ข่งไท่โต้วรู้สึกว่าถ้าเขาไม่ได้มีพลังอยู่ในระดับกายทองคำ เขาอาจกลายเป็ปรมาจารย์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ตายจากความโกรธด้วยประโยคนี้
เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็อาจารย์ของหลัวเลี่ยหรือ
ที่หลัวเลี่ยกล้าพูดอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเขาอวดดีหรืออยากดึงดูดความสนใจ แต่เพราะเขารู้จักนิสัยของข่งไท่โต้วหรือนิสัยของคนในตระกูลข่งดี
คนในตระกูลข่งนั้นมั่นใจในตัวเองและหยิ่งยโสมาก แต่พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือตราบใดที่มีคนสามารถเอาชนะพวกเขาได้ พวกเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ และไม่มีทางบิดเบือนความจริงเพื่อรักษาหน้าตนเอง หรือแม้กระทั่งฆ่าคนเพื่อปิดปาก
การมีน้ำใจนักกีฬาเช่นนี้เป็สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของตระกูลข่ง
“ใช่!” ข่งไท่โต้วกล่าว “นอกจากบรรพชนผู้สร้างวิชามหาหลุนิแล้ว ก็ไม่เคยมีใครในตระกูลข่งที่สามารถฝึกฝนวิชามหาหลุนิถึงระดับถ่องแท้ได้ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ”
“มีคนที่สามารถทำสำเร็จภายในหนึ่งปีหรือเปล่า” หลัวเลี่ยถาม
ใบหน้าชราของข่งไท่โต้วกระตุกเล็กน้อย “ไม่มี”
“สองปี?”
“ไม่มี”
“สามปี?”
ข่งไท่โต้วรู้สึกถึงคลื่นความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเขา “คนที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุดในตระกูลข่งใช้เวลาถึงสิบปี”
หลัวเลี่ยร้องอ้อออกมาหนึ่งคำ แล้วหลังจากนั้นเขาก็เงียบไป
ข่งไท่โต้วโกรธมาก ให้ตายเถอะ เขาเป็ถึงผู้นำตระกูลข่ง การเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิดของเขาสามารถสั่นะเืแผ่นดินเหยียนหวงได้ แล้วเด็กคนนี้เป็ใครถึงกล้ามีท่าทีเช่นนี้กับเขา
“แต่ว่าสิ่งที่ข้าจะบอกก็คือ การฝึกฝนของพวกเขาในที่นี้คือการเริ่มััได้ถึงพลังครั้งแรก” ข่งไท่โต้วกล่าว
“ที่แท้ท่านผู้นำตระกูลข่งก็คิดว่าข้าศึกษาหรือััถึงพลังได้ก่อนที่จะมาฝึกฝนสินะ” หลัวเลี่ยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ข่งไท่โต้วกล่าวว่า “ใช่ ข้าไม่เชื่อว่าภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ นับจากที่เ้าสามารถััถึงพลังวิชามหาหลุนิได้ จะทำให้เ้าฝึกฝนมาได้ถึงระดับนี้”
หลัวเลี่ยพบว่าเขาโชคดีที่บอกไปว่าเขาใช้ระยะเวลาฝึกฝนหนึ่งเดือนกว่าๆ หากเขาบอกออกไปว่าเขาใช้เวลาฝึกฝนเพียงหนึ่งวัน ข่งไท่โต้วจะไม่เป็บ้าไปเลยหรือ จากนั้นหลัวเลี่ยก็พูดอย่างเฉยเมย “ข้าจะบอกความจริงกับท่านผู้นำตระกูลข่งแล้วกัน ที่จริงแล้วระยะเวลาที่ข้าใช้ฝึกฝนั้แ่เริ่มเห็นวิชามหาหลุนิ จนกระทั่งใช้วิชายุทธ์นี้ได้น่ะ มันไม่ถึงหนึ่งเดือน และที่ข้าบอกว่าข้าใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ นั้น หมายถึงเวลาที่ข้าได้แสดงพลังของวิชานี้ออกมาสู่สายตาของผู้อื่นเป็ครั้งแรกต่างหาก”
“เป็ไปไม่ได้!”
ข่งไท่โต้วไม่อยากจะเชื่อ
“เื่ทุกอย่างก็เป็เช่นนี้” หลัวเลี่ยกล่าว
“คัมภีร์มหาหลุนิต้องใช้ความเข้าใจอย่างมาก และเนื้อหาที่เปิดเผยสู่โลกภายนอกบนแท่นศิลานั้นก็เป็เนื้อหาที่ไม่สมบูรณ์ เช่นนี้แล้วเ้าจะฝึกฝนถึงระดับถ่องแท้ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนได้อย่างไร” ข่งไท่โต้วไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
หลัวเลี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ข้าต้องทำอย่างไรท่านผู้นำตระกูลข่งถึงจะเชื่อ”
ข่งไท่โต้วหยิบคัมภีร์ลับออกมาเล่มหนึ่ง “นี่คือกระบวนท่าวิชายุทธ์ที่เขียนขึ้นโดยท่านบรรพชนข่งเซวียนเมื่อนานมาแล้ว ระดับความยากพอๆ กับวิชามหาหลุนิ คนภายนอกแทบจะไม่มีใครรับรู้ว่ามีวิชายุทธ์นี้ แม้กระทั่งคนภายในตระกูลข่งเองก็มีน้อยคนนักที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของวิชายุทธ์นี้ หากเ้าสามารถฝึกฝนวิชายุทธ์นี้ไปถึงระดับถ่องแท้ได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ข้าจะเชื่อที่เ้าพูด และข้าจะไม่รับเ้าเป็ศิษย์ แต่ระหว่างพวกเราจะนับถือกันเป็พี่น้องได้ ข้อเสนอนี้เป็อย่างไร”
อันดับแรกคือหลัวเลี่ยมีความสุข
เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ที่ทรงพลังเพิ่มอีกวิชาหนึ่ง
และวิชายุทธ์นี้ก็ยังถูกสร้างขึ้นจากบรรพชนข่งเซวียนอีกด้วย
“ได้ๆ แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ” หลัวเลี่ยกล่าว
“เงื่อนไขอะไร” ข่งไท่โต้วถาม
หลัวเลี่ยยิ้มออกมา “หากข้าฝึกฝนจนถึงระดับถ่องแท้ภายในหนึ่งเดือน พวกเราจะนับถือกันเป็พี่น้อง แต่หากข้าฝึกฝนจนถึงระดับถ่องแท้ได้ในระยะเวลาสิบวัน การเป็พี่น้องของพวกเรานั้น ข้าเป็พี่ ส่วนท่านเป็น้อง”
ข่งไท่โต้วพ่นลมออกมาทางจมูกด้วยความโกรธ เงื่อนไขนี้แย่มาก
เขาคือข่งไท่โต้ว ผู้มีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยหกสิบปี จะเป็น้องชายของหลัวเลี่ยที่มีอายุเพียงสิบหกปี?
แต่หลังจากที่ข่งไท่โต้วคิดเื่นี้อีกครั้ง เขาก็หัวเราะออกมา
เพราะอย่างไรหลัวเลี่ยก็ไม่มีทางทำได้
วิชายุทธ์นี้แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ฝึกไม่สำเร็จ ส่วนวิชามหาหลุนินั้น ตัวเขาใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะสามารถบรรลุถึงระดับถ่องแท้ได้ ตอนที่เขาเริ่มฝึกวิชามหาหลุนินั้น เขามีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับผู้ฝึกตน และตอนที่เขาสามารถฝึกฝนจนเสร็จสมบูรณ์ก็เป็ตอนที่เขามีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับวังชะตาแล้ว
แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างออกไปแล้ว ตอนนี้พลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับกายทองคำ ซึ่งนับว่าห่างจากระดับบรรพชนเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น
คุณสมบัติในระดับพลังวรยุทธ์นี้ ไม่ว่าจะเป็ความเข้าใจหรือประสบการณ์ล้วนแต่สูงส่งจนน่าใ เพราะฉะนั้นหากเขาได้ฝึกฝนวิชามหาหลุนิในตอนนี้ เกรงว่าคงใช้เวลาเพียงสิบกว่าวันก็สามารถฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้เวลาถึงสิบกว่าปีในการฝึกฝน
และด้วยระดับพลังวรยุทธ์ของหลัวเลี่ยในขณะนี้ เกรงว่าต่อให้ใช้เวลาฝึกฝนสองเดือนก็คงไม่อาจไปถึงระดับถ่องแท้ได้ และต่อให้ใช้เวลาฝึกฝนสิบปี ก็ยังถือว่ายากที่จะฝึกจนสำเร็จได้อยู่ดี
แล้วแบบนี้หลัวเลี่ยจะสามารถฝึกฝนจนสำเร็จภายในเวลาสิบวันได้อย่างไร ข่งไท่โต้วคิดว่าภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนยังยากเลย ฉะนั้นสุดท้ายแล้วหลัวเลี่ยคงต้องมาเป็ศิษย์เขาแน่ๆ
นี่คือความคิดของข่งไท่โต้ว จากนั้นเขาจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ได้ เอาตามที่เ้าพูด หากเ้าฝึกได้ภายในสิบวัน ข้าจะยอมรับเ้าเป็พี่ ส่วนข้าเป็น้อง”
“คำไหนคำนั้น” หลัวเลี่ยกล่าว
“ข้า ข่งไท่โต้ว ไม่เคยผิดสัญญากับผู้ใด” ข่งไท่โต้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แสดงถึงความภาคภูมิใจของเขาในฐานะผู้ฝึกวรยุทธ์
หลัวเลี่ยเปิดคัมภีร์และอ่านมันในทันที
วิชาลับที่ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้มีชื่อว่า วิชาปีก์เลี่ยหยาง
มันเป็วิชายุทธ์ที่ทำให้บินได้ และมีกระบวนท่าต่อสู้อีกด้วย
ปีก์เลี่ยหยางสร้างมาจากเปลวไฟทั้งยังสามารถใช้เป็ดาบในการสังหารคนได้ด้วย ยิ่งมีระดับพลังวรยุทธ์สูงเท่าไรก็ยิ่งทำให้ปีกแข็งแกร่งมากเท่านั้น แม้กระทั่งความเร็วในการบินก็จะเร็วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเทียบกับวิชาก้าวัที่หลัวเลี่ยใช้แล้ว ก็เหมือนนำกระต่ายไปเทียบกับหอยทาก
เมื่อหลัวเลี่ยได้เห็นวิชานี้แล้ว เขาก็คล้ายตกอยู่ในภวังค์ และไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ข่งไท่โต้วก็ไม่รีรอ และบอกว่า “เ้าฝึกฝนต่อไปเถิด อีกสิบวันข้างหน้าข้าจะมาหาเ้าอีกครั้ง”
ทันทีที่เขาหันหลังกำลังจะกลับ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นปีกลวงตายาวห้าเมตรคู่หนึ่งที่ไฟกำลังลุกไหม้ยื่นออกมาจากด้านหลังของหลัวเลี่ย
“ระดับพื้นฐาน?” มุมปากของข่งไท่โต้วกระตุก
จากนั้นปีก์เลี่ยหยางที่ปรากฏขึ้นก็เริ่มกระพือปีกเบาๆ เป็การฝึกฝน
หลัวเลี่ยเริ่มแสดงสัญญาณของการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในวิชาปีก์เลี่ยหยาง
ระดับเริ่มต้น!
ระดับเชี่ยวชาญ!
ระดับรวบรวม!
ระดับถ่องแท้!
สามชั่วโมงหลังจากนั้น ใบหน้าที่แก่ชราของข่งไท่โต้วก็เปลี่ยนเป็สีเขียว
หลัวเลี่ยกระพือปีก์เลี่ยหยางเบาๆ จากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ และในที่สุดเขาก็สามารถบินได้
และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเกี่ยวกับปีก์เลี่ยหยาง คือมันเป็วิชาที่ผลาญพลังภายในน้อยมาก ซึ่งแตกต่างจากวิชายุทธ์ที่สามารถบินได้วิชาอื่นๆ ซึ่งอาจหมดแรงหลังจากบินไปไม่กี่นาที แต่วิชายุทธ์นี้สามารถทำให้บินได้หลายชั่วโมง นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของวิชายุทธ์ที่ข่งเซวียนสร้างขึ้น
เขาบินไปมาในการฝึกฝนอย่างสนุกสนาน
การบินได้เป็หนึ่งในความปรารถนาสูงสุดของหลัวเลี่ย
การพุ่งทะยานไปทั่วแผ่นฟ้าคือจุดเริ่มต้น
เมื่อพลังภายในของหลัวเลี่ยใกล้จะหมด เขาจึงหยุดบินและคิดในใจว่าเก็บปีก แล้วปีก์เลี่ยหยางก็ค่อยๆ หายไป
จากนั้นเขาก็นึกถึงข่งไท่โต้ว
เมื่อหลัวเลี่ยมองไปที่ผู้นำตระกูลอีกครั้ง ผู้นำตะกูลข่งยังคงงุนงง
“เฮ้! ท่านกำลังคิดอะไรอยู่” หลัวเลี่ยโบกมือตรงหน้าข่งไท่โต้ว
ข่งไท่โต้วมองหลัวเลี่ยครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “โลกใบนี้ยังมีอัจฉริยะถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ข้าแพ้แล้ว”
หลัวเลี่ยยิ้ม “ในเมื่อท่านแพ้แล้ว เช่นนั้นก็ลองเรียกข้าว่าพี่ใหญ่หน่อยสิ”
ใบหน้าข่งไท่โต้วบิดเบี้ยว
เขาเป็ถึงผู้นำตระกูลข่ง เป็ถึงข่งไท่โต้วผู้สูงส่ง แม้แต่จักรพรรดิของสองอาณาจักรใหญ่ยังไว้หน้าเขา ดังนั้นเื่ที่ให้ผู้มีอายุหนึ่งร้อยหกสิบกว่าปีเรียกเด็กอายุสิบหกปีว่าพี่ใหญ่นี้น่าละอายเกินไป
“พวกเรามาพูดคุยกันหน่อยเถิด” เป็ครั้งแรกในชีวิตที่ข่งไท่โต้วยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ
หลัวเลี่ยนั่งลงบนพื้นโดยไม่สนใจใบหน้าที่ยิ้มฝืนๆ ของข่งไท่โต้ว “หากท่านคิดจะฆ่าคนเพื่อปิดปากไม่ให้เอ่ยถึงคำพูดของท่าน ก็ขอให้ระลึกถึงกฎของตระกูลข่งที่ว่าจะรักษาคำพูดของตนเองอยู่เสมอ”
ข่งไท่โต้ว้าที่จะฆ่าคนเพื่อปิดปากจริงๆ แต่เขาไม่สามารถทำได้ คนที่สามารถฝึกวิชาปีก์เลี่ยหยางได้ถึงระดับถ่องแท้ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้น นับว่าอนาคตคงจะไปถึงระดับเทพได้อย่างแน่นอน เื่นี้เกรงว่าแม้แต่บรรพชนข่งเชวี่ยก็ยังต้องยอมรับ
เขามองดูท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจของหลัวเลี่ย และรู้ว่าตัวเขาเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงกัดฟันและพูดว่า “พี่ใหญ่ น้องขอลาก่อน”
“เดี๋ยวก่อน” หลัวเลี่ยรีบหยุดเขา “น้องเล็ก เ้าไม่คิดว่าเ้าควรให้ตราราชันข่งเชวี่ยเป็ของขวัญต้อนรับพี่ใหญ่สักหน่อยหรือ แน่นอนว่าหากเ้าไม่ให้ ข้าคงได้แต่เอาไปบอกผู้อื่นแล้วว่า น้องเล็กไม่มีความเคารพพี่ใหญ่เลย”
ข่งไท่โต้วหยิบตราราชันข่งเชวี่ยออกมาสองอัน และมอบให้หลัวเลี่ย แล้วเขาก็จากไปทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้