จริงๆ แล้ว่นี้พวกเขาทุกคนก็ล้วนมากินข้าวที่เรือนของจิ่งฝานเสียเป็ส่วนใหญ่ เพราะ่นี้เป็่ที่มีเื่ให้ต้องขบคิดมากมาย ทุกคนจึงทำตัวติดกันไว้เพื่อความสบายใจ พวกจิ่งฝานทุกครั้งที่มีเื่อะไรเกิดขึ้นก็จะมานั่งอภิปรายกันเช่นนี้ประจำ โดยเฉพาะเื่สถานที่อยู่ของบิดามารดาจิ่งฝานที่ยังไม่ชัดเจน เื่นี้ทำให้จิ่งเซียงกังวลเป็อันมาก การที่ทุกคนมาอยู่รวมกันเช่นนี้จึงช่วยให้นางรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น
ตอนที่พวกจิ่งฝานกลับมาถึงห้อง อ๋าวหราน จิ่งเซียง และเหยียนเฟิงเกอกำลังนั่งอยู่ที่ห้องของจิ่งฝาน เหยียนเฟิงเกอนั่งอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่อ๋าวหรานกับจิ่งเซียงนั้นกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาสองคนกลับมาแล้ว ทั้งสามก็หันศีรษะมา บนใบหน้าของอ๋าวหรานและจิ่งเซียงล้วนมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่ คนหนึ่งสดใสงดงาม ส่วนอีกคนก็ราวกับหยกนวล ต่างก็ปากแดงฟันขาวแลดูราวกับภาพวาด จิ่งฝานมองดูลักยิ้มเล็กๆ ข้างมุมปาของหรานด้วยดวงตาอันลึกล้ำ
“พี่ พวกท่านกลับมาแล้ว! วันนี้เป็อย่างไรบ้าง? คุยอะไรกันบ้าง? มีข่าวท่านพ่อกับท่านแม่บ้างหรือไม่?”
คำถามติดกันสามคำถามนี้ของจิ่งเซียงก็เป็สิ่งที่อ๋าวหรานอยากรู้ด้วยเช่นกัน ดวงตากลมโตทั้งคู่ของทั้งสองที่จ้องมองพวกจิ่งฝานทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดอย่างไรอย่างนั้น
จิ่งฝานเดินเข้าไปแล้วนั่งลงข้างๆ อ๋าวหราน “พวกเ้ากินกันไปหรือยัง?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “ยังเลย รอพวกเ้าอยู่”
หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังรู้งานยิ่ง ั้แ่ที่เห็นคนทั้งสองกลับมาก็ไปยกอาหารมาบริการแล้ว ทุกคนนั่งลงบนโต๊ะอาหารแล้วจึงเริ่มคุยเื่สำคัญกัน จิ่งฝานคีบเนื้อให้จิ่งเซียงแล้วพูดช้าๆ ว่า “เื่ของท่านพ่อกับท่านแม่เ้าไม่ต้องกังวล ข้าให้คนไปสืบจนได้เื่แล้ว”
จิ่งเซียงดีใจอย่างเห็นได้ชัด “จริงหรือ! พี่ ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ที่ใด?”
จิ่งฝานสีหน้าไม่เปลี่ยน คีบข้าวในถ้วยช้าๆ “ที่อยู่แน่ชัดยังไม่แน่ใจ แต่ไม่มีอันตรายใดๆ”
จิ่งเซียงมีสีหน้าร้อนรน ยังคิดจะถามอะไรอีก จิ่งฝานก็กลับพูดขึ้นว่า “วันนี้จิ่งหงเอาข่าวมาแจ้งว่าสินค้าจำนวนมากที่วางแผนไว้ว่าจะจัดซื้อเมื่อหลายวันก่อนถูกชิงไป แล้วยังเป็เฉินเปิ่นหวามาชิงไปด้วยตัวเองอีก”
จิ่งเซียง “อะไรนะ?!”
อ๋าวหราน “ตระกูลเฉินเสียสติไปแล้วหรีอ?”
ข่าวนี้ดึงดูดความสนใจของคนทั้งสองได้ดียิ่ง
จิ่งเซียงโกรธจัด “ชิงไปตั้งกี่ครั้งแล้วยังไม่พออีกหรือ? หรือตอนนี้ไม่คิดจะแอบซ่อนอีกต่อไปแล้ว?!”
อ๋าวหรานกินข้าวไม่ลงแล้ว “นี่คิดจะแตกหักกันแล้วใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานพยักหน้า
ส่วนสีหน้าตื่นเต้นของจิ่งจื่อั้แ่เข้ามาในห้องก็ไม่ได้แอบซ่อนอันใด “้าแตกหักอย่างชัดเจนเลย อุตส่าห์เสแสร้งมาตั้งนาน ตอนนี้ตระกูลเฉินคงเสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้ว”
จิ่งเซียงเห็นเขายิ้มจึงโกรธจนแทบทนไม่ไหว พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เ้ายิ้มอันใด? ถูกชิงของไปในใจมีความสุขมากหรีอ?”
จิ่งจื่อเริงร่า “ก็ท่านผู้าุโเฒ่าบอกให้เราไปชิงกลับมา!”
อ๋าวหรานและจิ่งเซียงพูดออกมาพร้อมกันว่า “จริง...จริงหรือ?!”
สีหน้าของเหยียนเฟิงเกอก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จิ่งจื่อพยักหน้าติดต่อกัน “พูดเองกับปากเลย อีกอย่างเื่นี้ก็ยกให้พี่ฝานเป็คนจัดการด้วย แถมยังบอกอีกว่าไม่ต้องอดกลั้นกันอีกต่อไปแล้ว อย่างไรเสียแผ่นดินใหญ่นี้ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องวุ่นวายอยู่ดี เหตุใดตระกูลจิ่งของเราจะต้องเป็ผู้รับเคราะห์อยู่ฝ่ายเดียวแล้วเชิดชูพวกนั้นให้เป็าายึดครองแผ่นดินใหญ่?”
ถึงแม้ทุกคนจะมีความกังวล แต่ความฮึกเหิมของวัยแรกรุ่นก็พลุ่งพล่านขึ้นมาแล้วเช่นกัน ถูไม้ถูมือไปมาจนแทบจะทนไม่ไหว
จิ่งเซียงเลิกสนใจเื่กินข้าวไปโดยปริยาย “พี่ ในเมื่อจะชิงกลับมา เช่นนั้นก็ต้องจัดให้ใหญ่โตไปเลย! ซัดพวกมันให้น่วมไปข้าง! ให้ทุกคนได้รู้กันไปเลยว่าตระกูลจิ่งของเราไม่ใช่จะมารังแกได้โดยง่าย!”
จิ่งจื่อส่งเสียงดัง ‘อืม’ ติดต่อกันหลายที “ข้าก็คิดเช่นนั้น ท่านผู้าุโเองก็คงมีความคิดเช่นนี้ ถ้าต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ จะมีอันใดน่าสนใจกันเล่า”
จิ่งเซียง “พวกเราก็พาคนไปมากหน่อยแล้วสู้กันให้หนำใจไปเลย”
“เรียกพวกที่มีวรยุทธ์ดีๆ ไปด้วยแล้วไปเล่นกันให้หนำใจไปเลย”
ถึงแม้ในใจจะเห็นด้วย แต่ปากก็ยังต้องพูดขัดสักสองสามประโยค จิ่งเซียงมีสีหน้ารังเกียจทันที “เ้าคิดจะไปเล่นจริงๆ หรือ ตระกูลเฉินมีกองกำลังอีกเป็พันคุมอยู่นอกเมืองรู้หรือไม่ มดจำนวนมากก็สามารถกัดช้างตายได้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างคนพวกนี้ก็น่าจะรับมือได้ยากด้วย”
“กลัวอันใด ไม่ว่าตระกูลเฉินจะมีกองกำลังเสริมอีกเป็พันหรือไม่ก็อย่าได้คิดจะมาขัดขวางพวกเรา! อยากจะซัดพวกมันมานานแล้ว ตอนนี้ข้าคันไม้คันมือจะแย่แล้ว อยากจะบุกตะลุยไปเสียตอนนี้เลย”
คนทั้งสองคุยกันอย่างตื่นเต้น ส่วนอ๋าวหรานกลับเบนศีรษะไปมองจิ่งฝาน คนผู้นี้ยิ่งเ็าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เป็ไปได้ว่าจะพัฒนาจนกลายเป็คนหน้าตายแบบเหยียนเฟิงเกอ ดวงตาคู่นั้นทั้งมืดและลึกลับทำให้เดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
เหมือนจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองอยู่ จิ่งฝานจึงค่อยๆ หันศีรษะมา ในแววตามีความรุ่มร้อนอย่างที่ปกติไม่มีแอบซ่อนอยู่ อ๋าวหรานคาดเดาว่าหรือจะเป็เพราะไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอีกต่อไปถึงได้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
จิ่งฝานถามว่า “มองข้าทำอันใด?”
“เ้าคิดอย่างไร?” อ๋าวหรานถูกสายตาวาววับของเขาจ้องเสียจนรู้สึกร้อนขึ้นมานิดๆ สงบใจอยู่เล็กน้อยแล้วจึงค่อยตอบ
เนิ่นนานจิ่งฝานจึงตอบว่า “เก็บมือเก็บเท้าหดหัวไม่ใช่แนวทางของเรา แต่ว่าข้าไม่อยากพาคนไปด้วยมากมาย” ???
จิ่งเซียงสงสัย “พี่ เช่นนั้นท่านตั้งใจจะพาไปกี่คน?”
“แค่พวกเราห้าคนพอ” ??? !!!
“แค่พวกเราห้าคน? แต่ตระกูลเฉินมีเป็พันคนเชียวนะ!”
“คนมากย่อมเป็ภาระ”
“...”
“...”
“พี่ฝาน ่นี้ท่านยิ่ง...” จิ่งจื่อกลืนน้ำลายแล้วเรียบเรียงประโยค แฝงไปด้วยความกลัวและความลังเลเล็กน้อย “โอหังขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
แล้วคิดในใจว่า...โอหังเสียยิ่งกว่าข้าอีก
ประโยคนี้นั้นจิ่งฝานราวกับไม่ได้ยินจึงไม่สั่นสะท้านแม้สักนิด “คืนนี้ข้ายังต้องไปวางแผนจัดสรรเื่พื้นที่ดูแลแต่ละเขตให้กับคนในตระกูล พรุ่งนี้พวกเราค่อยวางแผนกัน ตกค่ำก็เริ่มปฏิบัติการ”
จัด...การได้อย่างเด็ดขาดจริงๆ!
ทำให้อดรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วยไม่ได้เลย!
ทุกคนจบมื้ออาหารนี้ด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม จิ่งฝานวางตะเกียบแล้วพูดราวกับจะขับไล่คนก็ไม่ปาน “กินกันเสร็จหรือยัง? ถ้ากินเสร็จแล้วมีอะไรไปทำก็ไปทำเสีย อย่าละเลยี้เีเพียงเพราะ่นี้มีเื่เกิดขึ้นมากมาย”
จิ่งเซียงทำปากยื่นแล้วจึงไปที่ลานฝึกวรยุทธ์ ั้แ่เกิดเื่ขึ้น พวกผู้ใหญ่ในตระกูลก็ลดคาบเรียนที่เกี่ยวกับวิชาแพทย์ของลูกหลานในตระกูลลง นอกจากนั้น...นอกจากคนที่มีพร์เป็อย่างยิ่ง คนที่เหลือจะถูกบังคับให้ต้องอยู่แต่ในสนามประลองทั้งวัน การที่จิ่งเหวินซานซ่อมแซมต่อเติมสนามประลองใหม่นั้นก็ถือได้ว่าทำเื่ดีๆ ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เวทีประลองทั้งใหญ่และเล็ก เช้าจรดเย็นล้วนมีลูกหลานตระกูลจิ่งมาฝึกฝนโดยมีเหงื่อโซมกายอยู่้า
จะทำทีเป็สามัคคีปรองดองกับตระกูลหวางและตระกูลเฉินต่อไปนั้นก็ไม่ใช่แผนระยะยาว อย่างไรเสียก็ต้องปะทะกันขึ้นมาสักวันอยู่ดี ตระกูลจิ่งรักความสงบมานานหลายปี ไม่ว่าจะรุ่นใหญ่หรือรุ่นเยาว์ล้วนไม่ค่อยมีความฮึกเหิม มาวันนี้หากยังไม่ฮึกเหิมขึ้นมาอีก ไม่ช้าก็เร็วคงต้องถูกผู้อื่นกดไว้จนได้รับความอัปยศแน่ ถูกซัดจนน่วมอยู่ในตระกูลคงดีกว่าออกไปถูกซัดจนน่วมที่ด้านนอก
พวกผู้าุโออกคำสั่งอย่างเผด็จการว่าทุกคนจะต้องขึ้นเวทีประลองไม่น้อยกว่าสิบรอบทุกวัน ส่วนการฝึกฝนที่ต้องมีอาจารย์มาให้คำแนะนำนั้นก็ต้องสลับหมุนเวียนกันไปอย่างละครึ่งๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีบางคนที่จ้องแต่จะฝึกวรยุทธ์พื้นฐานกับอาจารย์จนไม่ยอมขึ้นสู้ วันหนึ่งจึงแบ่งเป็ครึ่งๆ ชุดหนึ่งเรียน ชุดหนึ่งฝึก ไม่มี่ให้ผู้ใดได้พักทั้งนั้น
พอมีกฎเช่นนี้ออกมาก็ทำให้พวกคุณชายเสเพลที่วันๆ เอาแต่เล่นนู่นเล่นนี่ไร้สาระอย่างพวกจิ่งเซิ้งราวกับถูกลงโทษให้ต้องฝึกวรยุทธ์โดยไม่ได้พักทุกวัน คำโบราณว่าไว้ ‘วีรบุรุษถือกำเนิดได้เพราะกระบอง’ เหมือนจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ แต่ละคนถูกบังคับให้ฝึกจนวรยุทธ์รุดหน้าไปไม่น้อย นับว่าไม่เสียความตั้งใจของบรรดาผู้าุโในตระกูลแล้ว
ตอนแรกจิ่งเซียงกับจิ่งจื่อก็เอาแต่อยู่ที่ลานประลองทุกวัน ชนะมากแพ้น้อย นานวันเข้าก็ยิ่งหาคนรุ่นเดียวกันที่จะประมือด้วยยากขึ้น สำหรับจิ่งจื่อแล้ว...กฎนี้เสมือนว่าตั้งขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่ผ่านไปแค่สิบวันก็ไม่มีผู้ใดพอจะเป็คู่มือให้ได้แล้ว เขาจึงได้รับมอบหมายให้ไปสอนพวกที่วรยุทธ์ยังอ่อน แต่เ้าเด็กนี่ความอดทนค่อนข้างต่ำ พอต้องมาสอนพวกที่ไม่ค่อยฉลาดก็แทบจะยั้งมือไว้ไม่อยู่ เกือบจะซัดคนพวกนั้นเสียน่วม จนทำให้ตอนนี้ทุกคนล้วนหวาดกลัวเขาไม่น้อย
อันที่จริงวิธีการสอนแบบเหี้ยมโหดของเขานี้ก็ทำให้ผู้อื่นก้าวหน้าขึ้นได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะไม่ค่อยมีความอดทน แต่จิ่งจื่อก็ไม่อยากจะขัดความประสงค์ของบรรดาผู้าุโจึงสอนลูกหลานคนอื่นๆ ในตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายก็ไปกับเหยียนเฟิงเกอ ได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง ตอนนี้เขาเองก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว
เมื่อพวกเขาจากไป ในห้องก็เหลือเพียงอ๋าวหรานกับจิ่งฝาน
