แม้ว่าเมิ่งอู่มักกลอกตาใส่เขาบ่อยครั้ง แต่นางก็ไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็ธรรมเลย เขาชอบกินไข่ตุ๋นฝูหรง จากนั้นเป็ต้นมาอาหารจานนี้ก็ปรากฏบนโต๊ะอาหารทุกวัน
เมื่อฝนซาฟ้าใส ฤดูกาลเพาะปลูกก็ใกล้เข้ามา
วันนี้มีคนต่างถิ่นสองคนเดินทางมายังหมู่บ้าน ดูจากเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็คนในเมือง พวกเขามาที่เรือนของเมิ่งอู่
ยังไม่ทันที่เมิ่งอู่จะเอ่ยถาม เมื่อชายสองคนนั้นเห็นซวี่เฉินฟางเดินออกจากห้องอย่างเกียจคร้าน ก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ “คุณชาย”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตา เขาเพิ่งตื่นนอนหลังงีบหลับยามบ่าย น้ำเสียงเขาแหบแห้งทว่าไพเราะจับใจ “มาแล้วหรือ?”
เอาเถิด เมิ่งอู่ไม่จำเป็ต้องถามอีกต่อไปแล้ว ซวี่เฉินฟางเห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้ว จึงเรียกคนมาจัดการ
พวกอันธพาลในหมู่บ้านเรียกชาวบ้านจากสิบหลี่แปดหมู่บ้านมารวมตัวกันอย่างเป็ระเบียบ จากนั้นให้พวกเขารับเงินมัดจำและลงนามในสัญญา ในสัญญาระบุจำนวนข้าวฟ่างเท่าไร ราคาขายเท่าไร และในอนาคตจะต่อสัญญาขายข้าวฟ่างให้เขาในราคาที่ดีก่อน
หลังรับซื้อข้าวฟ่างทั้งหมดแล้ว จึงจะชำระเงินค่าธัญพืชที่เหลือ ซวี่เฉินฟางมีข้อกำหนดเพียงข้อเดียว คือให้ชาวบ้านส่งแกนข้าวฟ่างมาพร้อมกับเมล็ดข้าวฟ่าง
ครั้งนี้ผู้ติดตามทั้งสองคนของซวี่เฉินฟางนำเงินมาด้วยเพียงพอ
หลายวันที่ผ่านมา เรือนของเมิ่งอู่คึกคักเป็พิเศษ ทุกวันประตูเรือนเปิดกว้าง ชาวบ้านต่างเดินเข้าออกไม่ขาดสาย
เมื่อชาวบ้านได้รับสัญญาซื้อขายและเงินมัดจำแล้ว ก็กลับไปเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างกันอย่างขะมักเขม้น
ข้าวฟ่างสุกงอม มองไปทางใดก็เห็นแต่รวงสีแดงที่โน้มตัวลง
ชาวบ้านต่างเหงื่อไหลท่วมกายดุจฝนโปรยปราย ทว่ากลับมีความสุข
เรือนของเมิ่งอู่ก็มีนาข้าวฟ่างอยู่หลายแปลง เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว นางเซี่ยจึงทำอาหารอยู่ที่เรือน ส่วนเมิ่งอู่ อินเหิง และซวี่เฉินฟางก็ไปที่นาข้าวฟ่าง
นาข้าวฟ่างเป็พื้นที่แห้งแล้ง อินเหิงจึงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องมีคนช่วยพยุง
ในเรือนยังมีผู้ติดตามสองคนของซวี่เฉินฟางคอยดูแล พวกเขาช่วยนางเซี่ยทำงานหนัก ทั้งยังคล่องแคล่วมาก รับรองว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างครั้งก่อนขึ้นอีก
เมื่อทั้งสามคนมาถึงนาข้าวฟ่าง เมิ่งอู่กับซวี่เฉินฟางก็เริ่มเกี่ยวต้นข้าวฟ่าง ส่วนอินเหิงก็มัดต้นข้าวฟ่างสีเขียวสดเป็มัดๆ ทั้งสามคนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ทำงานกันอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้น เมิ่งอู่เดินไปมาระหว่างต้นข้าวฟ่าง แสงแดดยังไม่แรงมาก อินเหิงยืนอยู่กลางแดด นางจึงสวมหมวกไม้ไผ่สานของตนเองให้เขา
ซวี่เฉินฟางเกี่ยวต้นข้าวฟ่างในมือทิ้ง ยืนขึ้นพลางจับหมวกไม้ไผ่สานที่สวมอยู่ไว้ ก่อนหันกลับไปมอง ก็เห็นเมิ่งอู่กำลังสวมหมวกไม้ไผ่สานให้อินเหิง
ลมพัดใบข้าวฟ่างโบกสะบัด เกิดเป็เสียงกรอบแกรบชัดเจน
ซวี่เฉินฟางหรี่ตามองเงียบๆ ยามที่เขาไม่ยิ้ม ไฝน้ำตาที่หางตาดูเดียวดายขนาดนั้น
เขาพบว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของคนบางคนไม่ได้ชวนตะลึงมากนัก แต่กลับทำให้ผู้คนมิอาจละสายตา
เช่นเดียวกับรอยยิ้มของเมิ่งอู่ยามมองอินเหิง
นั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยมี
เมื่อเมิ่งอู่กลับมาเกี่ยวต้นข้าวฟ่างต่อ ซวี่เฉินฟางก็คาบใบข้าวฟ่างยาวๆ สองสามใบไว้ในปาก นิ้วมือยุ่งอยู่กับการพลิกไปมาอย่างคล่องแคล่ว เพื่อสานใบข้าวฟ่างทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างแ่าและงดงาม และสุดท้ายก็ใช้ใบข้าวฟ่างที่คาบไว้มัดเป็หมวกข้าวฟ่างช่วยบังแดด
ซวี่เฉินฟางสวมหมวกข้าวฟ่างสานนั้นบนศีรษะของเมิ่งอู่อย่างตั้งใจเพื่อบังแดดให้นาง
เมิ่งอู่ชะงักประเดี๋ยวเดียว ก่อนได้ยินซวี่เฉินฟางถอนหายใจ “ญาติผู้น้องอาอู่ หลงใหลรูปโฉมเช่นนี้มิได้การ หากอีกสักพักเป็ลมแดด แล้วผู้ใดจะดูแลนาข้าวฟ่างเล่า?”
เมิ่งอู่สวมหมวกข้าวฟ่างที่เขาสานให้อย่างสบายใจ เหวี่ยงเคียวอย่างขะมักเขม้นไปพลาง พูดไปพลาง “ข้าหลงใหล ข้าภาคภูมิใจ ข้ามีสามีที่รูปงามสง่าผ่าเผย แล้วเ้ามีหรือ?”
ซวี่เฉินฟางมองนภาสีครามสดใสที่ไร้เมฆเหนือศีรษะผ่านใบข้าวฟ่าง เมื่อรู้สึกว่าอากาศร้อน เขาก็ถอดเสื้อคลุมสีแดงเพลิงออก แล้วผูกไว้ที่เอวลวกๆ
เมิ่งอู่เหลียวกลับไปมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นเสื้อตัวในสีขาวดุจหิมะอยู่ใต้เสื้อคลุมสีแดง
เรือนผมดำขลับดั่งหมึกของเขาสยายลงมาใต้หมวกไม้ไผ่สานระอยู่บนเสื้อ เสื้อคลุมสีแดงที่เอวห้อยลงมาจรดปลายเท้า ขับให้เอวของเขาอรชรสองส่วน แต่ก็ไม่สูญเสียจิติญญาแห่งความกล้าหาญอย่างที่บุรุษพึงมี
เสื้อตัวในของเขาขาวดุจน้ำค้างแข็ง คอเสื้อเผยอเผยให้เห็นิัใต้ร่มผ้าเล็กน้อย เมิ่งอู่แอบมองมุมปากเขาที่ยกขึ้นอย่างคลุมเครือ ก่อนเบือนหน้าหนีไม่มองอีกพลางสบถ “เ้าปีศาจ!”
ซวี่เฉินฟางหัวเราะเบาๆ “อาอู่ หากใครๆ ล้วนใช้รูปโฉมล่อลวงคนได้ ข้าก็คงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ ไยเ้าถึงไม่หลงใหลข้าบ้างเล่า?”
เมิ่งอู่ทำงานไม่หยุดมือพลางตอบกลับอย่างเฉื่อยเนือย “ซวี่เฉินฟาง คนอย่างเ้ามักพูดจาเหลวไหล มาที่นี่นานขนาดนี้แล้วเคยจริงจังกับผู้ใดบ้าง? หากเ้าคิดจริงจัง เ้าสมควรหวั่นไหวไปกับหญิงงามในเมืองที่มีมากมายนับไม่ถ้วนนานแล้ว”
ผ่านไปเนิ่นนาน ซวี่เฉินฟางค่อยถอนหายใจคล้ายจริงคล้ายเท็จ “เฮ้อ ถูกจับได้แล้ว น่าเบื่อจริงๆ”
คุณชายรองซวี่เป็คนสำมะเลเทเมา ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย หากเขาจริงใจจริงจังกับผู้ใดง่ายๆ ก็จะไม่ใช่คนง่ายๆ สบายๆ ทำตามอำเภอใจอย่างทุกวันนี้
หากไม่นับญาติห่างๆ ในสายตาของคนนอก เขาดีต่อนางจนคลุมเครือไปหน่อยและชมชอบนางโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
แต่บางทีเขาอาจแค่สนุกตื่นเต้นไปกับการสวมบทบาทเป็ญาติผู้พี่ หรือรู้สึกว่าชีวิตในวันแบบนี้น่าสนใจ หรือถึงขนาดเจตนาร้ายอยากก่อกวนความสัมพันธ์ระหว่างเมิ่งอู่กับอินเหิง
นอกจากนี้ เคยได้ยินเขาพูดว่าเขาชมชอบใครสักคนหรือไม่? ยิ่งกว่านั้น คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้แปดหรือเก้าในสิบส่วน
เขาดีต่อสตรีทุกคน แต่หากผู้ใดคิดจริงจัง นั่นเป็เพราะสมองถูกประตูหนีบ
ยังไม่ทันเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างเสร็จ พวกอันธพาลก็มาถึงอย่างเร่งรีบ พอมีพวกเขาช่วยก็รวดเร็วและง่ายดาย ไม่นานนาข้าวฟ่างแปลงนั้นก็ถูกเก็บเกี่ยวจนหมดเกลี้ยง
ปรากฏว่าการเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างของครอบครัวเมิ่งอู่เสร็จเร็วที่สุด
ครั้นชาวบ้านเห็นพวกอันธพาลช่วยกันแบกหามข้าวฟ่างให้ครอบครัวของเมิ่งอู่ต่างก็รู้สึกซับซ้อน
นึกย้อนไปถึงเวลานั้น พวกนี้เป็เพียงอันธพาลที่เหิมเกริมไปทั่วสิบหลี่แปดหมู่บ้าน แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็คนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ พยายามปรับปรุงตนเอง และกระตือรือร้น
หลังขนข้าวฟ่างกลับมาแล้ว นางเซี่ยใช้ประโยชน์จากแดดที่ยังแรงกล้า นำบุ้งกี๋มาเกลี่ยข้าวฟ่างในลานเรือนเพื่อตากให้แห้ง
ซวี่เฉินฟางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นอนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้เอนพลางตรวจสอบบัญชี สองขาของเขาไขว่ห้าง วางสมุดบัญชีไว้บนตักส่งเดช พลิกดูไปพลาง ฟังผู้ติดตามรายงานสถานการณ์ไปพลาง
เมิ่งอู่รู้สึกแปลกใจ นี่หรือคือคุณชายรองที่ในเมืองเล่าลือกันทั่วว่า รู้แต่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่ไม่รู้จักทำมาค้าขาย?
เมิ่งอู่กับอินเหิงไปชำระร่างกายตามลำดับ นางเซี่ยเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว พวกอันธพาลรอที่จะกินมื้อเย็นโดยไม่ต้องเสียเงิน เมื่อเห็นว่ามีปิ่งผักป่าที่นางเซี่ยเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ พวกเขาก็แย่งกันกินจนหมด
นางเซี่ยไม่มีทางเลือกจึงต้องทำเพิ่มอีกหน่อย
ซวี่เฉินฟางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เอ่ยถาม “ญาติผู้น้องอาอู่ เ้าจะจัดการกับข้าวฟ่างของบ้านเ้าอย่างไร? จะขายหรือไม่?”
เมิ่งอู่เคี้ยวปิ่งผักป่าก่อนตอบ “เอาไว้กินเอง ไม่ขาย”
โชคดีที่เรือนของเมิ่งอู่กว้างขวาง หลังเมิ่งอู่ย้ายไปอยู่ห้องเดียวกับนางเซี่ย ก็มีห้องว่างสองห้อง สามารถใช้เก็บข้าวฟ่างได้
ข้าวฟ่างที่ชาวบ้านเก็บเกี่ยวย่อมต้องตากแดด มิเช่นนั้นถ้าขึ้นราก็คงยุ่งยากไม่น้อยแล้ว
ดังนั้นพอตากแดดหลายวันแล้ว ชาวบ้านก็ค่อยๆ ทยอยแบกข้าวฟ่างมาเก็บไว้ในห้องอย่างต่อเนื่อง
…
ครอบครัวเมิ่งต้าก็มีนาข้าวฟ่างหลายแปลงที่ต้องเก็บเกี่ยว ขณะเดียวกันพวกเขาต้องดูแลเมิ่งซวี่ซวีที่าเ็จนลุกจากเตียงไม่ได้ และต้องออกไปทำงานในนา คนในครอบครัวจึงยุ่งวุ่นวาย
แม้แต่นางเหอที่อยู่แต่ในเรือนเพื่อพักฟื้นจากอาการาเ็ที่เท้าและี้เีทำงาน ก็ยังต้องไปทำงานในแปลงนา นางเหอทำหน้าบึ้งตึง เมื่อไม่พอใจก็ด่าทอไปทั่ว ปากร้ายยิ่งนัก
เมิ่งต้ากับภรรยาร้อนรนกระวนกระวาย รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนไม่ราบรื่น
ในเรือนเหลือเพียงเมิ่งเจียนเจียที่คอยดูแลเมิ่งซวี่ซวี หลังแบกเมิ่งซวี่ซวีกลับมาแล้ว นางก็หมดสติไปสองวัน จากนั้นถึงค่อยๆ รู้สึกตัว
ขณะเมิ่งเจียนเจียเปลี่ยนยาให้ก็เอ่ยทั้งน้ำตา “ซวี่ซวี ไฉนถึงได้น่าสงสารขนาดนี้… าแบนแผ่นหลัง ต่อให้หายดีแล้ว ก็ต้องทิ้งรอยแผลเป็ พวกเขาช่างใจร้าย คิดจะทำลายชีวิตเ้าหรือไร…”
เมื่อเมิ่งซวี่ซวีได้ยินดังนั้น จึงขอให้เมิ่งเจียนเจียหยิบคันฉ่องมาให้นางดู เมื่อเห็นสภาพของตนเอง นางก็กรีดร้องด้วยความพรั่นพรึง
สตรีคนใดบ้างที่ไม่รักสวยรักงาม เมื่อมีแผลเป็น่ากลัวเยี่ยงนี้ แล้วต่อไปจะออกเรือนกับผู้ใดได้เล่า? ต่อให้แต่งออกไปได้ ก็ต้องถูกผู้อื่นรังเกียจ
จิติญญาแห่งการต่อสู้ที่เดิมมอดดับไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ถูกครอบงำด้วยความไม่ยอมแพ้และความแค้นเต็มเปี่ยม
นางไม่ยินยอม เหตุใดเมิ่งอู่ถึงได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและสุขสบายดี ส่วนนางกลับต้องประสบพบเจอกับเื่แบบนี้!
เมิ่งเจียนเจียปลอบโยนเสียงอ่อนหวาน “ซวี่ซวี อย่าเสียใจไปเลย เช่นนี้แผลจะยิ่งหายช้า ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ รักษาแผลให้หายก่อน”
หลังจากนั้นครอบครัวเมิ่งต้าก็พบว่า พวกเขาถูกชาวบ้านโดดเดี่ยว
ปกติแล้วพวกชาวบ้านที่เคยเป็มิตรจะทักทายกันเมื่อพบหน้า ยามนี้ไม่พูดคุยด้วยแล้ว บรรดาชาวบ้านล้วนดีใจที่ขายข้าวฟ่างได้ราคาดี แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจซื้อข้าวฟ่างของครอบครัวเมิ่งต้าเลย
ต่อมาเมิ่งต้าถึงเพิ่งรู้ว่า ข้าวฟ่างทั้งหมดถูกขายให้ญาติผู้พี่ที่เป็ญาติห่างๆ ของเมิ่งอู่ ยิ่งกว่านั้น ราคายังสูงกว่าราคาตลาดปีก่อน
พวกชาวบ้านล้วนมีความสุขเหลือหลายหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
เมิ่งต้ารู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
การถูกชาวบ้านโดดเดี่ยวจนรู้สึกหงุดหงิดเป็เพียงเื่หนึ่ง อีกเื่หนึ่งคือ เฉินฟางรับซื้อข้าวฟ่างจำนวนมาก แต่กลับมองข้ามครอบครัวของเขา
เฉินฟางมีภูมิหลังไม่ธรรมดา แต่เพราะเื่ที่เกิดขึ้นครั้งก่อนเกรงว่าจะทำให้เขาขุ่นเคืองแล้ว จึงไม่ยอมให้อภัยกันเช่นนี้
เมิ่งต้าอดโกรธไม่ได้ เขาระบายอารมณ์ใส่นางเย่ หากไม่ใช่เพราะแผนการชั่วร้ายของนางที่คิดจะจับเฉินฟาง เื่ราวก็คงจะไม่เป็เยี่ยงนี้
นางเย่ไม่ยอมแพ้ ชี้นิ้วไปที่นางเหอพร้อมหัวเราะเยาะ “มิใช่ข้าเป็คนคิดแผนการนั้น แต่เป็ท่านแม่ของท่านต่างหาก!”
หน้าทั้งหน้าของนางเหอดูดุร้าย ตวาดว่า “ข้าเป็คนคิดแล้วอย่างไร บุตรสาวของเ้าไร้น้ำยา ก็เพราะออกมาจากท้องของเ้า!”
ทว่าสิ่งที่ทำให้เมิ่งต้าอึดอัดใจที่สุดไม่ใช่สองเื่นี้ แต่เป็เพราะครอบครัวของเขามีคนถึงห้าปากท้องที่ต้องกินต้องใช้ ขณะที่อาหารเหลือน้อย ไม่รู้ว่าเพียงพอหรือไม่ ไหนเลยจะมีข้าวฟ่างเหลือไปขาย!
ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ ที่สามารถขนข้าวฟ่างของครอบครัวเมิ่งอู่มาเก็บไว้ในยุ้งฉางของตนเอง
ความไม่ราบรื่นทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาพาให้เมิ่งต้าเดือดดาลแทบบ้า
เมื่อหันไปมองเรือนของเมิ่งอู่อีกครา กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บรรดาชาวบ้านล้วนเป็มิตรกัน มีพูดคุยมีหัวเราะ
เมิ่งเจียนเจียเอ่ยว่า “ท่านพ่อ หากพวกเราขายข้าวฟ่างปีนี้ แล้วนำเงินไปซื้อข้าวฟ่างเก่าของปีที่แล้ว ก็สามารถทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้นะเ้าคะ”
เมื่อข้าวฟ่างใหม่ปีนี้ออกสู่ตลาด ราคาของข้าวฟ่างปีที่แล้วก็จะลดลง ยิ่งกว่านั้น ราคาข้าวฟ่างใหม่ยังสูงกว่าเดิมถึงสองส่วน ส่วนต่างของราคาก็มากขึ้น
เมิ่งต้าย่อมสนใจ ถามว่า “แต่เฉินฟางยังจะเต็มใจติดต่อกับพวกเราอีกหรือ?”