ชายผู้นี้มีจมูกสุนัขหรืออย่างไร? เขาอยู่มหาวิทยาลัยปักกิ่งยังจะได้กลิ่นอาหารที่นี่ด้วยเนี่ยนะ? แถมยังเลือกมาที่นี่ตอน่มื้ออาหารอีก!
แต่ก่อนซ่งหานเจียงจะกลับบ้านมาทานอาหารเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ทว่า่นี้เขากลับปรากฏตัวที่บ้านของเธอทุกวี่ทุกวัน ซย่านียังนึกสงสัยอยู่เลยว่า แต่ก่อนซ่งหานเจียงตั้งใจไม่กลับบ้านหรือเปล่านะ
“คุณมาได้ยังไง?”
“วันนี้เป็วันอะไรหรือ ทำไมคุณถึงทำอาหารเยอะขนาดนี้?”
ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน
ซย่านีไม่พูดอะไรอีก เธอจ้องซ่งหานเจียงเขม็งเพื่อรอคำตอบจากเขา
ซ่งหานเจียงทนสายตาจากซย่านีไม่ไหวอีกต่อไป เขาเขินอายเล็กน้อยและพูดตะกุกตะกักว่า “ผม...ผม...คือ...” แล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็สีแดงระเรื่อขึ้นมา
ซย่านีเลิกคิ้ว เขามีอะไรที่พูดไม่ได้งั้นหรือ?
ซ่งหานเจียงสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาโกหกหากไม่นับการชมซย่านีในครั้งนั้น “ผมไม่มีเงินกินข้าวแล้ว ่นี้คุณช่วยดูแลเื่อาหารการกินให้ผมหน่อยได้ไหม?”
นี่คือกลวิธีข้อที่สามที่เฉินเจียซั่งสอนให้เขา ศิษย์พี่กล่าวกับเขาว่า “คุณอย่าเอาแต่ขลุกอยู่ในมหาวิทยาลัยทั้งวันสิ ความรักเกิดจากการสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน คุณควรใช้เวลากับภรรยาให้มากหน่อยทำให้เธอนึกถึงข้อดีของคุณขึ้นมาอีกครั้ง เอาอย่างนี้แล้วกัน ทุกๆ วันตอนเที่ยงหรือตอนเย็นคุณก็กลับบ้านไปหาเธอ เท่านี้คงไม่ทำให้การเรียนของคุณล่าช้าไปหรอกมั้ง ระหว่างทางก็ถือว่าเป็การคุณพักผ่อนสมองไปด้วย พอกลับไปถึงบ้านแล้วทางที่ดีที่สุดคุณก็พยายามแสดงให้เธอเห็นถึงความทุกข์ยากของคุณ โดยปกติแล้วสหายหญิงมักจะมีความเมตตาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่แล้วอย่างเช่นคุณไม่มีเงินก็เลยไม่ได้ซื้อข้าวกิน วิธีอะไรทำนองนั้นก็ได้ภรรยาของคุณไม่มีทางมองดูคุณหิวตายโดยไม่สนใจไยดีคุณได้หรอก”
ซ่งหานเจียงปฏิบัติตามกลวิธีสำคัญอย่างเคร่งครัดแต่พอเขาจะอ้าปากพูด เขาก็ไม่ทันได้ควบคุมต่อมศีลธรรมภายในใจเอาไว้ให้ดี เมื่อชายหนุ่มพูดประโยคนั้นออกมา เขาก็เผยสีหน้ากระดากอายออกมาพร้อมๆ กันด้วย
แต่หลังจากอ้าปากพูดไปแล้วคำต่อมาก็ไม่ได้พูดยากขนาดนั้น เขากระแอมไอเล็กน้อยเพื่อให้คำพูดของตนเองฟังดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น “ก็เป็เช่นนี้แหละ คุณก็รู้ว่าผมให้เงินอุดหนุนของเดือนก่อนกับพ่อแม่ไปหมดแล้ว ในมือจึงเหลือเงินไม่เท่าไหร่แถม่นี้ผมต้องซื้อของเพิ่มอีกนิดหน่อยด้วย ไม่ทันรู้ตัวเงินในมือก็ไม่เหลือแล้ว...”
ซย่านีไม่สงสัยเลยสักนิดว่าซ่งหานเจียงกำลังโกหกอยู่ เพราะในความทางจำของเธอนั้นซ่งหานเจียงเป็คนเที่ยงตรงไม่รู้จักยืดหยุ่นและพูดไม่เก่งนัก ดังนั้นเขาไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน หากเขาเอ่ยคำขอจากคนอื่นออกมาเช่นนี้แสดงว่า เขาน่าจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้วแน่ๆ
แม้ว่าทั้งสองคนกำลังจะหย่ากันแล้ว แต่ซ่งหานเจียงกำลังตกที่นั่งลำบาก ซย่านีเองก็ไม่อาจทนเพิกเฉยต่อเขาได้
เธอขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “จากนี้ไปคุณก็เก็บเงินอุดหนุนของตัวเองไว้ด้วยนะ อย่าเอาไปให้พ่อแม่อีกล่ะ รอคุณมีงานทำและหาเงินได้เยอะแล้วคุณค่อยตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ก็ได้ แล้วก็อีกอย่างต่อไปนี้เวลาคุณจะใช้จ่ายเงินก็คำนวณเงินในใจบ้างอย่าเห็นอะไรก็ซื้อไปเสียหมด อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่คุณซื้อยางรัดผมให้ลูกสาวยางรัดผมชิ้นละตั้งหนึ่งหยวน คุณก็ช่างกล้าจ่ายเงินซื้อมาได้นะ คนอื่นเขาหัวเราะที่คุณโดนเอาเปรียบอยู่นะ รู้ตัวบ้างไหม?”
ซ่งหานเจียงก้มหน้าลง ฟังคำดุของซย่านีอย่างเงียบๆ เหมือนเด็กที่ทำความผิดอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นซย่านีก็ควักเงินออกมาจากกระเป๋านับได้ประมาณยี่สิบหยวน แล้วเธอก็ดึงมือซ่งหานเจียงออกมาและวางเงินลงบนมือของชายหนุ่ม “ฉันให้เงินนี้กับคุณถือว่าให้คุณยืมก็แล้วกัน”
ซ่งหานเจียงพูดไม่ออก “…” ไม่ๆๆ ผมไม่ได้มีจุดประสงค์แบบนั้นสักหน่อย!
“เอาล่ะ คุณกลับมหาวิทยาลัยได้แล้ว ถ้ารีบกลับไปตอนนี้โรงอาหารที่นั่นก็น่าจะยังไม่ปิด”
ซ่งหานเจียงยังคงเงียบต่อไป “…” ทำไมถึงเป็เช่นนี้ไปได้นะ?
ซ่งหานเจียงกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าทำอย่างไรเขาถึงจะอยู่ร่วมทานอาหารมื้อนี้ได้กัน แล้วทันใดนั้นเองในลานบ้านก็มีเสียงร้องอุทานดังขึ้นมา...
“พี่เขย?”
เสียงนี้น่าฟังราวกับเป็เสียงจาก์เลยจริงๆ!
“ซานนี?” ซ่งหานเจียงหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็กล่าวอย่างประหลาดใจ “เธอมาที่นี่ั้แ่เมื่อไหร่?”
ซย่าซานนีตอบ “ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เองจ้ะ พี่หญิงใหญ่ไปรับฉันที่สถานีรถไฟ...แล้วพี่เขย ทำไมพี่ถึงกลับมาที่บ้านเล่า?” ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนกำลังหารือเื่หย่ากันอยู่หรอกหรือ? หรือว่าพี่เขยกลับมาหารือเื่หย่ากับพี่หญิงใหญ่? แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ!
อันที่จริงในใจของเธอไม่อยากให้พี่หญิงใหญ่หย่ากับพี่เขยเลย มีผู้ชายตั้งกี่คนที่ยอมทิ้งภรรยาและลูกของตนเองเพื่อกลับเมืองหลวง แต่พี่เขยกลับยินดีพาพี่หญิงใหญ่กลับกรุงปักกิ่งไปด้วยกัน เทียบกันแล้วเขาดีกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ตั้งเยอะ เธอจะต้องคิดหาวิธีที่จะทำให้พี่หญิงใหญ่ล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย
ซ่งหานเจียงกระแอมไอแห้งๆ เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับตัวซิงซิงน้อยมาจากอ้อมแขนของซย่าซานนีแล้วกล่าวว่า “มาให้พี่อุ้มลูกหน่อยเถอะ...พี่กลับมากินข้าวที่บ้านน่ะ”
“พี่เขย พี่มาถูกที่แล้ว” ซย่าซานนีพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวฉันทำอาหารอร่อยๆ ไว้เยอะเลย ฉันแค่ดมกลิ่นอาหารก็รู้ทันทีเลยว่าพี่หญิงใหญ่ทำอาหารหลายจาน”
“แต่พี่สาวของเธอให้พี่กลับไปกินข้าวที่มหาวิทยาลัยน่ะสิ” น้ำเสียงของซ่งหานเจียงฟังดูน้อยใจเล็กน้อย
ซย่านีกล่าวขึ้นทันที “ซานนี เธออย่ารั้งพี่เขยของเธอไว้เลย เขาเรียนหนักมากแถมยังยุ่งอีกด้วยเพราะฉะนั้นเขาต้องรีบกลับไปมหาวิทยาลัยได้แล้ว”
ซย่าซานนีมองไปทางซ่งหานเจียง ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ซย่าซานนีทำท่าทางเป็นัยว่าเข้าใจแล้วจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “พี่หญิงใหญ่ ฉันไม่ได้เจอพี่เขยมาสองปีแล้วให้พี่เขยอยู่กินข้าวกับพวกเราไม่ได้หรือ? อีกอย่างจะว่าไปแล้วพี่ก็ทำอาหารตั้งหลายอย่าง พวกเราแค่ไม่กี่คนคงกินกันไม่หมดหรอกจ้ะ!”
ซย่านีอยากจะพูดอย่างอื่นแต่ซย่าซานนีก็คว้าแขนของเธอเอาไว้ก่อน แล้วเด็กสาวก็ยื่นหน้าไปมองในหม้อ “ว้าว มีเกี๊ยวด้วย! พี่หญิงใหญ่ นี่เกี๊ยวไส้อะไรหรือจ้ะ?”
ซย่านีเลิกสนใจที่จะไล่ซ่งหานเจียงไปจากบ้าน เธอหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยให้น้องสาวพลางกล่าวว่า “เดี๋ยวเธอกินเข้าไปก็จะรู้เองแหละ”
“เอาล่ะ พวกเราจะเริ่มกินข้าวกันเมื่อไหร่หรือ? ฉันรอแทบไม่ไหวแล้วจ้ะ” แม้ว่าเธอจะกินขนมกุยช่ายทอดไปสี่ชิ้นแต่พอเธอได้กลิ่นอาหารก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาอีกรอบ
“เดี๋ยวรอเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางเลิกเรียนก่อนนะ เธอดูสิว่ากี่โมงแล้ว? พวกเขาเลิกเรียนกันตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งนี่แหละ”
ซ่งหานเจียงเหลือบมองนาฬิกาของตนเองและเอ่ยตอบ “ตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว”
“งั้นก็เลิกเรียนแล้วล่ะสิ!” ซย่านีหันมองซ้ายมองขวาพลางกล่าวว่า “พวกเราจะกินข้าวกันตรงไหนดี?”
ในห้องครัวมีโต๊ะกลมเล็กๆ ตั้งอยู่ ปกติแล้วในบ้านมีแค่ซย่านีกับพวกเด็กๆ เท่านั้น พวกเธอแม่ลูกก็จะกินข้าวกันในห้องครัวนี้เลยแต่วันนี้ที่บ้านมีคนอยู่เยอะ ซย่านีกล่าวต่อว่า “ไปห้องโถงหลักก็แล้วกันที่นั้นค่อยกว้างขวางหน่อย”
ในห้องโถงหลักมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พวกเขาล้างมือกันเสร็จเรียบร้อยจากนั้นก็เริ่มนำเอาจานชามไปจัดวางไว้ที่ห้องโถงหลัก ซ่งหานเจียงก็มองหาเก้าอี้มาวางไว้รอบๆ โต๊ะกลม
ซย่านีนำชามใบเล็กมาจากห้องครัวและยื่นส่งให้กับซ่งหานเจียง “ฉันตุ๋นน้ำแกงปลาไว้ให้ซิงซิงน่ะ คุณป้อนลูกหน่อยสิ”
ซ่งหานเจียงรีบตอบตกลงทันทีเขาหยิบชามเล็กๆ มาแล้วหาที่นั่งลง ชายหนุ่มจับซิงซิงให้นั่งอยู่บนตักของตนเอง ต่อมาเขาก็หยิบช้อนอันเล็กๆ ขึ้นมาตักน้ำแกงปลาป้อนลูกชายคนเล็กของเขา เขาเห็นว่าในน้ำแกงปลามีก้างอยู่เล็กน้อย ดังนั้นแรกเริ่มชายหนุ่มจึงใช้ช้อนเขี่ยๆ ก้างในน้ำแกงปลาอยู่นาน พอวางใจแล้วถึงค่อยป้อนอาหารให้เด็กน้อย
ซย่าซานนีเห็นภาพนั้นก็หันไปกระซิบกับซย่านี “พี่เขยช่างเอาใจใส่ดีจริงๆ”
ซย่านีกล่าวเสียงเรียบว่า “เลิกมองได้แล้ว อีกไม่นานเขาก็จะไม่ใช่พี่เขยของเธออีกต่อไปแล้ว”
ซย่าซานนียักไหล่เธอหันกลับไปมองซ่งหานเจียงอีกรอบ ชายหนุ่มกำลังมองซิงซิงด้วยสีหน้าอ่อนโยน เขาตักน้ำแกงปลาขึ้นมาหนึ่งช้อนแล้วอ้าปากร้องว่า ‘อ้ำ’ เบาๆ จากนั้นซิงซิงน้อยก็อ้าปากร้อง ‘อ๊า’ พอเห็นภาพนั้นซ่งหานเจียงก็หัวเราะออกมา ซย่าซานนียิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่อาจหย่ากับพี่เขยได้โดยเด็ดขาด ดูๆ ไปแล้วพี่เขยไม่ได้มีท่าทีว่าอยากจะหย่ากับพี่หญิงใหญ่เลยด้วยซ้ำ
“ใช่แล้ว พี่หญิงใหญ่เมื่อครู่ฉันลองทำยางรัดผมตามแบบที่พี่ทำไว้หลายเส้นเลย เดี๋ยวพี่ลองดูหน่อยนะจ้ะว่าชิ้นที่ฉันทำมันพอจะเอาไปใช้ได้ไหม”
ซย่านีมั่นใจในฝีมือของซย่าซานนีมาก เธอจึงกล่าวกับน้องสาวว่า “ยางรัดผมที่เธอทำจะต้องใช้ได้อย่างแน่นอน”
