“พอแล้ว ฉินหลาง ฉันผิดไปแล้วพอใจรึยัง” เถารั่วเซียงดูฉินหลางกินปาท่องโก๋ลงไปอีกสิบตัว หลังจากนั้นเธอก็สิ้นหวังแล้ว “ก็ได้ ไม่รวมมื้อนี้ โอเครึยัง? —พี่คะ เก็บตังค์!”
“ถ้าคุณพูดแบบนี้ั้แ่แรกก็จบละ” ฉินหลางหัวเราะคิกๆ ความรู้สึกของชัยชนะช่างดีจริงๆ ตอนลุกขึ้นยืน ฉินหลางเรอก่อน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์เถาครับ ความจริงผมกินได้มากสุดอีกแค่สิบตัวเท่านั้น ถ้าคุณใจเย็นอีกนิดนึง บางทีผมอาจจะแพ้ก็ได้”
เถารั่วเซียงฟังคำนี้แล้ว กัดฟันกรอดด้วยความโมโห แต่ว่ากลับทำอะไรเ้าเด็กคนนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตามฉินหลางกินปาท่องโก๋ไปเป็ร้อยตัว เถารั่วเซียงกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินหลางทำได้เช่นไร ดังนั้นั้แ่ออกมาจากร้าน เธอก็ถามฉินหลางอย่างอดไม่ได้ “ฉินหลาง นายเอาปาท่องโก๋พวกนี้ใส่ในท้องได้ยังไงอ่ะ?”
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ? ปาท่องโก๋พวกนี้ดูเหมือนใหญ่ แต่ความจริงแล้วเป็ก้อนแป้งขนาดเท่านิ้วมือที่พองโตเฉยๆ ดังนั้นดูเหมือนผมกินปาท่องโก๋ไปร้อยกว่าตัว แต่ความจริงแล้วผมกินแป้งไปหนึ่งก้อน ก็เท่านั้นเอง” ฉินหลางอธิบาย
“แค่นี้เองเหรอ? ฉันไม่เชื่อ” เถารั่วเซียงกล่าว “ถ้าง่ายขนาดนั้นจริงๆ ทำไมถึงไม่เคยมีใครกินปาท่องโก๋ร้อยตัวเป็อาหารเช้าบ้างเลยล่ะ?”
“เพราะไม่มีใครยอมเสียเงินร้อยกว่าหยวน เพื่อกินอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์แบบนี้หรอก?” ฉินหลางถามกลับหนึ่งคำ “ที่สำคัญตอนเช้าผู้คนเร่งรีบ แล้วปาท่องโก๋ก็ไม่ใช่ของดีอะไร คนส่วนมากยังต้องกินคู่กับน้ำเต้าหู้อีก หลังจากที่น้ำเต้าหู้ซึมซับเข้าไปในปาท่องโก๋ จะอิ่มง่ายเป็พิเศษ”
“เหมือนจะมีเหตุผล”
“แน่นอนสิครับ มันเป็เหตุผลตื้นๆ—”
“พูดพล่อยๆ! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ รีบบอกมา นายใช้วิธีอะไรกันแน่?” เถารั่วเซียงใช้คำพูดและน้ำเสียงข่มขู่ บังคับให้ฉินหลางตอบคำถาม
ฉินหลางจนปัญญา จึงจำต้องบอกความจริงกับเถารั่วเซียง อันที่จริงแล้วเขาแค่กินยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ยาย่อยสลาย’ ที่สามารถเร่งการทำงานของระบบย่อยอาหาร เดิมทีเป็ยาที่เอาไว้ให้แมลงพิษกิน เพื่อให้ระบบย่อยอาหารของมันดีขึ้น เมื่อแมลงพิษเจริญอาหารมากขึ้น มันก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น การโจมตีของมันก็จะรุนแรงและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ใครจะรู้ว่าวันนี้ฉินหลางจะใช้ยานี้กับตัวเอง และเหมือนว่ายาย่อยสลายจะออกฤทธิ์ได้ดีมากด้วย เห็นฉินหลางกินไปเยอะขนาดนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่อิ่มอยู่ดี
ได้ฟังความจริงจากฉินหลางแล้ว เถารั่วเซียงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ ‘เ้าเล่ห์!’
“ช่วยไม่ได้ คุณอยากเ้าเล่ห์ก่อนเอง” ฉินหลางบอกว่าเถารั่วเซียงทำผิดก่อน เล่นเอาเธอพูดไม่ออกเลย
ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ โทรศัพท์ของเถารั่วเซียงก็ดังขึ้น ที่แท้ฮานเซียนก็โทรมาบอกว่าเธอไปถึงเมืองอันหยงแล้ว และทำภารกิจสำเร็จแล้วด้วย ดังนั้นตอนนี้เธอค่อนข้างอารมณ์ดี จึงโทรศัพท์มาหาเถารั่วเซียง นอกจากโทรมาขอบคุณแล้ว ฮานเซียนยังช่วยพูดอวยฉินหลางอีกไม่น้อย เธอยังล้อเล่นกับเถารั่วเซียงว่า ถ้าเถารั่วเซียงไม่รับรักฉินหลาง เดี๋ยวเธอจะจีบฉินหลางแล้ว
ตอนแรกฉินหลางไม่ค่อยชอบฮานเซียนนัก แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงของฮานเซียนแล้ว อคติที่เคยมีต่อฮานเซียนก็ค่อยๆ ลดหายไป ดูแล้วเถารั่วเซียงพูดถูก สมัยเรียนล้วนไร้เดียงสาแต่หลังจากเข้ามาในสังคมแล้ว คนส่วนมากเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เขาไม่ได้เปลี่ยนเพราะความ้าของตัวเองหรอก แต่เพราะถูกสังคมบังคับให้เปลี่ยนแปลง ผ่านเื่พวกนี้แล้ว ฮานเซียนสามารถกลับตัวกลับใจได้ ก็นับเป็เื่ที่น่ายินดี เพราะคนส่วนใหญ่จะหลงอยู่ในแสงสีของสังคมจนลืมความเป็ตัวเองไปตลอดกาล
เห็นเถารั่วเซียงวางสายแล้ว ฉินหลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ฮานโทรมาใช่ไหมครับ? เธอพูดอวยผมรึเปล่าอะ?”
“รู้แล้วยังจะถามอีก!” เถารั่วเซียงสบถ ก่อนจะกวาดตามองฉินหลาง ั้แ่หัวจรดเท้า “ฉันรู้สึกว่านายก็ไม่มีอะไรพิเศษเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าฮานเซียนรู้สึกว่านายดีตรงไหน”
“อาจารย์เถา ทำไมคุณไม่ลองเชื่อคำพูดที่ว่า—ถ้าทุกคนบอกว่าดี นั่นแปลว่ามันต้องดีจริงๆ! คนรูปหล่ออย่างผม ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ชอบอย่างผม จะต้องมีจุดเด่นในตัวเยอะแน่นอน”
“อืม นายเป็ทองที่สว่างไสว แต่เสียดายนะ ที่นายยังเป็เพียงหนุ่มน้อยที่ยังไม่โต ในสายตาของฉัน หนุ่มน้อยที่ยังไม่โตก็เป็แค่เด็กกะโปโล ดังนั้นฉันก็เลยไม่เห็นจุดเด่นอะไรในตัวนาย” เถารั่วเซียงพูดไปหัวเราะไป ในที่สุดก็ได้แก้แค้นเขาแล้ว
“…”
※※※
เพราะ่เช้าฉินหลางกับเถารั่วเซียงมัวแต่ ‘เอาชนะกันไปมา’ ก็เลยเสียเวลาไปไม่น้อย ดังนั้นวันหยุดของฉินหลางจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นักเรียนม.6 หนึ่งอาทิตย์มีวันหยุดแค่วันเดียว แล้ววันหยุดแค่วันเดียวที่มีนี้ ยังแลกมาด้วยความมุ่งมั่น และพยายามของรุ่นก่อนๆ ที่จบออกไป
ต้องรู้ว่า เมื่อก่อนนักเรียนโรงเรียนชีจงสองอาทิตย์มีวันหยุดเพียงวันเดียว!
‘ความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาหาความรู้’ เป็คำสอนของโรงเรียนชีจง ดังนั้นเด็กนักเรียนโรงเรียนชีจงจึงขยันเรียนมาก เพียงแต่ ในโรงเรียนชีจงมีอีกคำพูดหนึ่งที่ดังกว่าคำสอนของโรงเรียน และถูกผู้คนจำนวนมากมาใช้กระตุ้นตัวเอง เมื่อ 10 ปีก่อนมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่สอบเข้ามหาลัยฮัวชิงติดต่อกันสามปีซ้อนถึงสอบเข้าได้ และเป็เพราะรุ่นพี่คนนี้ ชั้นสามของห้องสมุดถึงได้กลายเป็สุสานที่ไฟไม่มีวันดับมาจนทุกวันนี้
“อ่านหนังสือเพราะอยากมีเมีย ถึงเหนื่อยตายก็คิดซะว่าฉันนอนหลับ!”
เล่ากันว่าคนคลั่งคนนี้ไอคิวไม่สูงมาก แต่ว่าเขาพากเพียรมาก ดังนั้นระยะเวลาการสอบถึงสามปี ในที่สุดเขาก็สอบมหาลัยฮัวชิงได้ดั่งใจหวัง ก็นับว่าเป็อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ แล้วที่สำคัญ ‘สุสานที่ไฟไม่มีวันดับ’ ก็เกิดขึ้นมาเพราะเขาด้วยเช่นกัน
เขาเป็ไอดอลของจ้าวกันกับฉินหลาง ด้วยความที่จ้าวกันชอบเม้าท์มอยมาก ดังนั้นเขาจึงพบความลับที่ซ่อนอยู่ในเื่เล่านี้ นั่นก็คือ สาเหตุที่รุ่นพี่คนนั้นขยันเรียน ตั้งมั่นและใช้กระตุ้นตัวเองนั้น ก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เขารักมากกว่าชีวิตของตัวเอง ผู้หญิงคนนั้นเป็คนเก่งมาก สอบเข้ามหาลัยฮัวชิง ดังนั้นเขาจึงพยายามสุดชีวิต เพื่อให้สอบเข้ามหาลัยฮัวชิง จะได้ตามจีบผู้หญิงคนนั้นต่อ
เกี่ยวกับนิทานเื่นี้ จ้าวกันยังเขียนบทความเื่นี้ส่งไปที่หนังสือพิมพ์โรงเรียน และบทความนี้ยังได้รับคำชื่นชมจากรั่วปินด้วย นี่เป็บทความเดียวของจ้าวกันที่รั่วปินชื่นชม เสียดายที่ทางโรงเรียนรู้สึกว่าบทความนี้ยุยง ส่งเสริมให้มีความรักในวัยเรียน ดังนั้นจึงไม่ถูกตีพิมพ์ จ้าวกันโมโหจนด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโค** ของผู้ที่รับผิดชอบตีพิมพ์ เพราะจ้าวกันรู้สึกว่าในบทความนี้มีความพยายามและตั้งใจของเขาอยู่
โรงเรียนชีจงถูกกำหนดให้เป็ที่ก่อเกิดคนคลั่งทั้งหลาย
ความจริงแล้ว ในสายตาของฉินหลาง จ้าวกันก็นับว่าเป็คนบ้าคนหนึ่งเหมือนกัน
หลังจากกินข้าวเย็น ตอนที่ฉินหลางกำลังจะกลับหอพัก ก็เห็นฉินหลางชี้คอมพิวเตอร์ แล้วด่าด้วยคำหยาบคาย ด้วยความโมโห ถึงขนาดขว้าง ‘เมาส์แสนรัก’ ของเขาจนแตกกระจาย เมาส์แสนรักของฉินหลาง เป็รูปทรงของกระต่ายสาว ปุ่มกดทั้งซ้ายและขวา ก็คือหน้าอกทั้งสองข้างของกระต่ายสาว เมาส์รุ่นนี้ไม่มีขายตามท้องตลาด จ้าวกันสั่งจองมาจากอินเทอร์เน็ต ปกติแล้วเขาจะรักเมาส์อันนี้มาก คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะเขวี้ยง ‘เมาส์แสนรัก’ ของตัวเอง
“จ้าวกัน นายทำอะไรอะ?” ฉินหลางถามอย่างอดไม่ได้
“แม่ม โมโหจริงๆ เลย! แกบอกว่าถ้าผ่านขั้น N และปลดล็อกแล้ว สูญเสีย N ไปเยอะ หลังจากจ่าย N แล้วดาวน์โหลดอีกหนึ่งส่วน บนคำแนะนำเขียนไว้อย่างดี แม่ม คิดไม่ถึงว่าจะโกหกล้วนๆ! เชี่ย!” จ้าวกันเดือดเพราะเื่แค่นี้เนี่ยนะ ทำเอาฉินหลางพูดไม่ออก
“พอเถอะ ใครใช้ให้สมองนายไม่แข็งแรงเอง นายเอาเวลาไปทำงานดีกว่ามั้ย” ฉินหลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“อะไรคือไง? นี่ก็คืองานของฉัน นายอย่าลืมสิ ฉันอายุครบ 18 ปีแล้วนะ ความจริงแล้ว ตอนนี้ฉันเข้าใจคำพูดคำหนึ่งอย่างลึกซึ้งแล้ว—”
“ยังไง?”
“ฉันตระหนักถึงความสำคัญหนึ่งอย่างของ มาร์ค จาคอป มันคอยขัดขวางและทำลายศิลปะของคน!” จ้าวกันพูดอย่างมีคุณธรรม ฉินหลางฟังคำนี้แล้ว โมโหจนอยากจะถีบเ้าหมอนี่ให้กระเด็นจริงๆ เลย!
แต่ตอนนี้ฉินหลางยังไม่อยากเสียเวลากับเ้าหมอนี่ เพราะว่าอยู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“ฉินหลาง รีบไสหัวมาทบทวนบทเรียนตอนดึกซะ!” มีเสียงของผู้หญิงที่ดุร้ายมากๆ ดังออกมาจากในโทรศัพท์
“นี่ใครอ่ะ?”
“ฉันเป็หัวหน้าห้องของนายไง!”
“…”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้