรถม้าคันนั้นกัน?
เตี้ยนเซี่ย...
หรือว่าจะเป็คนที่หลงรักองค์รัชทายาท?
อั้ยหยา ยังมีคุณหนูที่ชอบองค์รัชทายาทไร้ความสามารถคนนั้นด้วย
ฉินรั่วจำเสียงขององค์หญิงตวนโหรวได้ จึงสั่งห้ามไม่ให้คนขับรถหยุด รถม้าที่เดิมทีชะลอความเร็วพลันห้อตะบึงราวกับโบยบินแล้วหายลับไปอย่างไม่เห็นเงา
มู่หรงสือวิ่งตามไปอีกครึ่งทาง นางไม่อยากจะยอมแพ้ ยังกัดฟันวิ่งตามต่อไป แต่สุดท้ายก็ตามไปไม่ไหว ขาทั้งสองข้างอ่อนจนไม่มีเรี่ยวแรงสักนิดจึงหยุดลง นางหอบหายใจแทบตาย
...
กองทัพตรวจสอบอาวุธอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของวังตากอากาศที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกนอกเขตเมือง เข้าประตูมาก็เป็ประตูยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่าน
ทุกคนจะเข้าออกจากตรงนี้ ซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ตรวจสอบตัวตน ทั้งยังตรวจสอบเป้าหมายของคนๆ นั้น
ว่ากันตามปกติแล้ว นอกจากฮ่องเต้ ฮองเฮา และองค์รัชทายาทที่เป็เชื้อพระวงศ์คนสำคัญที่ไม่จำเป็ต้องมีพระราชโองการ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่ได้รับคำสั่งให้มาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเข้าไปไม่ได้ แน่นอนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้น คือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน ผู้อยู่เหนือทุกคนและอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว
องครักษ์รักษาประตูเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ของมู่หรงฉือก็ปล่อยให้นางเข้าไป
แต่นางสังเกตเห็นว่า มีองครักษ์คนหนึ่งเดินออกไปด้านข้างเงียบๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปด้านใน
“เตี้ยนเซี่ย มีคนไปส่งจดหมายรายงานแล้ว” ฉินรั่วยิ้มเย็น
“ไม่เป็ไร เปิ่นกงก็อยากจะดูว่าพวกเขาจะต้อนรับเปิ่นกงอย่างไร” มู่หรงฉือนั่งอยู่ในรถม้า ในแววตามีเงาดำเย็นเยียบอยู่
เมื่อวานตกลงกันไว้แล้วว่าจะมากับเสิ่นจือเหยียน แต่วันนี้ศาลต้าหลี่กลับมีเื่ให้ทำมากมาย เขาปลึกตัวออกมาไม่ได้ จึงไม่ได้มาด้วยกัน
ด้านหน้าคือเรือนเรียงกันหนึ่งแถว รูปแบบเหมือนกับพระราชวัง ขาดเพียงเสาแกะสลักแบบในพระราชวังไปเท่านั้น จึงเพิ่มความหยาบและโบราณมากขึ้นไปอีก
ด้านหน้าเรือน ใต้เท้าว่านฟางข้าราชการตำแหน่งสูงสุดในกองทัพตรวจสอบอาวุธพาคนมารอต้อนรับ
มู่หรงฉือกับฉินรั่วะโลงจากรถม้า คนเ่าั้โค้งตัวแสดงความเคารพ พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน “ยินดีต้องรับองค์รัชทายาทที่เดินทางมา”
“ไม่ต้องมากพิธี” มู่หรงฉือยิ้มด้วยท่าทางไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ “ลำบากพวกเ้าแล้ว”
“เชิญเตี้ยนเซี่ยเข้าไปด้านในก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ว่านฟางผายมือออกอย่างนอบน้อม ใบหน้ายิ้มตาหยีไปจนถึงหู ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาทำให้ไขมันบนใบหน้าของเขามันวาว
มองไปที่ตัวเขาอีกครั้ง ร่างอ้วนเหมือนหมู ทั้งตัวเต็มไปด้วยไขมัน
กองทัพตรวจสอบอาวุธอยู่ห่างไกลจากฮ่องเต้ ปกติแล้วราชสำนักก็ไม่เคยมาไต่ถาม ขุนนางที่นี่ทุกวันมาทำงานก็ดื่มชาพูดคุยเล่นกัน นอน ตื่นขึ้นมาก็ไปเดินลาดตระเวนด้านหลังรอบหนึ่ง กลับมาก็ดื่มชาพูดคุยกันต่อ จะลำบากก็แค่บรรดาช่างฝีมือที่ทำงานจริงๆ ที่ทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเท่านั้น
มู่หรงฉือหัวเราะฮ่าๆ พูดคุยทักทายพวกเขา พร้อมกวาดตามองรองผู้บังคับบัญชากองทัพตรวจสอบอาวุธหวังเทา
หวังเทาร่างกายผอมแห้ง ดูแล้วคงเป็คนที่ทานอย่างไรก็ไม่อ้วน ใบหน้าผอมตอบจนเป็กระดูก มุมปากแหลมแก้มลิง ดวงตาเฉลียวฉลาดกลอกไปมา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็คนฉลาดเ้าแผนการ
มาถึงที่ห้องโถงหลัก แน่นอนว่าตำแหน่งที่นั่งประธานต้องยกให้องค์รัชทายาทเป็คนนั่ง คนงานเอาชามาวาง ว่านฟางรีบพูดแนะนำ “เตี้ยนเซี่ย นี่คือชาที่ดีที่สุดของกองทัพตรวจสอบอาวุธพ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าเทียบกับชาในวังไม่ได้ เตี้ยนเซี่ยลองชิมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
นางยิ้มก่อนจะยกขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ไม่เลว ไม่เลว สดชื่นดี ชาดี”
“วันนี้เตี้ยนเซี่ยได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังเทายิ้มแล้วถาม
“เสด็จพ่อเห็นเปิ่นกงไม่มีอะไรทำก็เลยให้มาดูที่นี่ เปิ่นกงคิดว่ามีใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังคอยดูแลกองทัพตรวจสอบอาวุธ มีอะไรให้น่าดูกัน? เปิ่นกงจำได้ว่าใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังอยู่ที่กองทัพนี้ก็สิบปีแล้วสินะ เป็ผู้มากประสบการณ์ เปิ่นกงวางใจเป็อย่างยิ่ง” มู่หรงฉือยิ้มแล้วพูด “เปิ่นกงบอกกับเสด็จพ่อแล้ว พระองค์ก็ยังจะให้เปิ่นกงมา เมื่อทำอะไรไม่ได้ เมื่อวานเปิ่นกงก็เลยเดินทางมา แต่ระหว่างทางเจอเข้ากับคนตายคนหนึ่ง คนผู้นั้นคือโจวฮวายผู้จัดการของพวกเ้า เปิ่นกงรู้สึกเศร้าใจมากจึงกลับเมืองไปก่อน”
“เตี้ยนเซี่ยพูดเช่นนี้ กระหม่อมก็เหมือนได้รับการปลอบโยนแล้ว ขอบพระทัยที่เตี้ยนเซี่ยเชื่อใจพ่ะย่ะค่ะ” ว่านฟางโค้งตัวขอบคุณ แสดงท่าทีอย่างผู้บริสุทธิ์ “พูดถึงโจวฮวายคนนั้น ใต้เท้าหวัง เ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเขาถึงได้ตายอยู่ที่ถนนไม่ไกลจากกองทัพตรวจสอบอาวุธ?”
“เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมรู้เพียงเล็กน้อย โจวฮวายคนนั้นเป็คนซื่อสัตย์เถรตรง ทำงานอยู่ที่กองทัพด้วยความขยันขันแข็งอยู่หลายปี ทำเพื่อกองทัพตรวจสอบอาวุธมาไม่น้อย แต่สองปีมานี้เขาไม่รู้ว่าเป็อะไรถึงได้ไปติดการพนัน อีกทั้งยังแอบไปเล่นเองเสียด้วย ไม่ยอมให้คนที่บ้านรู้ ทั้งยังขอให้พวกกระหม่อมอย่าเปิดเผยออกไป” หวังเทาพูดด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ “เมื่อเดือนก่อน เขาเล่นพนันที่บ่อนแพ้ไปสามร้อยตำลึง เขาไม่กล้าบอกฮูหยินของเขา บอกว่าหากภรรยาจอมโหดของเขารู้เข้าจะไล่เขาออกจากบ้าน พวกกระหม่อมจึงให้เขายืมเงินไปสิบกว่าตำลึง ให้เขาเอาไปชดใช้ให้บ่อนก่อน แต่ว่าคนทวงหนี้ที่บ่อนนั้นสามวันก็มาทวงหนี้ เมื่อวานก็ฆ่าเขาตอนที่เขาออกไปทำงาน”
“เฮ้อ จู่ๆ ต้องมาเห็นเพื่อนร่วมงานตายไปเช่นนี้ ชีวิตช่างไม่แน่นอนยิ่งนัก” หวังเทาถอนหายใจหนัก “ใต้เท้าโจวติดการพนันเป็ชีวิตจิตใจ สุดท้ายก็เอาชีวิตไปทิ้ง เห็นได้ชัดว่าการพนันเป็สิ่งที่ไม่อาจแตะต้อง เตี้ยนเซี่ย ถึงแม้ว่าใต้เท้าโจวจะเลอะเลือนไปสักหน่อย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ทำความดีความชอบให้กองทัพมาหลายปี หวังว่าเตี้ยนเซี่ยจะเห็นแก่ความลำบากของเขา อย่าได้เอาเื่นี้พูดออกไปเลย ให้เขาได้ตายไปพร้อมรักษาชื่อเสียงเอาไว้ด้วยเถิด”
“เปิ่นกงนึกออกแล้ว มิน่าเมื่อวานตอนที่เปิ่นกงเจอใต้เท้าโจว ใบหน้าของเขาถึงเต็มไปด้วยความเสียใจภายหลัง น้ำตาไหลพราก ทั้งยังพูดประโยคหนึ่งกับเปิ่นกง” มู่หรงฉือกับฉินรั่วมองตากัน พูดด้วยความโศกเศร้า
“พูดอะไรหรือ?” ว่านฟางกับหวังเทาถามออกมาพร้อมกันด้วยสีหน้าร้อนรน
“เขาบอกว่าพนัน...ผิดไปทั้งชีวิต เมื่อวานเปิ่นกงยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ครั้นพวกเ้าพูดมาเช่นนี้ เปิ่นกงก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว” นางพูดด้วยท่าทางสดใส
“ผิดไปทั้งชีวิตจริงๆ”
ว่านฟาง หวังเทามองตากันแล้วลอบถอนหายใจ
ฉินรั่วพูดเตือน “เตี้ยนเซี่ย ฝ่าาบอกให้เตี้ยนเซี่ยไปดูที่โรงงานมิใช่หรือเพคะ?”
มู่หรงฉือตบหัวตัวเอง “ใช่ๆๆๆ เปิ่นกงลืมไปเลย เสด็จพ่อก็เป็เช่นนี้ อยากจะให้เปิ่นกงไปเดินวนที่โรงงานรอบหนึ่ง ใต้เท้าว่าน ใต้เท้าหวัง พวกเ้าสองคนพาเปิ่นกงไปเดินรอบๆ ดีหรือไม่?”
ว่านฟางกับหวังเทามีหรือจะปฏิเสธ? รีบประจบประแจงดูแล ก่อนจะพากันเดินไปที่โรงงาน
โรงงานกว้างมาก แค่มองก็ยังสุดลูกหูลูกตา มีการแบ่งการผลิตเป็ส่วนต่างๆ เหล่าคนงานต่างสวมเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย ครั้นเห็นเ้านายมาก็พากันโค้งตัวทำความเคารพแล้วทำงานต่อ
ว่านฟาง หวังเทาแนะนำว่านี่สร้างอะไร นั่นคืออาวุธอะไรอย่างกระตือรือร้น หน้าตาประจบสอพลอทำให้คนรังเกียจ
เดินวนไปรอบหนึ่งก็ไม่พบอะไรผิดปกติตรงไหน คิดไปแล้วก็ใช่ คนร้ายกาจพวกนี้จัดฉากบังหน้าเอาไว้เป็อย่างดี ไม่มีทางทำให้คนมองอะไรออกง่ายๆ
เพิ่งจะออกจากโรงงานมา พวกเขาก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งดื่มชาด้วยท่าทางสบายๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้