“ฮ้าว……” เสียงสดใสเสียงหนึ่งดังลอดออกมาจากภายในไข่ของคุนเผิง พลันเปลือกไข่ที่เป็ประกายแสงสีเขียวน้ำเงินจางลงทันใด คล้ายดั่งสูญเสียพลังงานทั้งหมดไปแล้วจนกลายเป็ไข่ธรรมดา
จ้านอู๋มิ่งหมกมุ่นอยู่กับการสื่อสารทางจิติญญากับร่างแยกในไข่ของคุนเผิง จนลืมเลือนกาลเวลาไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่ทราบเช่นกันว่าผ่านไปเป็เวลานานเท่าไรแล้ว พลันเขารู้สึกร่างกายสะท้านขึ้นคราหนึ่ง ธาตุวายุและธาตุวารีใต้ฝ่าเท้าแปรเปลี่ยนเป็เบาบางลงขึ้นมาทันใด สิ่งนี้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาจากที่ตกอยู่ในภวังค์ ท้องฟ้าเหนือเกาะสมรภูมิรบกระดูกขาวแขวนไว้ด้วยจันทรากระจ่างดวงหนึ่ง เมฆครึ้มสลายจางหายจนหมดสิ้น จันทร์เสี้ยวเริ่มแรกปรากฏ ทำให้น่านน้ำเกาะสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นอีกหลายส่วน ละอองหมอกจางๆ เหนือมหาสมุทรคล้ายดั่งจะเบาบางกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งประหลาดใจกลับเป็ั์ตาคุนเผิงขนาดใหญ่สองลูกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาหายไปแล้ว และดูเหมือนจะมีตาแปลกๆ อยู่ใต้ฝ่าเท้าแต่ละข้างของเขา
ั์ตาคุนเผิง กลับผสานหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาแล้ว เขายังรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างที่ฝ่าเท้าสามารถเชื่อมโยงกับธาตุวารีและธาตุวายุพลังเหนือธรรมชาติของฟ้าดินอย่างง่ายดาย กลืนธาตุวารีและวายุทั้งสองธาตุระหว่างฟ้าดินผันแปรเป็พลังเหนือธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายตนตลอดเวลา คอยเสริมเติมเต็มถ้ำนภาที่ว่างเปล่าในจิติญญาแห่งชีวิตของตน
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกถ้ำนภาของธาตุวายุและธาตุวารีภายในจิติญญาแห่งชีวิตหดตัวเล็กลงมากแล้ว พลังธาตุที่มากเกินไปถูกร่างแยกคุนเผิงดูดออกไป แต่สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งรู้สึกสบายใจคือ เวลานี้ความไม่สมดุลที่รุนแรงยิ่งในร่างกายนั้นคลี่คลายลงมากแล้ว ถ้ำนภาของธาตุต่างๆ แต่ละธาตุภายในร่างกายมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน มีความสมดุลและสงบมากยิ่งขึ้น และพลังธาตุอื่นๆ ในจิติญญาแห่งชีวิตก็ไม่ถูกสะกดข่มมากเกินอีกต่อไป เริ่มโคจรดูดซับพลังธาตุบางเบาระหว่างฟ้าดิน ขยายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยตัวเองตลอดเวลา
และในขณะนี้ ร่างแยกในเปลือกไข่คุนเผิงเติบโตเต็มที่แล้ว รอยแตกเป็เส้นสายปรากฏขึ้นบนเปลือกไข่แล้ว ขอเพียงร่างแยกคุนเผิงออกแรงจากภายใน ก็สามารถจะทะลวงเปลือกออกมาเองได้
หลังจากดูดซับพลังส่วนใหญ่จากั์ตาของคุนเผิงและพลังอสนีสายฟ้าแห่งทัณฑ์สายฟ้าแล้ว ร่างแยกคุนเผิงมีพลังการต่อสู้ของปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดแล้ว สิ่งนี้ก็อยู่ภายใต้การควบคุมโดยเจตนาของจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน นำพลังงานธาตุจำนวนมากเก็บไว้ภายในร่างกาย ยังไม่ได้ถูกผันแปรจนหมดสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งประหลาดใจยินดีอย่างมาก กลับเป็การเจริญเติบโตของร่างแยกคุนเผิงไปกระตุ้นความทรงจำอันเป็มรดกตกทอดในห้วงคำนึงของเขา……
มรรคาแห่งเต๋าต่างๆ ทักษะเคล็ดวิชาการต่อสู้ ตลอดจนวิถีการฝึกฌานบ่มเพาะทั้งหมดล้วนประทับเข้าไปอยู่ในห้วงคำนึงของจ้านอู๋มิ่ง
สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งยินดีมากที่สุดกลับเป็ท่าร่างของคุนเผิง ทักษะสัตว์เทวะชนิดนี้ทั้งหมดล้วนเป็มรดกสืบทอดมาจากความทรงจำโดยกำเนิดของคุนเผิงทั้งสิ้น ย่อมเป็เคล็ดวิชาลับที่เหนือล้ำกว่าระดับฟ้าที่พูดถึงกันอย่างแน่นอน
สยายปีกออกหลายหมื่นลี้ เขย่าสะท้านถึง์เก้าชั้นฟ้า ล้วนเป็ความเร็วของคุนเผิงเล่าขานกันในตำนาน ควรทราบว่าความเร็วสูงสุดของคุนเผิง ใต้หล้าไร้ผู้สามารถทัดเทียม ถึงแม้ท่าร่างชนิดนี้จะใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดได้ก็เฉพาะเวลาที่คุนเผิงฟื้นคืนร่างเป็เผิง นกั์วิเศษขนาดใหญ่มหึมาเท่านั้น แต่การฝึกฝนบ่มเพาะของร่างกายมนุษย์ก็มีจุดที่เป็ข้อดีอย่างยิ่งเช่นกัน จ้านอู๋มิ่งรู้สึกว่าถึงแม้เขาจะเข้าใจพลังวายุของตระกูลหนานกงแล้วก็ตาม แต่ยังขาดเคล็ดวิชาด้านความเร็วอันเป็มรดกตกทอดที่สมบูรณ์กว่า และความเร็วของคุนเผิงนี้คือการเติมเต็มในส่วนที่บกพร่องของตัวเองอย่างแน่นอน
“แคร่ก……” ไข่ั์ของคุนเผิงนั้นแตกออกอย่างกะทันหัน ปากแหลมยาวยื่นออกมาจากเปลือกไข่ปากหนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอยกลับและจิกเปิดเป็ช่องวงกลมแห่งหนึ่งโดยรอบด้านขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลือกไข่แตกกระจาย กลิ่นอายดุร้ายขนานใหญ่แผ่กระจายออกมาเองตามธรรมชาติ จนฟ้าดินหม่นหมองขาดสีสัน และดวงจันทราอับแสง……
ทันใดนั้นจ้านอู๋มิ่งพบว่า พลังอาถรรพณ์ชั่วร้ายแห่งร่างแท้ของคุนเผิง แทบจะเทียบรวมพลังอาถรรพ์ชั่วร้ายทั้งหมดของมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าเลยทีเดียว พลันเขาก็เข้าใจถึงเหตุผลแล้ว ที่ไฉนถึงมีการเล่าขาน ถึงแม้พลังการต่อสู้ของคุนเผิงจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์เทวะในตำนานส่วนใหญ่ แต่กลับไม่ใช่สัตว์เทวะ ทว่าถูกขนานนามเป็สัตว์ดุร้าย เนื่องเพราะสิ่งนี้ถูกผันแปรจากพลังอาถรรพณ์ชั่วร้ายภายในพลังโกลาหลนั่นเอง ชีวิตโดยกำเนิดนั้นเป็ตัวแทนของความดุร้าย เวลานี้ประจวบเหมาะเพิ่งฟักออกมาภายในสมรภูมิรบกระดูกขาวพอดี หลังจากดูดซับพลังั์ตาทั้งคู่ของคุนเผิงจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังดูดซับเอาพลังอาถรรพณ์ชั่วร้ายทั้งหมดของสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้จนหมดสิ้นโดยไม่รู้ตัว เวลานี้จ้านอู๋มิ่งจึงได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ ไฉนสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้กลับยังสามารถมองเห็นจันทร์กระจ่างกลางนภากาศ และสาเหตุแท้จริงที่พลังอาถรรพณ์ชั่วร้ายอันแข็งแกร่งเข้มข้นของกลิ่นอายมรณะนั้นกลับหายไปจนหมดสิ้น
“เปรียะ” ดังขึ้นคราหนึ่ง เปลือกของไข่คุนเผิงแตกสลายหมดสิ้น สัตว์ประหลาดขนาดเท่าเรือนพำนักคล้ายปลาก็ไม่ใช่ปลา คล้ายนกก็ไม่ใช่นกไถลลอดออกมาจาภายในนั้น นั่นคือคุนเผิงน้อยนั่นเอง
“โอ๊บๆ เอี๊ยด โอ๊บๆ เอี๊ยด…” คุนเผิงน้อยพอถือกำเนิดมา ก็กินเปลือกไข่ลงในท้องจนหมดสิ้นทันที จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำกับจ้านอู๋มิ่งคำหนึ่ง แล้วะโลงน้ำในมหาสมุทรอย่างกะทันหัน
“แกรกก……” เสียงร้องทุ้มต่ำยาวนานจากกลางมหาสมุทรดังแผ่ขยายออกไปทันที ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายไปทางน่านน้ำมหาสมุทรอันไกลโพ้นทันใด คล้ายดั่งประกาศให้ทราบว่าราชันแห่งมหาสมุทรที่แท้จริงผู้หนึ่งได้หวนคืนกลับมาแล้ว
จ้านอู๋มิ่งถอนหายใจยาวคำหนึ่ง คุนเผิงเกิดมาเพื่อเป็เ้าแห่งมหาสมุทร และผันแปรเป็นก กลายเป็ราชันแห่งน่านฟ้า นี่คือการประกาศต่อชนเผ่าสมุทรให้ทราบถึงการกลับมาของคุนเผิง แต่จ้านอู๋มิ่งไม่้าให้คุนเผิงเปิดเผยตัวมากเกินไปในเวลานี้ เนื่องเพราะ่เวลานี้ยังอ่อนแอมากเกินไป หากให้ตัวประหลาดเฒ่าแต่ละสำนักนิกายทราบเข้า เกรงว่าศึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ภายใต้พิรุณห่าโลหิต แม้จะทุ่มเทกำลังคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานทั้งหมดลงไปก็คงไม่สามารถยับยั้งได้แล้วเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ จ้านอู๋มิ่งรอจนหลังจากคุนเผิงน้อยกู่ร้องคำรามอยู่ในน้ำเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้เขาแปลงร่างเป็คนทันที แล้วกระโจนขึ้นมาบนเกาะกระดูกขาวเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ถึงเวลาสมควรต้องไปแล้ว” จ้านอู๋มิ่งพึมพำกับตนเอง เหตุการณ์การเคลื่อนไหวของสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้ เกรงว่าทำให้ตัวประหลาดเฒ่าเ่าั้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจจนยากจะเกาแล้ว ก่อนหน้านี้เกรงกลัวทัณฑ์สายฟ้าจึงไม่ได้เข้ามา เวลานี้ทัณฑ์สายฟ้าสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว คาดว่าหลังจากพวกเขารอดูท่าทีสักพักแล้วก็จะรุดมาตรวจสอบ ถึงเวลานั้นเขาไม่้าให้พวกเขาได้เห็นจุดอ่อนใด ๆ
คิดพลาง จ้านอู๋มิ่งนำร่างแยกคุนเผิงใส่เข้าไปในสมบัติวิเศษพื้นที่มิติของตนโดยตรง เมื่อถึงเวลาที่จำเป็จึงค่อยปล่อยให้เขาออกมา มิเช่นนั้นเขาก็ไม่้าให้ร่างแยกคุนเผิงไปพบใครอย่างง่ายๆ นี่จะเป็หนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
จ้านอู๋มิ่งกลับมาที่เมืองวันสิ้นโลกแล้ว
การกลับมาของจ้านอู๋มิ่ง เป็เื่ที่ทำให้ตกตะลึงเทียมฟ้าอย่างแน่นอน ในตอนแรกไม่มีผู้ใดคิดว่าจะมีความเป็ไปได้ที่จ้านอู๋มิ่งยังสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ เนื่องเพราะที่เขากำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง เป็คนที่ขอเพียงผ่านทัณฑ์สายฟ้าก็สามารถจะบรรลุขอบเขตเทพเ้าา ส่วนจ้านอู๋มิ่งเป็เพียงปรมาจารย์นักยุทธ์มดปลวกตัวน้อยๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น ในสถานที่เล็กๆ มากมายปรมาจารย์นักยุทธ์อาจยังคงมีที่ให้ยืน แต่สำหรับจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องบนเกินเอื้อม ขอเพียงแค่นิ้วก้อยนิ้วเดียวก็สามารถสังหารปรมาจารย์นักยุทธ์ได้เป็กองพะเนินแล้ว
แต่จ้านอู๋มิ่งยังคงมีชีวิตรอดกลับมาแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับโม่ฉางชุนผู้นั้น? มีการคาดเดาต่างๆ มากมาย แต่คนที่มีคุณสมบัติสามารถได้ยินคำตอบจากจ้านอู๋มิ่งกลับน้อยยิ่งกว่าน้อย
ผู้ที่ได้รับเลือกแรกสุด ให้พบกับจ้านอู๋มิ่งคือสองจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เยว่หลิงซานและบรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉาน และจู้ชิงขวงก็เร่งรุดตามมาเช่นกัน สามจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็ผู้พิทักษ์ข้างกายของจ้านอู๋มิ่งไป เนื่องเพราะสภาพจ้านอู๋มิ่งในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอยิ่งนัก คนทั้งตัวเหมือนเช่นคลานออกจากภายในเตาไฟ ดำเมี่ยมมอมแมมไปทั้งตัว เส้นผมนั้นตั้งชี้โด่อย่างกับเข็ม สภาพสุดจะเปรียบปาน……เห็นได้ชัดว่ายังคงรักษาสถานะที่ถูกสายฟ้าฟาดจนกรอบนอกนุ่มในอย่างชัดเจน
สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แต่ละสำนักนิกายเต็มไปด้วยการคาดเดา มีคนมองออกแล้วจากรูปลักษณ์ภายนอกของจ้านอู๋มิ่ง ภัยพิบัติจากทัณฑ์สายฟ้ารุนแรงที่สุดระหว่างฟ้าดินนั้น จ้านอู๋มิ่งมีส่วนร่วมผ่านอยู่ในนั้นจริงๆ เพียงแต่ว่าเขายืนหยัดรอดชีวิตมาได้ ถ้าเช่นนั้นภายใต้ทัณฑ์สายฟ้า โม่ฉางชุนสามารถล่าถอยกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่? หากโม่ฉางชุนล่าถอยกลับมาอย่างปลอดภัย แล้วไฉนยอมปล่อยให้จ้านอู๋มิ่งมีชีวิตรอดกลับมา?
เมืองวันสิ้นโลก คนจำนวนมากไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เพียงเพื่อรอคอยการกลับมาของจ้านอู๋มิ่ง จากนั้นก็มอบดอกไม้และเสียงปรบมือให้เขาเหมือนเช่นวีรบุรุษ เพียงแต่คนจำนวนมากเหล่านี้ไม่สามารถผ่านสภาวะพลังของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สองสามคนไปได้ ได้แต่เพียงะโจากที่ไกลๆ
“จ้านอู๋มิ่ง จ้านอู๋มิ่ง…พวกเราสนับสนุนเ้า!”
“จ้านอู๋มิ่ง พวกเรารักเ้า……”
บรรดาผู้คลั่งไคล้บางคนเริ่มไล่ตามบุคคลตัวอย่างในใจพวกเขาแล้ว เหมือนเช่นเดียวกับอิทธิพลขององค์หญิงเชียนเชียนในเมืองวันสิ้นโลกก็มิปาน พลันมีคนพบว่าองค์หญิงเชียนเชียนและจ้านอู๋มิ่งช่างเหมาะสมกันเป็คู่สร้างคู่สมที่ฟ้าดินสร้างสรรค์จริงๆ
จ้านอู๋มิ่งยอมรับอย่างเงียบสงบ ครั้งหนึ่งเขาเคยรู้สึกถึงอิทธิพลขององค์หญิงเชียนเชียนบนท้องถนนในเมืองวันสิ้นโลก คิดไม่ถึงว่าตนเองก็ได้รับการต้อนรับอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้แล้วเช่นกัน
จ้านอู๋มิ่งถูกพากลับมาภายในจวนเ้าเมืองวันสิ้นโลกอีกครั้งราวกับดาวล้อมเดือนก็มิปาน สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งประหลาดใจก็คือตัวประหลาดเฒ่าที่ปิดล้อมโม่ฉางชุนบนเกาะสมรภูมิรบกระดูกขาวทั้งหมดล้วนอยู่ที่นั่น รวมทั้งบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดและหนานกงหลิวอวิ๋น
“จอมยุทธ์น้อยจ้านเป็คนหนุ่มมากความสามารถจริงๆ คิดไม่ถึงว่ากลับสามารถล่าถอยอย่างปลอดภัยจากเงื้อมมือของโม่ฉางชุน เป็โชคอันยิ่งใหญ่ของสำนักบริบาลเดรัจฉานจริงๆ!” เสวียนเสวียนจื่อเห็นจ้านอู๋มิ่งถูกรายล้อมเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ อดที่จะยิ้มกล่าวขึ้นมาไม่ได้
“น่ายินดีสมควรแก่การฉลอง เรากังวลใจเกี่ยวกับจอมยุทธ์น้อยจ้านตลอดมา ดูแล้วคนดีย่อมมีฟ้าคุ้มครอง……” เหยียนเต้าจื่อก็ตอบรับเห็นด้วยเช่นกัน แต่สีหน้าของบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดและหนานกงหลิวอวิ๋นไม่น่าดูอย่างยิ่ง เนื่องเพราะสิ่งที่พวกเขาไม่้าเห็นมากที่สุดก็คือจ้านอู๋มิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ แน่นอน พวกเขาก็ไม่้าเห็นโม่ฉางชุนมีชีวิตอยู่เช่นกัน คนผู้นั้นคือภัยคุกคามอันใหญ่หลวงผู้หนึ่งอย่างแน่นอน หลังจากทุกคนเห็นฤทธิ์เดชของทัณฑ์สายฟ้าบนท้องฟ้าแล้ว พวกเขารู้สึกว่า โม่ฉางชุนคือผู้ที่ต้องถูกกำจัด พวกเขาย่อมไม่ทราบว่าปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่เพื่อจัดการกับโม่ฉางชุนแต่อย่างไร แต่เพื่อจะจัดการกับคุนเผิง
“ด้วยบารมีของผู้าุโทุกท่านคุ้มครอง โชคดีที่ผู้น้อยรอดชีวิตมาได้” จ้านอู๋มิ่งเห็นเหล่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทุกคนรออยู่ที่นี่ ยิ้มๆ ขึ้นมาทันใด โยนเศษกระบี่ที่เหลืออยู่ในมือเข้าไปในกลางห้องโถงใหญ่กล่าวขึ้น
นี่คือสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งขอให้ชางอวี่เหลือไว้โดยเฉพาะ จึงไม่ได้ถูกย่อยสลาย เขาทราบว่าตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้จ้านอู๋มิ่งในการยืนยันการเสียชีวิตของโม่ฉางชุนอย่างแน่นอน
“กระบี่ัขนดวารีแดง!” จู้เชียนชิวและจู้ว่านเหนียนพูดโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาจำกระบี่เล่มนี้ได้มันเป็อาวุธโปรดปรานที่สุดของโม่ฉางชุน แต่น้อยคนนักที่เคยเห็นโม่ฉางชุนใช้กระบี่เล่มนี้ เนื่องเพราะมีคนน้อยมากที่คู่ควรให้โม่ฉางชุนใช้กระบี่เล่มนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นอาวุธของโม่ฉางชุน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนไม่ทราบ อย่างน้อยตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้ก็สามารถยืนยันความจริงของทั้งหมดนี้ได้
กระบี่ของโม่ฉางชุนกลับหักแล้ว และยังปรากฏอยู่ในมือของจ้านอู๋มิ่ง เช่นนั้นความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือโม่ฉางชุนเสียชีวิตแล้วจริงๆ ด้วยน้ำมือของจ้านอู๋มิ่ง และกระบี่หักเล่มนี้เป็หลักฐานข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด ดูจากระดับความแตกสลายของตัวกระบี่ โม่ฉางชุนก่อนตายต้องได้รับความเ็ปอย่างแสนสาหัสจริงๆ
“นี่ก็คือกระบี่คู่มือที่โม่ฉางชุนใช้” จู้ชิงขวงพยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับคำหนึ่ง เขาสามารถยืนยันสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน กล่าวถึงที่สุดแล้วเขาอยู่ในฐานะผู้นำตระกูลจู้ โม่ฉางชุนซ่อนเร้นอยู่ในตระกูลตนเองตลอดมาหลายร้อยปี ไม่เคยถูกพบเห็นมาก่อน เขาในฐานะผู้นำตระกูลต้องมีส่วนรับผิดชอบอยู่
“ในเมื่อสังหารโม่ฉางชุนแล้ว ไฉนไม่นำศีรษะเขากลับมาเล่า?” หนานกงหลิวอวิ๋นถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
“ต้องขออภัย ข้าไม่มีความสามารถทำเช่นนั้น เนื่องเพราะศีรษะเขากลายเป็เถ้าถ่านหมดสิ้นแล้วภายในทัณฑ์สายฟ้านั้น ข้าจะนำมาปะติดปะต่อก็ทำไม่สำเร็จเช่นกัน...จริงหรือไม่?” จ้านอู๋มิ่งยักๆ ไหล่ การแสดงออกดูเหมือนจะเสียดสีการตั้งคำถามที่ไม่เป็มืออาชีพของหนานกงหลิวอวิ๋นก็ปาน
