"มีเื่อะไร?"
เรือนผมดำราวกับผ้าหรือไม่ไหวไปมาเบาๆ ละตามลำคออันสง่างาม ลงไปยังกระดูกไหปลาร้าอันละเอียดอ่อน
สีดำลึกลับและชุ่มชื้น ราวกับเงาที่ทาบทับลงบนผิวขาวเนียนราวหยก
เสน่ห์เย้ายวนที่ดูเป็ธรรมชาติ ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเ็าและสง่างามราวเทพเซียนนั้น กลับซ่อนเร้นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก
ซู่หลิงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงตอบรับสองคำเบาๆ
มือข้างหนึ่งโอบนางไว้ในอ้อมอก ปกป้องนางอย่างมิดชิด
“มู่ฉินเทียน ท่านลุงรองแห่งตระกูลมู่พาบุตรสาวเข้ามาในพระราชวังและร้องเรียกหาคุณหนูสามตระกูลโม่พ่ะย่ะค่ะ พวกเขากล่าวว่า...คุณหนูสามมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายชู้ ต้องรีบกลับไปยังตระกูลเพื่อรับโทษตามกฎของตระกูลทันที”
ใบหน้าหล่อเหลาของเทียนเฟิงเคร่งขรึม รายงานทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา
“โอ้ ยังคิดว่าพวกเขาจะอดทนได้นานกว่านี้เสียอีก แต่ก็ได้เท่านี้”
สีหน้าของมู่เทียนอินที่ถูกขังอยู่ในอ้อมแขนของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก
“เทียนเฟิง เ้าออกไปรับรองท่านลุงรองก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินเสียงที่อ่อนหวานยั่วยวนของนาง ดวงตาสีม่วงที่ดูเ็าของซู่หลิงก็มืดลงและน้ำเสียงก็แสดงออกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เทียนเฟิงก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ภายในห้องนั้นคลุมเครือและอันตรายเกินไป ต้องรีบหนีออกไปเพื่อความปลอดภัย!
“เ้าก็อยากออกไป 'เช่นนั้น' ใช่หรือไม่?”
สายตาเ็าของซู่หลิงมองั้แ่หน้าอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่ว ไล่ไปหยุดที่เท้าเปล่าขาวเนียน
“ข้าอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะท่านไม่ใช่หรือ!”
เมื่อรู้สึกว่าเขามองนางั้แ่หัวจรดเท้าหลายครั้ง ใบหน้าเล็กของมู่เทียนอินก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้น พร้อมกับบ่นอุบอิบด้วยความโกรธเคือง
“เฮ้ ท่านรีบคิด…อื้อ อื้อ”
นางทั้งโกรธทั้งโมโห จึงพูดออกมาอย่างเร่งรีบ
ริมฝีปากสีชาดอันอ่อนนุ่มกลับถูกบุรุษผู้นั้นปิดกั้นอย่างแข็งกร้าว ริมฝีปากและเรียวลิ้นดูดดึง เกี่ยวกระหวัดกันอย่างป่าเถื่อน
เดิมทีร่างกายของนางก็อ่อนยวบมากแล้ว เมื่อถูกตัณหาเข้าครอบงำ จึงตัวสั่นเทาราวกับสัตว์ตัวน้อยใกล้ตาย
ทันใดนั้นก็ถูกบุรุษผู้นั้นบดจูบอย่างรุนแรง แขนขาเรียวเล็กก็โอบรอบเขาโดยไม่รู้ตัว
ริมฝีปากของบุรุษผู้นี้ทั้งเย็นเยียบและเย้ายวนใจอย่างมาก และรสชาติก็ดีจนน่าเหลือเชื่อ!
มู่เทียนอินเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสน ดื่มด่ำไปกับริมฝีปากและเรียวลิ้นที่เกี่ยวพันกันอย่างคลุมเครือ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็เปลือยกายแนบเนื้อกันอีกครั้ง
เสื้อคลุมบางของซู่หลิงไม่รู้ว่าถูกฉีกขาดไปไหน และชุดที่นางสวมใส่อยู่ก็หลุดลุ่ยออกจนหมด
"อืม...อ๊า...อื้อ..."
เสียงครางครวญอันยั่วยวนและคลุมเครือดังก้องอยู่ในสระน้ำอันเงียบสงบ
"นี่เป็วิธีที่ทำให้เ้าฟื้นตัวได้เร็วที่สุด"
รอจนกว่าดวงตาสีดำพร่าเบลอของมู่เทียนอินจะกลับมาสว่างชัด
ใบหน้าหล่อเหลาของซู่หลิงเต็มไปด้วยรอยแดง แม้กระทั่งกระดูกไหปลาร้าและไหล่ก็ยังมีรอยเล็บเล็กๆ อยู่ด้วย
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนตัณหาจัด
ทว่าสตรีผู้นี้คิดว่าเขาจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดเลยหรือ?
ไม่รู้จักข่มใจตนเองเอาเสียเลย!
เพียงการจูบ ก็เกือบถูกนางเอาเปรียบเสียแล้ว
ร่างกายที่อ่อนเยาว์และยั่วยวนนั้นกำลังเกาะติดตนไม่ยอมปล่อย
ทั้งลูบคลำ กอดรัด บีบเคล้น ทั้งยังมีการโลมเลียและขบกัด
มู่เทียนอินที่ได้รับอิทธิพลจากกลิ่นหอมเย็นในตัวเขามาเป็เวลานาน ร่างกายจึงเริ่มมีอารมณ์โดยไม่รู้ตัว
แม้ร่างกายของซู่หลิงจะเป็ฝ่ายปล่อยกลิ่นหอมเย็นออกมา ความจริงแล้วกลับเป็ฝ่ายถูกนางยั่วเย้าเสียมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การที่เขามีจิตใจสงบและปราศจากกิเลสมานานหลายปี ทำให้เขาเคร่งครัดในหลักการของตนเอง
ครั้งที่แล้ว เืของสัตว์ร้ายส่งผลย้อนกลับและกู่ิญญาคอยกดทับพลังิญญาภายในร่างกาย ทำให้ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านจึงถูกนางเอาเปรียบไปได้
ต่อมายิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ จึงกลับมาคร่อมทับนางกลับ
ใบหน้าเล็กของมู่เทียนอินแดงก่ำราวกับเปลวไฟ
เมื่อครู่พวกเขาเพียงบดจูบกันเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย
ต้องขอบคุณที่คนผู้นี้มีจิตใจสงบและปราศจากกิเลส ทำให้ยืนหยัดไม่ล้ำเส้นได้
ไม่เช่นนั้น ด้วยสภาวะของนางเมื่อครู่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอะไรลงไปอีกบ้าง
เมื่อนึกถึงการยั่วยวนและล่อลวงที่ร้อนแรงของตนเมื่อครู่นี้ ...
มู่เทียนอินรู้สึกว่าเกียรติยศชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดชีวิตกำลังจะพังทลายลงเพราะเคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิที่น่ารำคาญนี่
เมื่อมู่เทียนอินและซู่หลิงมาถึงห้องรับรองแขก เวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว
มู่ฉินเทียนและมู่หลิงเซียนซึ่งดื่มชาไปแล้วสามหรือสี่ถ้วย ต่างรอมานานจนทนไม่ไหว
เนื่องจากสถานะของซู่หลิง พวกเขาจึงไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า ทว่าภายในใจกลับก่นด่าไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
มู่หลิงเซียนยิ่งริษยามากขึ้น
เพียงคนขี้โรคที่ด้อยกว่าตนในทุกด้านได้เข้าไปอาศัยอยู่ในพระราชวังอวี้ชิงของฮ่องเต้ใหญ่ก็น่าเจ็บใจพอแล้ว
นี่เป็ยามสายแล้ว นางยังคงซ่อนตัวอยู่หลังประตูที่ปิดสนิทอยู่เลย
คงจงใจยั่วยวนองค์ฮ่องเต้ใหญ่อยู่เป็แน่!
ขณะที่นางกำลังสงสัยและคาดเดาอยู่นั้นเอง ทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องด้านใน
เหลือบมองเพียงแวบเดียว นางก็สังเกตเห็นว่ามีร่องรอยบนใบหน้าหยกอันงดงามขององค์ฮ่องเต้ใหญ่
แม้จะเล็กน้อย
ทว่าเพราะซู่หลิงมีรูปโฉมที่โดดเด่นอย่างมาก จุดบกพร่องเพียงเล็กน้อยบนใบหน้าจึงดูสะดุดตาเป็พิเศษ
ไม่ต้องพูดถึงร่องรอยสีแดงอ่อนบนแก้มและคางของเขา
เมื่อมองไปที่มู่เทียนอิน ใบหน้ามีเสน่ห์ของนางไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่าเกิดอะไรขึ้นกับริมฝีปากของนางกัน?
เห็นได้ชัดว่ามีความบวมแดง พร้อมบรรยากาศที่คลุมเครือและน่าสงสัย
ไม่มีสตรีอื่นในพระราชวังอวี้ชิง นอกจากมู่เทียนอิน ต้องเป็นางแน่ที่ไปยั่วยวนองค์ฮ่องเต้ใหญ่
“เทียนอิน มีข่าวลือแพร่สะพัดในหอจุ้ยเซียน วันนี้ข้าจึงเข้าวังมาในนามของผู้นำตระกูล เ้าจงกลับไปชี้แจงเื่ราวเหล่านี้เสีย”
มู่ฉินเทียนเกิดในตระกูลใหญ่ การใช้ชีวิตและการเข้าสังคมย่อมมีความเฉลียวฉลาดเป็ธรรมดา
เพียงเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์คลุมเครือเช่นนี้ทันทีที่มาถึง
อย่างไรก็ตาม หากมู่เทียนอินพยายามเข้าหาแล้วอย่างไร?
เขาไม่เชื่อว่าองค์ฮ่องเต้ใหญ่จะมาหลงรักสตรีไม่บริสุทธิ์ที่ต่ำต้อยผู้นี้หรอก
“ในเมื่อท่านลุงรองบอกว่าเป็ข่าวลือ ก็ควรจะรู้ว่าเื่นี้ไม่น่าเชื่อถือ ข้าไม่มีอะไรจะอธิบายเ้าค่ะ”
มู่ฉินเทียนพูดอย่างมีไหวพริบ ทว่ามู่เทียนอินไม่ได้เชื่อถือเขาเลย
ในคืนนั้นมันชัดเจนว่ามีคนตั้งใจใส่ร้ายป้ายสี
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้มีความสำคัญใดๆ ในจวนตระกูลมู่มาโดยตลอด จะมีใครสนใจคนขี้โรคที่ฝึกฝนจิติญญาไม่ได้กัน?
คงจะเป็เพราะความรักใคร่ที่ท่านปู่มีให้และสัญญาหมั้นที่เป็อุปสรรคขวางทางผู้อื่น
“ท่านพี่สาม ชื่อเสียงของสตรีเป็เื่สำคัญ ยิ่งเป็เพียงข่าวลือ ยิ่งต้องกลับไปสืบสวนให้ชัดเจนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ท่านพี่นะเ้าคะ”
เมื่อมู่หลิงเซียนเห็นว่านางมีท่าทีดื้อดึงเช่นนี้ จึงรู้สึกทั้งใทั้งโกรธเคือง
ทว่าเมื่อคิดว่ามีฮ่องเต้ใหญ่อยู่ด้วย นางจึงจงใจพูดจาดีโดยไม่แสดงความไม่พอใจ
นางยังจงใจกัดริมฝีปากล่างเพื่อให้ริมฝีปากสีชาดชุ่มชื่นน่าดึงดูด
นางพยายามอย่างหนักที่จะยั่วยวน
ทว่าเขาไม่เหลือบมองนางเลยแม้แต่น้อย กลับจดจ้องไปที่มู่เทียนอินอย่างครุ่นคิดเท่านั้น
“ใช่ ภายในตระกูลไม่พอใจกับเื่นี้อย่างมาก และจะช่วยเ้าค้นหาความจริงของข่าวลือนี้ให้จงได้”
มู่ฉินเทียนแสดงออกถึงความเป็กลางและยุติธรรมอย่างมาก ทั้งยังให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น
มู่เทียนอินอยากยิ้มเยาะกับเื่นี้
ข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก1 จะต้องตรวจสอบอะไรอีก?
ทันทีที่นางกลับไปยังจวนตระกูลมู่ พยานและหลักฐานทั้งหมดจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
มู่เทียนอินรู้ว่าพวกเขาเตรียมตัวมาดี
การที่คนธรรมดาอย่างนางได้อสรพิษเขมือบนภา ย่อมเป็ที่จับตามองและก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้คนจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คิดฝันว่าผู้ที่นางหลับนอนด้วยในคืนนั้นจะเป็ซู่หลิง
“เฮ้ ซู่หลิง เมื่อครู่ท่านไม่ได้บอกหรือว่าอยากให้ข้าอุ่นเตียงสักหนึ่งเดือน?”
เมื่อมองบิดาและบุตรสาวที่เข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย มู่เทียนอินจึงแค่นหัวเราะ
"ข้าตกลง"
สิ่งที่มู่เทียนอินเพิ่งพูดคือ... อุ่นเตียง?
มู่ฉินเทียนและมู่หลิงเซียนจ้องไปที่มู่เทียนอินตาค้าง พลางพูดออกมาอย่างประหลาดใจ
จากนั้นเหลือบมองไปที่บุรุษในชุดขาวผ่องราวหยก บรรยากาศรอบข้างตกอยู่ในความเงียบงัน
“มู่เทียนอิน เ้ากำลังพูดไร้สาระอะไร”
มู่หลิงเซียนใมากจนลืมตัว
“เ้าตอบตกลงก็ดีแล้ว หากปฏิเสธ เปิ่นจุนก็คงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็แน่”
ซู่หลิงเชยคางอันบอบบางของนางขึ้น ราวกับไม่มีคนอยู่รอบข้าง
น้ำเสียงของเขาเย็นะเืราวกับหยกใส ยังคงรักษามารยาทและห่างเหินเช่นเคย
“เทียนเฟิง ไปรายงานต่อฮ่องเต้เย่”
ประโยคสั้นๆ สองประโยคนี้ เมื่อเข้าไปถึงหูของมู่หลิงเซียนและมู่ฉินเทียนแล้วก็ราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจ!
ฮ่องเต้ใหญ่...ยอมรับแล้วจริงๆ !
ใบหน้าของมู่หลิงเซียนซีดลงด้วยความโกรธ ราวกับกลับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
มู่เทียนอินไม่แปลกใจที่เขาช่วยแก้ไขสถานการณ์ของนาง ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดคือเขาจะให้ความร่วมมือขนาดนี้
ฮ่องเต้แห่งพันธมิตรผู้สง่างามเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาจริงๆ ซึ่งไม่คล้ายบุคลิกของเขาเลยสักนิด
เขาจงใจทำเช่นนี้เพื่อแก้แค้นแทนนางอย่างนั้นหรือ?
“เมื่อเ้าตอบตกลงแล้ว เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเลยดีหรือไม่? อินเอ๋อร์”
มู่เทียนอินยังคงมึนงงเล็กน้อย ทว่าซู่หลิงได้จับมือเล็กของนางไว้ และยังพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง
คำเหล่านี้เปิดเผยข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมา ทำให้มู่หลิงเซียนและมู่ฉินเทียนตกตะลึงอีกครั้ง!
นี่...นี่คือฮ่องเต้แห่งหลิงเทียนจริงหรือ?
คนขี้โรคเช่นมู่เทียนอินจะได้รับความโปรดปรานจากซู่หลิงได้อย่างไร?
มู่หลิงเซียนรู้สึกเจ็บใจมากจนแทบกระอักเื
เดิมทีคิดว่าการจัดการกับสตรีขี้โรคที่ไม่บริสุทธิ์จะเป็เื่ง่ายดาย
ใครจะคิดว่านางจะเกาะติดกับองค์ฮ่องเต้ใหญ่กันล่ะ
มู่ฉินเทียนก็เก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่เช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่ฮ่องเต้ใหญ่ได้ยินเื่ลักลอบมีสัมพันธ์นี้ จะต้องทิ้งขว้างนางไปเหมือนสิ่งไร้ค่า
ผลสุดท้ายกลับเป็ใบหน้าของตนถูกตบจนบวม
“ท่านลุงรอง คุณหนูห้า เชิญขอรับ”
หลิงอวิ๋นมีสีหน้าเ็า ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะโกรธแค้นมากเพียงใด
การส่งแขกออกไปอย่างไร้ไมตรีก็เปรียบเสมือนการใช้มีดแทงซ้ำอีกครั้ง
ยามนี้ มีเพียงมู่เทียนอินเท่านั้นที่สามารถระงับเืสัตว์ร้ายในร่างกายของนายน้อยได้ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาพาตัวนางไปเป็แน่
แม้ว่ามู่ฉินเทียนจะรู้สึกโกรธอย่างมาก ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้
เขาทำได้เพียงพามู่หลิงเซียนจากไป
…
ภายในตำหนักชั้นในของพระราชวังอวี้ชิง มู่เทียนอินเดินตามซู่หลิงไปจนถึงเตียงหยกด้านใน
“ซู่หลิง ยามนี้ท่านคงไม่คิด…”
เมื่อมองไปที่เตียงขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และเห็นสีหน้าจริงจังของซู่หลิง
ใบหน้างดงามของมู่เทียนอินก็แดงก่ำขึ้น รู้สึกเขินอายอย่างสุดซึ้ง
นี่...ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?
“ท่านก็รู้ด้วยว่าเมื่อครู่ข้าถูกสถานการณ์บีบบังคับ แม้ว่าข้าตอบตกลงที่จะช่วยท่าน... อุ่นเตียง…”
ในคืนนั้นข้าหลับนอนกับเขาคือเื่จริง หลังจากนั้นก็ไปฝึกเคล็ดวิชาของเขา และเมื่อครู่เกือบจะล่วงเกินเขาอีกครั้ง
มู่เทียนอินเริ่มไม่รู้สึกต่อต้านเขาอย่างที่เคยเป็ และยังรู้สึกผิดด้วยเล็กน้อย
ทว่าการดึงนางไปเพื่ออุ่นเตียงเช่นนี้ มันช่างน่าอายเกินไปแล้ว!!
เมื่อพูดถึงคำว่า 'อุ่นเตียง' นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงจูบที่ทั้งสองเคยแลกเปลี่ยนกันเมื่อไม่นานมานี้
ใบหน้าเล็กขาวซีดนั้นเปลี่ยนจากสีแดงอ่อนเป็สีแดงก่ำในทันที แม้ปกติจะพูดจาฉะฉานก็ไม่เป็เช่นนั้นอีกต่อไป...
"นอนเถอะ"
ซู่หลิงอุ้มนางขึ้น และวางลงบนเตียงอย่างเบามือ
ซ้ำยังหยิบผ้าห่มมาห่มให้นางอย่างอ่อนโยน
มู่เทียนอินใเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงห่มผ้าให้นางแน่นถึงเพียงนี้
หรือว่าบุรุษผู้นี้อยากให้นางนอนคนเดียว?
“แล้วอุ่นเตียงที่ท่านพูดถึงก็คืออุ่นเตียงจริงๆ งั้นหรือ?”
นางมองใบหน้างดงามราวหยกที่อยู่ใกล้อย่างพูดไม่ออก
นางพูดเสียงดังเกินไปเล็กน้อย โดยเน้นเสียงหนักที่คำว่าอุ่นเตียง
“อืม เ้าจงหมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชาดวงใจจักรพรรดิให้ดี ในขณะที่กลั่นพลังิญญาจะเกิดเส้นพลังอิ๋นคุนขึ้นมา”
บุรุษผู้งามสง่าในชุดสีขาวพยักหน้าและอธิบายอย่างจริงจัง
“ห้องบรรทมนี้มีค่ายกลและพลังิญญาหนาแน่น ยิ่งเ้าฝึกฝนเร็วเท่าไหร่ พลังอิ๋นคุนก็จะยิ่งมีปริมาณมากขึ้นเท่านั้น และจะสามารถควบคุมเืสัตว์ร้ายได้”
เืสัตว์ร้ายอีกแล้วหรือ?
เืสัตว์ร้ายนี่เป็สัตว์ร้ายชนิดใดกัน?
-------------------------------------------
[1] ข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก หมายถึง เื่ราวเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้อีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้