คำพูดของหลี่โย่วโม่ทั้งตื้นเขินไร้ยางอายและยโสโอหังเป็ที่สุด เขาชำเลืองมองโม่เสวี่ยิ่ ดวงตาวับวาว มุมปากหยักยิ้มอย่างคนเสเพลไม่เป็โล้เป็พาย แล้วสตรีที่ถือตัวให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและธรรมเนียมมารยาทเช่นโม่เสวี่ยิ่หรือจะยอมรับได้ สีหน้าของนางบัดนี้ดำทะมึน บุรุษชาติสกุลดีที่นางเคยพบก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะสุภาพเรียบร้อยเหมือนโหยวเยวี่ยเฉิง ไหนเลยจะเคยเจอลูกผู้ดีมีเงินที่หยาบคายและหน้าหนาถึงเพียงนี้
โม่เสวี่ยิ่ยังมีสติและความกล้าหาญอยู่บ้าง จึงเก็บสายตาที่แทบจะพ่นไฟได้ลงก่อน ข่มโทสะที่ผลาญหัวใจไว้ แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “คุณชายหลี่จำคนผิดแล้ว เมื่อคืนข้าคัดลอกบัญญัติสตรีอยู่ที่เรือนของตนเอง มิได้ออกไปไหน แล้วจะไปล่วงเกินท่านได้อย่างไร ท่านเป็คุณชายของสกุลมีชื่อเสียงในเมืองหลวงก็คงทราบว่าการทำลายชื่อเสียงของสตรีมีโทษเท่าเอาชีวิตคน พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน ไยคุณชายหลี่ต้องบีบคั้นขู่เข็ญกันด้วยเล่า”
นางได้ยินมาว่าท่านพ่อให้ตามหลี่โย่วโม่มาพบ ดังนั้นจึงรออยู่ที่นี่ เป้าหมายก็เพื่อพูดกับอีกฝ่ายให้ชัดเจน นางรู้ดีว่า่เช้าเสียแผนไปแล้ว เนื่องจากจิตใจยังว้าวุ่น จึงแล่นไปหาบิดาบอกให้โหยวเยวี่ยเฉิงช่วยพูดให้กับตนเอง อย่าว่าแต่เื่คุณหนูในห้องหอคนหนึ่งจะนัดพบกับบุรุษจากภายนอกเป็การส่วนตัวได้อย่างไร นางมีใจให้โหยวเยวี่ยเฉิง ย่อมไม่ปรารถนาให้เขารู้สึกว่าตนเองมีมลทินเพราะถูกหลี่โย่วโม่โอบกอด
ยามที่กลับมาถึงเรือนฝูฉิง นางค่อยๆ ใช้สติตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดก็คิดเหมือนกับโม่เสวี่ยถงคือตั้งเป้าหมายอยู่ที่ตัวของหลี่โย่วโม่ แค่อีกฝ่ายยอมรับว่าคนที่ตนเองพบเมื่อคืนไม่ใช่นาง และมาสู่ขอโดยไม่เอ่ยถึงเื่หน้าอับอายเ่าั้ นางก็ยังคงรักษาชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่อันบริสุทธิ์ผุดผ่องไว้ได้
แม้โหยวเยวี่ยเฉิงจะรู้เหตุการณ์ทุกขั้นตอน แต่ขอเพียงหลี่โย่วโม่ไม่ปริปาก ด้วยอุปนิสัยโหย่วเยวี่ยเฉิงจะต้องไม่เปิดโปงตนเองแน่ แม้จะรู้สึกละอายใจบ้าง แต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว นางสามารถป้ายสีเื่นี้ไปให้โม่เสวี่ยถง ให้ตนเองกลายเป็ผู้ที่ถูกวางแผนใส่ร้าย โหยวเยวี่ยเฉิงไม่เพียงแต่จะไม่รังเกียจ ยังยินดีช่วยเหลือนางจัดการกับโม่เสวี่ยถงอีกด้วย
ให้เขาเห็นว่าโม่เสวี่ยถงเป็คนให้ร้ายตนเองกับตา ย่อมดีกว่าคำพูดปากเปล่าเป็ไหนๆ
หากแผนนี้สำเร็จ เื่เมื่อวานก็ไม่ถือว่าเป็เคราะห์ร้ายเสียทีเดียว เพราะยังมีโชคดีที่ตามมาอยู่บ้าง
แต่ก่อนอื่นจะต้องให้หลี่โย่วโม่ยอมรับเงื่อนไขส่วนตัวของนางให้ได้ก่อน
โม่เสวี่ยิ่คิดมาร้อยแปดพันประการ ก่อนตัดสินใจมาดักพบหลี่โย่วโม่ ไม่ว่าจะต้องตอบแทนด้วยเงื่อนไขใดก็ต้องทำให้เขารับปากให้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าโหยวเยวี่ยเฉิงก็อยู่ด้วย และยิ่งไม่คิดว่าโม่เสวี่ยถงก็อยู่กับพวกเขา
นางพรางตัวหมายติดตาม คิดไว้ว่าจะรอจนกว่าโม่เสวี่ยถงจะกลับไปก่อนนางค่อยปรากฏตัว แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่โย่วโม่จะกล้าเรียกตัวเองว่าพี่เขยต่อหน้าโม่เสวี่ยถงและโหยวเยวี่ยเฉิง สำหรับโม่เสวี่ยถงก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรระหว่างพวกนางก็เป็ฝ่ายตรงข้ามกันอยู่แล้ว นางสามารถกดอีกฝ่ายอย่างสุดชีวิตได้ ที่สำคัญที่สุดคือโหยวเยวี่ยเฉิงต่างหาก ไม่ว่าเขาจะคิดกับนางอย่างไร แต่ถูกผู้อื่นกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว ตนเองกับเขาไหนเลยจะเป็ไปได้อีก
ด้วยความขุ่นเคืองและอับอายอย่างที่สุด โม่เสวี่ยิ่จึงปรากฏตัวออกมาโดยไม่นำพาสิ่งใดทั้งสิ้น ยามนี้ก็พยายามข่มโทสะในหัวใจไว้อย่างดีแล้ว แต่น้ำเสียงกลับยังวางอำนาจอยู่บ้าง แม้ว่าเสนาบดีหลี่จะมีอำนาจสูงส่ง แต่ขุนนางที่เพิ่งมีอำนาจใหม่อย่างโม่ฮว่าเหวินก็มิใช่ธรรมดา องค์จักรพรรดิทรงเป็นายเหนือหัวคุ้มเกล้า ไหนเลยจะธรรมดาสามัญได้
ขุนนางสื่อของสกุลหลี่มาทาบทามสู่ขอ ทว่ากลับเอ่ยแต่เื่ไม่ดีงามของโม่เสวี่ยิ่กับหลี่โย่วโม่ วาจาคลุมเครือ ไม่เหมือนมาขอแต่งงาน ดูคล้ายจะมาทำลายชื่อเสียงของสตรีสกุลโม่เสียมากกว่า ดังนั้นโม่ฮว่าเหวินผู้เป็บิดาย่อมใคร่ครวญและตัดสินใจแล้วว่าจะเป็มิตรหรือศัตรูกับสกุลหลี่
คำกล่าวประโยคนี้ของโม่เสวี่ยิ่แม้แต่โม่เสวี่ยถงก็ยังกู่ร้องปรบมือในใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถสงบอารมณ์เอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ได้ ทัดทานต่อหลี่โย่วโม่อย่างไม่อ่อนข้อและไม่แข็งกร้าวเกินไป โม่เสวี่ยิ่เป็คนมีความคิดล้ำลึก รู้จักเจรจายิ่งนัก มิน่าเล่าเมื่อชาติก่อนนางจึงยังสามารถแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นได้ ทั้งยังทำให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นยอมสังเวยด้วยชีวิตของนางและบุตรอีกด้วย
แต่คำพูดแบบนี้จะทำให้หลี่โย่วโม่ยอมถอยได้จริงๆ หรือ?
นางปรายตาไปพิจารณาสีหน้าของหลี่โย่วโม่ที่เริ่มนิ่งเย็นกับแววตาอันตรายอย่างละเอียด ริมฝีปากของนางเผยแววเยาะหยัน วันนี้โม่เสวี่ยิ่ทำพลาดอีกแล้ว โหยวเยวี่ยเฉิงย่อมเห็นเื่ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเป็สิ่งสำคัญ แม้วาจาที่นางเอ่ยออกมาล้วนเป็คำโป้ปดเขาก็จำต้องยอมรับ
แต่สำหรับหลี่โย่วโม่กลับเป็ข้อยกเว้น
หากเขาสนใจเื่ 'ชื่อเสียง' มีหรือที่จะปล่อยให้ 'ชื่อเสีย' ของตนเองเน่าเหม็นไปทั่วใต้หล้าเยี่ยงนี้
หากเขาห่วงชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูล จะได้ฉายาว่าเป็หนุ่มเสเพลผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงได้อย่างไร
หากเขากลัวเื่ไม่มีผู้ใดคบหาเป็สหายจริง ก็คงไม่ก่อเื่แย่งชิงบุรุษฉุดคร่าสตรีเช่นนี้หรอก ซึ่งสตรีในจำนวนนั้นก็มีธิดาขุนนางอยู่หลายคน
หากเขา...
คำตอบของทุกสิ่งมีเพียงหนึ่งเดียว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โม่เสวี่ยถงก็ถอยห่างออกไป ยืนหลบอยู่ข้างหินูเาจำลอง คิดจะรอชมละครสนุกอย่างเต็มตา นี่เป็ละครที่สนุกที่สุดในรอบหลายปี ในใจคิดอยากจะให้เื่ดังะเิยิ่งกว่านี้เสียด้วยซ้ำ ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก
วันนี้นางรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“คุณหนูใหญ่หมายความว่าอย่างไร” หลี่โย่วโม่หรี่ตาลง รังสีอันตรายแผ่กำจายออกมาจากดวงตาดำทะมึนคู่นั้น โหยวเยวี่ยเฉิงร้องในใจว่าแย่แล้ว คิดจะเข้าไปขวางหลี่โย่วโม่ สถานการณ์ยามนั้นอยู่ในภาวะคับขัน
“เมื่อวานคุณหนูใหญ่กับข้ากอดและััเนื้อตัวกันแล้ว หรือว่าวันนี้คิดบิดพลิ้วไม่ยอมรับ คงเห็นว่าข้าเป็คนไม่เอาไหนสินะ ต้องเป็บุรุษเ้าเสน่ห์อย่างพี่เยวี่ยเฉิงถึงจะคู่ควรงั้นหรือ”
คำกล่าวนี้ทำให้โหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งเดิมทีคิดจะเข้าไปไกล่เกลี่ยรีบถอยออกมาแทบไม่ทัน
เมื่อครู่อีกฝ่ายเพิ่งจะเอ่ยถึงตัวเขา หากเข้าไปจังหวะนี้ก็จะทำให้คำกล่าวนั้นยิ่งไม่น่าฟัง แม้เขาจะเห็นว่าโม่เสวี่ยิ่ก็เป็สตรีที่ไม่เลว แต่ไม่คิดจะแตกหักกับหลี่โย่วโม่เพราะนาง สหายของเขาผู้นี้เป็พวกไม่มีเหตุผล หากไปกระตุ้นอารมณ์เข้าจริงๆ ไม่ว่าพวกเขาจะเติบโตมาด้วยกันหรือไม่ แค่อีกฝ่ายะโออกมาว่าคุณหนูใหญ่สกุลโม่กับิกั๋วกงซื่อจื่อมีอะไรกัน ชื่อเสียงของตนเองยังจะเหลืออีกหรือ
โหยวเยวี่ยเฉิงเองก็ร้อนตัว เพราะเมื่อคืนโม่เสวี่ยิ่เพิ่งออกมาจากห้องส่วนตัวของเขา เมื่อลงมาถึงข้างล่างก็เกิดเื่กับหลี่โย่วโม่ หลังจากนั้นก็เป็ตนเองที่เข้าไปห้ามไว้เพื่อปกป้องโม่เสวี่ยิ่ พวกเขาสองคนต่างปรากฏตัวที่หอเซียงหม่านโหลว หากหลี่โย่วโม่เกิดแคลงใจว่าผู้ที่โม่เสวี่ยิ่เดินทางมาพบคือตัวเขา แล้วไปเล่าให้ผู้อื่นฟังก็จะเป็เื่ใหญ่ขึ้นมา
เขาเป็ทายาทิกั๋วกงที่มีชื่อเสียงดีงามอย่างยิ่ง ไม่อาจมีเื่เสื่อมเสียเกี่ยวข้องกับสตรีได้ นอกจากนี้โม่เสวี่ยิ่ยังเป็เพียงบุตรอนุภรรยา ตนเองไม่อาจแต่งเป็ภรรยาเอกได้อยู่แล้ว
ในขณะที่โหยวเยวี่ยเฉิงถอยห่างออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง โม่เสวี่ยิ่ก็โดนข่มขู่จนสิ้นทางถอย ถูกหลี่โย่วโม่ใช้วาจาลามปามจนหน้าเขียวหน้าแดง มือบิดผ้าเช็ดหน้าจนแทบขาด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอดกลั้นสุดชีวิต แต่ยามที่เห็นโหยวเยวี่ยเฉิงถอยออกไป ความอดทนของนางก็ขาดผึง โทสะพลุ่งพล่านในชั่วพริบตา ชี้หน้าด่าหลี่โย่วโม่อย่างเกรี้ยวกราด “เ้ามันคนลามกหยาบคายไร้มารยาท เมื่อวานข้าไปพบเจอกับเ้าที่ไหน มีแต่เ้าที่คิดปรักปรำข้าทั้งนั้น ตอนนี้ยังสร้างความอัปยศให้ข้ากับโหยวซื่อจื่ออีกด้วย เ้าคนไร้การอบรมสั่งสอน เ้าคนถ่อยไร้จรรยา”
โม่เสวี่ยถงรู้สึกเลื่อมใสในความใจกล้าของโม่เสวี่ยิ่ยิ่งนัก หลี่โย่วโม่สีหน้าดำทะมึนถึงเพียงนี้แล้วยังกล้าชี้หน้าด่าว่าเป็คนถ่อย ยั่วยุอารมณ์ของชาวบ้านโดยแท้ แม้แต่โม่เสวี่ยิ่ที่สงบเยือกเย็นยังถึงกับควบคุมตนเองไม่อยู่ หลี่โย่วโม่ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ขณะนางนิ่งใคร่ครวญอยู่ ทางหลี่โย่วโม่ก็ปราดเข้าไปหาโม่เสวี่ยิ่ ั์ตาราวกับจะพ่นไฟออกมา ด่าว่าเขาไร้การอบรมสั่งสอน นี่คือเื่ที่เขาถือสาเป็ที่สุด คนที่คุ้นเคยกับเขาดีต่างรู้ว่าผู้ที่กล้าด่าตนเองเช่นนี้ไม่มีใครมีจุดจบที่ดีสักคน นี่ไม่เพียงเป็การฉีกหน้าเขา ยังขยี้ซ้ำแผลเก่าให้ฉีกขาดอีกด้วย
หลี่โย่วโม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวงจนเคยตัว มีแต่ทำให้ผู้อื่นเสียหน้า ไหนเลยจะคิดว่าครานี้ตนเองต้องถูกสตรีแพศยาคนหนึ่งฉีกหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดยังเป็เหมือนลูกศรอาบยาพิษที่ปักเข้ากลางใจพอดี “เมื่ออดทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน” หลี่โย่วโม่เชื่อมั่นในคำพูดประโยคนี้เสมอ และยึดถือตามความเชื่อมาโดยตลอด
เพียะ! เพียะ!
เสียงคมชัดดังขึ้นสองครั้ง ชั่วพริบตาหลังจากนั้น โม่เสวี่ยิ่ก็กรีดร้องเสียงหลง
โหยวเยวี่ยเฉิงตกตะลึงหน้าเซ่อไปแล้ว โม่เสวี่ยถงแข็งใจมองไปที่พี่สาวคนโต เห็นใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาของนางปรากฏรอยมือขนาดใหญ่ นิ้วมือทั้งห้าประทับอยู่ชัดเจน แล้วค่อยๆ บวมแดงอย่างช้าๆ ที่สำคัญมีเืออกจากรูจมูกทั้งสองข้าง จากใบหน้าที่งดงามปานบุปผากลายเป็ปีศาจในชั่วพริบตา ไหนเลยจะเหลือเค้าความงดงามอ่อนโยนอีก
“อุ๊ยตาย...” ไม่รู้ว่าเสียงใครจากไหนหัวเราะร่วนออกมา น้ำเสียงฟังดูเหมือนดัดให้อ่อนหวาน “พี่หญิงใหญ่ เป็อะไรไปเ้าคะ ทำไมอยู่ดีๆ จึงเกิดเื่เช่นนี้ได้ มีเื่อันใดไม่คุยกันดีๆ เล่า ไยต้องถึงขั้นเอ่ยปากด่าทอ มิหนำซ้ำยังลงไม้ลงมือกันอีก หากท่านพ่อรู้เข้า จะว่าพี่หญิงไม่รักษาความเป็กุลสตรีนะเ้าคะ”
โม่เสวี่ยฉงพาสาวใช้ออกมาจากทางเดินด้านข้าง ยกมือปิดปากแล้วค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา ย่อกายคารวะโหยวเยวี่ยเฉิงกับหลี่โย่วโม่ก่อนตามมารยาท แล้วยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างโม่เสวี่ยถง “พี่หญิงสามไฉนจึงไม่ช่วยบอกพี่หญิงใหญ่หน่อยเล่า แม้ว่าพี่หญิงใหญ่จะไม่ถูกเป็พันส่วน หรือผิดเป็หมื่นส่วน ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นมาตบตีได้ ดูพี่หญิงใหญ่ยามนี้สิ ไหนเลยจะเหลือความสง่างามของคุณหนูใหญ่สกุลโม่ ถ้าเกิดใครมาเห็นเข้า... โอ๊ะ! มองใบหน้าของนางยามนี้สิ ดูได้เสียที่ไหน”
โม่เสวี่ยฉงยื่นกระจกบานเล็กให้โม่เสวี่ยิ่ส่องดูใบหน้าด้านข้างที่ดูน่ากลัว พลางมองไปยังโหยวเยวี่ยเฉิงที่เบือนหน้าหนี ริมฝีปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
นางมาก่อกวนด้วยความริษยา โม่เสวี่ยิ่กับนางต่างก็เป็บุตรอนุภรรยาเหมือนกัน ทั้งที่เกิดเื่เสื่อมเสียชื่อเสียง ไฉนจึงยังได้งานแต่งงานที่ดีกว่า
โม่เสวี่ยิ่มองไปที่โหยวเยวี่ยเฉิง เห็นสีหน้าของเขาดูแสลงใจ หัวใจพลันหดรัด หน้าข้าดูน่าเกลียดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หากต้องอัปลักษณ์เหมือนอาฮวาสาวใช้ชั้นล่างที่โง่ๆ เซ่อๆ ผู้นั้น ข้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป
เดิมทีนางไม่คิดจะส่องกระจกดูเงาของตนเองอยู่แล้ว นางรู้ว่าน้องสาวผู้นี้อิจฉาริษยาตนเองมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นสตรีที่ไม่มีสมองผู้นี้อยู่ในสายตา ยามนี้ตนเองอยู่ในภาวะเสียเปรียบทำอะไรไม่ได้ รอไว้สบโอกาสเมื่อไรจะลงมือจัดการนางเสีย
แต่เพราะเห็นท่าทางของโหยวเยวี่ยเฉิงจึงอดใจไม่ได้ลองส่องดูทีหนึ่ง ภาพบนกระจกเผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกตบจนกลายเป็รอยแดงช้ำดูน่ากลัว นางกรีดร้องในฉับพลัน “หน้าของข้า” แล้วผลักโม่ซิ่วที่เข้ามาประคองตนเองเองออกไป พลางยกแขนเสื้อปิดบังใบหน้า จากนั้นก็วิ่งโซซัดโซเซหนีไป
ใบหน้าของโม่เสวี่ยิ่ยามนี้น่ากลัวเหมือนภูตผี แล้วจะไม่ให้นางใจนขวัญหนีดีฝ่อเยี่ยงนั้นได้อย่างไร