เล่มที่ 3 บทที่ 68
ภายใต้สายตาอันแตกต่างกันของทุกคน มู่หรงฉิงกลับยกยิ้มที่มุมปากพลางหยิบขนมอบจากมือของเฉินเทียนหยู ก่อนแบ่งมันออกเป็สองส่วน ครึ่งหนึ่งยังคงอยู่ในมือของนาง และอีกครึ่งหนึ่งมอบให้เฉินเทียนหยู
ด้วยการปฏิบัติของมู่หรงฉิง เฉินเทียนหยูจึงยิ่งรู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ เขาหยิบขนมและกัดคำโต จากนั้นก็เปล่งเสียงงึมงำว่าอร่อย
ภาพฉากอันอบอุ่นเป็สาเหตุให้ดวงตาของปี้เอ๋อร์ถึงกับเปียกชื้น คุณชายรองโง่เขลาแล้วอย่างไรเล่า? ขอแค่คุณชายรองอย่าได้คลุ้มคลั่งและปฏิบัติต่อคุณหนูใหญ่อย่างโง่เขลาเช่นนี้ตลอดชีวิต นางคิดว่าิญญาของฮูหยินที่อยู่บนฟ้าจะต้องรู้สึกอุ่นใจอย่างแน่นอน
เมื่อทุกคนมองมาทางนาง มู่หรงฉิงก็รู้สึกเก้อเขินอยู่หลายส่วน "ยืนทำอะไรอยู่หรือ? นั่งสิ แตงโมลูกนี้ควรจะรับประทานแล้วด้วย ไม่เช่นนั้นความเย็นก็จะหายไป กินแล้วจะไม่สดชื่น"
จ้าวจื่อซินพ่นลมหายใจอย่างเ็า นั่งลงที่อีกด้านหนึ่งของมู่หรงฉิง ก่อนจะวางดาบลงบนโต๊ะอย่างแรง ออกอาการไม่พอใจชัดเจน
ไม่รู้ว่าทำไม วันนี้มองเฉินเทียนหยูอย่างไรก็รู้สึกไม่รื่นตา กับคนโง่คนนี้เหตุใดแต่ก่อนเขาถึงไม่เคยพบว่าเฉินเทียนหยูน่ารำคาญกันเล่า?
แม้จ้าวจื่อซินจะแสดงอาการไม่พอใจโดยไม่มีสาเหตุ ทว่าเพราะคุ้นชินกับท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างไม่มีที่มาที่ไปของเขา มู่หรงฉิงจึงคร้านที่จะสนใจและทำเพียงสั่งให้หลายคนนั่งลงอีกหน
ปี้เอ๋อร์มีท่าทางปกติเนื่องจากนางเคยกินข้าวร่วมโต๊ะถึงสองหนแล้ว นางจึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร นอกจากหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามมู่หรงฉิง และหยิบมีดเพื่อแบ่งแตงโมหงส์เพลิง
ชุนรุ่ยและชิวเหอเห็นปี้เอ๋อร์นั่งลงอย่างสบายๆ พวกนางถึงกับตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นเลื่อนสายตาไปมองมู่หรงฉิงด้วยความชื่นชม
เ้านายคนใหม่คนนี้ทำให้พวกนางชื่นชอบมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ที่สำคัญพวกนางชอบทักษะการทำอาหารของเ้านายคนใหม่มากด้วย พวกนางไม่มีงานอดิเรกอื่นๆ ฉะนั้นเมื่อมีเวลาว่างจากการทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย พวกนางจึงชอบที่จะกินทว่าฝีมือในการทำอาหารกลับมีอยู่อย่างจำกัด อาหารที่พวกนางทำ มักจะทำให้ตนเองเบื่อหน่ายอยู่เสมอ
ไม่คิดไม่ฝันว่าหลังจากเ้านายคนเก่าไม่้าพวกนาง เ้านายคนใหม่กลับใจดีถึงขั้นทำให้พวกนางเกือบร้องไห้ด้วยความดีใจ มิหนำซ้ำพวกนางไม่เคยนึกถึงมาก่อนว่าเ้านายคนใหม่คนนี้ไม่วางท่าแม้แต่น้อยและไม่มีความเย่อหยิ่งเสียเลย นายหญิงดีต่อบ่าวรับใช้เป็อย่างมาก
์ช่างเมตตาพวกนางจริงแท้ ถึงบันดาลให้พวกนางได้ในสิ่งที่ปรารถนา พวกนางสามารถกินขนมและอาหารอร่อยๆ ได้ทั้งหมดแล้ว...
พวกบ่าวคนอื่นๆ ภายในเรือนม่อเหอพากันกระซิบสนทนาเป็การส่วนตัว บางเวลาสายตาของพวกนางก็มองไปทางประตูห้องโถงซึ่งยังปิดสนิทและมีเสียงกรีดร้องดังลอดออกมาเป็ครั้งคราว ภายใต้แสงแดดแผดร้อนจ้า พวกบ่าวแค่รู้สึกว่าหัวใจของพวกนางหนาวเหน็บ
“ทำไมฮูหยินน้อยถึงจัดการกับปี้เอ๋อร์? คุกเข่าเป็เวลาสองชั่วยามแล้ว เดิมคิดว่าหลังจากเป็ลมก็คงจะปล่อยไป แต่คาดไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยกลับปิดประตูและลงโทษ”
“ใครจะไปรู้? ไม่รู้ว่าแม่รองเฉินพูดอะไรกับฮูหยินน้อย? ทันทีที่แม่รองเฉินก้าวเท้าพ้นจากเรือน ฮูหยินน้อยก็จัดการกับปี้เอ๋อร์”
“จุๆ ฮูหยินน้อยลำเอียงมากเกินไปจริงๆ เ้าเห็นหรือไม่ว่า หลักฐานชี้อยู่ทนโท่ว่ายวี้เอ๋อร์ได้ทำอะไรไว้ แต่ฮูหยินน้อยกลับยังคงรักทะนุถนอมยวี้เอ๋อร์ ส่วนปี้เอ๋อร์คนนั้น ไม่เคยได้ยินว่าจะทำอะไรผิด แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกลงโทษอย่างน่าสังเวช ฟังเสียงร้องอย่างน่าสังเวชนั่นสิ น่าสังเวชจริงแท้”
“โธ่... เื่ของเ้านาย เป็เื่ที่พวกบ่าวอย่างพวกเราจะสามารถเดาได้อย่างไรกัน อย่ายืนเกะกะอยู่ตรงนี้เลย ถ้าเกิดฮูหยินน้อยมาเห็นเข้าเดี๋ยวจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย”
พวกสาวใช้กลัวว่าปัญหาจะมาสู่ตน จึงรีบกลับไปที่ห้องเก็บฟืน แต่อย่างไรก็ดีพวกนางยังอดไม่ได้ที่จะพูดถึง ทางด้านนอกเรือนม่อเหอ แววตาของหลิงเอ๋อร์ถึงกับเป็ประกายวับเล็กน้อย ก่อนนางจะหมุนตัวเดินจากไป
“อ๊ะ คุณหนูใหญ่ ไว้ชีวิตบ่าวด้วย...”
หลังจากเปล่งเสียงร้องดังลั่นอย่างน่าสังเวช ปี้เอ๋อร์ก็กัดแตงโมเย็นๆ เสียคำหนึ่ง
โธ่! ถึงมันจะเป็การแสดงก็ตาม ทว่าพระอาทิตย์ที่ส่องแสงจัดจ้าไม่ได้ลดความร้อนระอุลงเนื่องจากการแสดงแม้แต่น้อย หลังจากตากแดดเป็เวลานานย่อมรู้สึกว่าอากาศช่างร้อนจริงๆ
“นี่คือมะม่วง คนที่ซื้อมาบอกว่ามันมาจากเหลียงโจว” มู่หรงฉิงคีบขนมอบไส้มะม่วงชิ้นเล็กๆ ขึ้นมา และวางในชามของปี้เอ๋อร์
ปี้เอ๋อร์กรีดร้องดังลั่นอีกหนหลังจากได้ยินคำพูดนั้น มิหนำซ้ำเสียงกรีดร้องยังเจือกลิ่นอายความเศร้าเป็พิเศษ
ทางด้านจ้าวจื่อซินกำลังกินขนมอบเพื่อระบายอารมณ์ไม่พอใจ เมื่อได้ฟังคำพูดที่ปราศจากความคิดของมู่หรงฉิง สายตาของเขาจึงเลื่อนมองไปทางปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งมีสีหน้าหดหู่ ก่อนเลื่อนสายตากลับมาและก้มหน้าลงระบายความโกรธกับขนมต่อไป
บ่ายวันนี้ พวกเขาหลายคนกินขนมอบไส้ผลไม้กับแตงโมเย็นเพื่อดับกระหาย หลังจากกินและดื่มจนอิ่มหนำ เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของปี้เอ๋อร์ย่อมเพียงพอแล้วเช่นเดียวกัน ชุนรุ่ยและชิวเหอจึงลุกขึ้นเก็บจาน พร้อมกับเปิดประตูและบานหน้าต่าง โดยมีชิงยวี่เป็คนแบกปี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งมี 'รอยแผล' าเ็ออกจากเรือนม่อเหอ เดินตรงสู่ทิศทางของเรือนหยางเซิง
ชิงยวี่แบกปี้เอ๋อร์จากไปแล้ว ถึงแม้ว่าจ้าวจื่อซินจะไม่มีความสุขในใจ แต่ขนมก็อร่อยมากจริงๆ ครั้นกินอิ่มแล้ว ความไม่พอใจเมื่อหลายอึดใจก่อนย่อมมลายหายไปมาก แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงเ็า ก่อนเดินกอดดาบออกจากเรือนม่อเหอ
ถัดมาเป็มู่หรงฉิงซึ่งเดินออกไปด้วยท่าทางเ็า ตามด้วยเฉินเทียนหยูที่หาวนอนครั้งแล้วครั้งเล่าพลางลดสายตาลงครึ่งหนึ่ง
จวบจนกระทั่งหลายคนเข้าไปในเรือนหยางเซิง พวกสาวใช้ภายในเรือนม่อเหอถึงได้กล้าพูดคุยเสียงดัง
ยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนหญ้าแห้งพลางลอบฟังการสนทนาของพวกสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก นางเกิดความสงสัยในใจ ปี้เอ๋อร์ร่วมมือกับแม่รองเฉินแล้วหรือ? ครู่ก่อนแม่รองเฉินมาหานางและพูดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากปี้เอ๋อร์ได้ ในเวลานั้นนางยังคงสงสัยในคำพูดของแม่รองเฉิน แต่เมื่อฟังคำนินทาจากพวกบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกประตู ยวี้เอ๋อร์กลับต้องคิดตรึกตรองซ้ำ
ฟากฝ่ายมู่หรงฉิง หลังจากก้าวเท้าเข้าไปในเรือนหยางเซิง ก็เห็นปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วและถูท้อง ขณะที่สายตาทั้งสองจับจ้องไปทางชิงยวี่ผู้มีสีหน้าไร้เดียงสาซึ่งอยู่ด้านข้างอย่างดุดัน
เฉินเทียนหยูกินและดื่มจนอิ่มแปล้ เพียงแต่เขายังไม่ได้นอนกลางวันทำให้รู้สึกง่วงเป็อย่างมาก มือทั้งสองของเขาจึงโอบรอบเอวของมู่หรงฉิงพร้อมเอนศีรษะวางพิงไว้บนไหล่ของเด็กสาว ปากพูดพึมพำว่าอร่อย
เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ในเวลานี้เฉินเทียนหยูช่างน่ารักจริงๆ นางจึงจับมือของเขาและประคองชายหนุ่มพาไปที่ห้อง ระหว่างเดิน นางได้เอ่ยถามจ้าวจื่อซินไปพลางว่า "เรียกพวกเราทุกคนมาที่นี่ เ้าไม่กลัวว่าจะทำให้คนสงสัยหรือ? เรือนแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาไม่ใช่หรือ?"
“คุณชายรองจะให้พวกเ้าเข้ามาให้ได้ ข้าก็อับจนหนทางไม่ใช่หรือ?” จ้าวจื่อซินเปล่งเสียงเ็า ระหว่างเดินตามเข้าไปในห้อง
ชิงยวี่เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ด้านนอกประตูโดยปราศจากคำพูด วันนี้เ้านายทำตัวแปลกประหลาดจริงๆ ทำไมอารมณ์ของอีกฝ่ายถึงได้แปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ?
ทันทีที่เข้ามาในห้อง เฉินเทียนหยูก็ลากมู่หรงฉิงให้ไปนั่งลงบนเก้าอี้ขนาดใหญ่ด้วยกัน มู่หรงฉิงรู้ว่าเขาง่วงนอนมากจึงปล่อยเขาไป และตบแผ่นหลังของเขาราวกับกำลังกล่อมเด็กน้อย
เฉินเทียนหยูเอนตัวพิงมู่หรงฉิงพลางดมกลิ่นผลไม้ต่างๆ บนร่างกายของนาง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเปื้อนรอยยิ้มพึงพอใจ ส่วนมือที่โอบรอบเอวของนางก็แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนหดสั้นลงเรื่อยๆ
ชุนรุ่ยและชิวเหอหน้าแดงก่ำทันควันที่เห็นการเคลื่อนไหวอันชัดเจนของเฉินเทียนหยู พวกนางรีบออกจากห้องและเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู ชิงยวี่ยังไม่ได้เข้าไปในห้องแต่ครั้นเห็นทั้งสองคนออกมาแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่รู้สาเหตุ กระนั้นจิตใต้สำนึกกลับบอกเขาว่า ในเวลานี้เขาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น เขาจะโชคร้าย
ปรากฏว่าก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายสิ้นไป เขาก็เห็นเ้านายของตนเองเดินออกมาด้วยใบหน้าถมึงทึง
“ข้าหน้าตาหล่อเหลาหรือเฉินเทียนหยูหน้าตาหล่อเหลากว่า?”
เห็นเ้านายของตนเองเดินไปที่ห้องด้านข้าง ชิงยวี่ย่อมเดินตามไปด้วย แต่เมื่อเขาเข้าไปในห้อง ไม่นึกไม่ฝันว่า เ้านายจะตั้งคำถามด้วยประโยคที่ทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออกเป็อย่างมาก
เ้านาย เ้านายไม่เคยสนใจเกี่ยวกับรูปลักษณ์หน้าตาของตนเองมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมวันนี้ถึงได้ถามบ่อยเหลือเกินขอรับ?
ชิงยวี่พูดพึมพำในใจ ครั้นเห็นว่าสีหน้าของเ้านายไม่ดีนัก ชิงยวี่จำต้องตอบว่า “เ้านายกับคุณชายรองทั้งสองคนต่างมีใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา เพียงแต่เ้านายร่อนเร่อยู่ด้านนอกเป็เวลาหลายปี ทำให้ผิวคล้ำแดดจึงให้ความรู้สึกร่าเริงและกระฉับกระเฉงเป็อย่างมาก แต่คุณชายรองเฉินอยู่ในจวนเป็เวลาหลายปี ผิวย่อมขาวสะอาดมากกว่าก็เท่านั้นขอรับ”
หลังจากชิงยวี่พูดดังนั้น จ้าวจื่อซินก็มองลงมาด้วยท่าทีคล้ายใช้ความคิดอย่างจริงจัง ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมว่า "กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้าขาวไม่เท่าเขาหรือ?"
เอ่อ เ้านาย... เื่นี้สำคัญด้วยหรือขอรับ? นอกจากนั้นเ้านายไม่คิดหรือว่า ผู้ชายที่ผิวขาวเกินไป ย่อมเหมือนชายหน้าขาวที่เกาะผู้หญิงกิน?
ก่อนที่ชิงยวี่จะเอ่ยปากอธิบายความคิด จ้าวจื่อซินกลับโพล่งพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาถึงกับจะอาเจียนออกมาเป็เื
“เ้าหาอะไรที่ทำให้ข้าขาวขึ้นมาทีเถอะ เปิ่นกงจื่อ[1]ไม่เชื่อว่าจะขาวสู้เ้าคนโง่คนนั้นไม่ได้”
ชิงยวี่ ...เ้านาย เกิดอะไรขึ้นกับเ้านายหรือ? เ้านายเป็เ้านายของข้าจริงๆ หรือไม่? วันนี้เ้านายผิดปกติมากจริงๆ
ขณะที่ชิงยวี่กำลังอยู่ในอาการสับสน ฝ่ายมู่หรงฉิงซึ่งกำลังทอดสายตามองเฉินเทียนหยูที่นอนหลับสนิทอยู่ด้านข้าง ภาพเบื้องหน้าถึงกับทำให้หัวใจของนางโอนอ่อนลง
“น้องหญิงดีจริงๆ...”
หลังจากพูดพึมพำประโยคนั้น เฉินเทียนหยูก็เอนตัวในอ้อมแขนของมู่หรงฉิงอีกหน หลังจากยืนยันว่าคนในอ้อมแขนของเขาไม่ได้หายไปไหน มือที่เคยรัดรอบเอวบางแน่นจึงคลายลงโดยไม่รู้ตัว
“ท่านพี่ แม้ท่านพี่จะโง่งม ฉิงเอ๋อร์ก็ยอมรับท่านพี่ได้ ขอแค่ท่านพี่ไม่คลุ้มคลั่งอีกต่อไป ฉิงเอ๋อร์ก็รู้สึกพอใจแล้ว” ถอนหายใจเบาๆ และยกมือขึ้นถูตามคิ้วของเขาโดยไม่รู้ตัว
ขนตายาวงอนคล้ายประตูบานหนึ่ง ปิดบังั์ตาของเขาไว้ ยิ่งนึกถึงชายหนุ่มในยามตื่นขึ้นซึ่งดวงตาของเขาคล้ายกับดวงดาว ั์ตาสดใสและสะอาดปราศจากความขุ่นมัวจนทำให้ผู้คนไม่ใจแข็งพอที่จะปรามาส
คนเช่นเขาแต่เดิมมีบุคลิกที่สง่างาม อากัปกิริยาสุขุมแต่กลับถูกคนวางกับดักจนกลายเป็คนโง่เขลาและคลุ้มคลั่งราวกับปีศาจ
"โธ่…"
ถอนหายใจเบาๆ และค่อยๆ ดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขา เมื่อเห็นว่าเขายังคงหลับสนิท มู่หรงฉิงจึงก้าวเท้าออกมาจากห้อง
ทันทีที่ย่างเท้าออกจากห้อง ก็เห็นจ้าวจื่อซินกอดดาบยาวพลางเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าด้วยใบหน้าเ็า
"เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถามอย่างตรงไปตรงมา
“วันนี้หมอเทวดาและองค์หญิงซาเหรินแห่งทุ่งหญ้าจะเดินทางเข้ามาในเมืองหลวง ถ้าเ้าอยากรู้เื่ราวของเฉินเทียนหยู เ้าสามารถไปดูได้ ไม่แน่ว่าอาจมีวิธีเข้าใกล้หมอเทวดาก็เป็ได้ เผื่อจะได้ถามอะไรบางอย่างให้เข้าใจ”
และใช้โอกาสนี้ในการถามหมอเทวดาว่ามีวิธีทำให้คนขาวภายในชั่วข้ามคืนได้หรือไม่ จ้าวจื่อซินได้เพิ่มความคิดนั้นไว้ในใจของเขา
มู่หรงฉิงถึงกับใหลังจากได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซิน
องค์หญิงซาเหริน? เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะเป็ผู้หญิงที่พบในวันนั้น? ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสำเนียงการพูดของนางถึงแปลกมาก
เพียงแต่ผ่านไปแค่สองสามวัน ไม่รู้ว่าอาการดั้งหักของหมอเทวดาจะหายดีแล้วหรือไม่? ถ้ายังไม่ดี การที่นางไปหาพวกเขาในตอนนี้จะไม่เป็การรนหาที่ตายหรือ?
อย่างไรก็ดีนางอยากจะถามหมอเทวดาจริงๆ ว่า ‘ครึ่งปี’ ที่บันทึกไว้ในสมุดจดเล่มนั้นหมายความว่าอย่างไร?
หลังจากคิดตรึกตรอง ในท้ายที่สุดนางก็ให้ความสำคัญกับเฉินเทียนหยูเป็หลักและเดินตามจ้าวจื่อซินออกจากจวนเฉินผ่านทางลับ
ทางออกของเส้นทางลับอยู่ในบ้านธรรมดาทั่วไป สังเกตดูการตกแต่งเหมือนจะมีคนทำความสะอาดให้ทุกวัน
มู่หรงฉิงแปลกใจจริงๆ จ้าวจื่อซินมีบ้านในเมืองหลวงกี่หลังกันแน่? พูดได้หรือไม่ว่าทางออกของแต่ละทางลับนั้นคือรังของเขา?
มู่หรงฉิงนึกถึงสำนวนกระต่ายเ้าเล่ห์ต้องมีสามโพรง[2] พลางคิดในใจว่าจ้าวจื่อซินคนนี้เป็คนแปลกจริงๆ
ก่อนออกจากบ้าน จ้าวจื่อซินส่งหมวกสานคลุมผ้าโปร่งเพื่อปิดบังใบหน้าให้แก่ทุกคน มู่หรงฉิงพูดในใจว่า จ้าวจื่อซินผู้นี้ก็มีคราวระวังตัวรอบคอบเช่นกัน
“หมอเทวดาเป็คนที่เ้าอยากพบก็ได้พบกระนั้นหรือ?” จ้าวจื่อซินเตรียมตัวมาเป็อย่างดีทำให้มู่หรงฉิงระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้
“มันย่อมมีวิธีของมัน” หลังจากตอบคำถาม จ้าวจื่อซินก็สวมหมวกสานและก้าวเท้าเดินออกจากเรือน
“ทำให้คนสับสนแล้วจริงๆ” พูดพึมพำในใจพลางสวมหมวกด้วยเช่นกัน จากนั้นถึงเดินออกจากเรือน แต่กลับพบว่าบนถนนคึกคักและมีชีวิตชีวาไม่ธรรมดา
“ข้าได้ยินมาว่า องค์หญิงแห่งทุ่งหญ้าหน้าตาสะสวยมาก แม้นางจะเติบโตในทุ่งหญ้าแต่กระนั้นนางก็มีเชื้อสายฮั่นอยู่หลายส่วน ดังนั้นหน้าตาของนางจึงดูเหมือนหญิงสาวจงหยวนมากกว่า”
“ใช่ๆ การมาเยือนในคราวนี้ ดูเหมือนว่าจะมาเพื่ออภิเษกสมรส แต่ไม่รู้ว่าจะอภิเษกสมรสกับองค์ชายองค์ใด หรือจะอภิเษกสมรสกับซื่อจื่อ[3]คนใดเพื่อสานสัมพันธ์ไมตรี?”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสนใจใช่หรือไม่? ในเมื่อาด้านนอกกำแพงเมืองสงบลง พระอมิตาภพุทธเ้า ลูกของข้าก็จะได้กลับบ้านแล้วเช่นกัน”
มู่หรงฉิงได้ยินความคิดเห็นของทุกคน นางรู้สึกถึงความขมขื่นในใจสุดจะพรรณนาเป็คำพูดได้
พี่ชายใหญ่ จากกันเป็เวลาหลายปีไม่เคยได้พบกัน พี่ชายใหญ่สบายดีหรือไม่?
ในใจหวังแค่ว่าคนที่อนุหนิงส่งไปจะประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างทาง ทำให้นางมีเวลามากพอจะเดินทางไปเหลียงโจว
จังหวะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังเข้ามา ก่อนจะได้เห็นรถม้าขนาดใหญ่ซึ่งทั้งสี่ด้านเปิดโล่ง โดยมีหญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีแดงและผ้าคลุมใบหน้านั่งอยู่บนนั้น
แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวมผ้าคลุมใบหน้าแต่มู่หรงฉิงจำสายตาอันชาญฉลาดของนางได้ องค์หญิงคนนี้คือผู้หญิงที่นางพบในวันนั้น
เมื่อเลื่อนสายตาไปยังด้านข้างของผู้หญิงคนนั้น จะได้พบกับชายชราผมหงอกคนหนึ่งนั่งอยู่ เพียงแต่ชายชราคนนั้นแปลกมาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะสวมผ้าคลุมหน้าสีดำ เห็นๆ อยู่ว่ามาอภิเษกสมรส แต่เหมือนกับการมาลอบสังหารอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนต่างสงสัยว่าเหตุใดถึงมีชายชราแปลกประหลาดนั่งถัดจากองค์หญิง แต่มู่หรงฉิงกลับเข้าใจอย่างกระจ่าง ครั้นเห็นเปลวเพลิงในดวงตาของชายชราที่ฉายออกมายังด้านนอกผ้าคลุมหน้า มู่หรงฉิงถึงกับก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณหนึ่งก้าว นางหวังแค่ว่าถ้าหมอเทวดาไม่เห็นนาง นั่นจะเป็เื่ดีมาก
แต่สิ่งที่คิดไว้กลับไม่เป็อย่างที่คิด จังหวะที่มู่หรงฉิงยังคงดีใจเพราะตนสวมหมวกสาน ซึ่งคงเป็ไปไม่ได้ที่หมอเทวดาจะสามารถจำนางได้ แต่ไม่คาดคิดว่า จู่ๆ จ้าวจื่อซินได้โยนบางสิ่งบางอย่างออกจากมือ นางเห็นหมอเทวดาหันศีรษะกลับมา สายตาของเขาเป็ประกายยามมองจ้าวจื่อซินก็คล้ายกำลังดูเหยื่อของตนก็มิปาน
ในขณะนั้นเอง มีสายลมอ่อนๆ โชยมา พัดมุมหนึ่งของหมวกสานทำให้หมอเทวดาเห็นใบหน้าของมู่หรงฉิงซึ่งถอยออกไปด้านข้างอย่างเงียบๆ ั์ตาประกายของหมอเทวดาถึงกับมีเปลวไฟลุกโชนด้วยความโกรธเคืองในฉับพลัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์พิเศษ เขาคงจะะโออกจากรถม้าและลงโทษด้วยการสังหารมู่หรงฉิง ณ ที่แห่งนี้ทันทีโดยไม่เสียเวลาเจรจา
-------------------------
[1] กงจื่อ คุณชาย (ใช้เรียกบุรุษที่มียศสูงเช่นพวกขุนนาง องค์ชายและเหล่าคุณชายผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ส่วนเปิ่นกงจื่อ คือ พวกเขาตามที่กล่าวข้างต้นใช้เรียกแทนตนเอง)
[2] กระต่ายเ้าเล่ห์ต้องมีสามโพรง จะทำการอะไรในสถานการณ์เสี่ยงๆ ก็ต้องเตรียมแผนรับมือเอาไว้หลายๆ ชั้น
[3] ซื่อจื่อ บุตรชายคนแรกที่จะได้รับตำแหน่งต่อในชินหวังหรือจวิ้นหวัง