เซี่ยโม่เอาหญ้าแห้วหมูไปส่งที่โรงเลี้ยงหมู เมื่อได้แต้มการทำงานกลับมาสามแต้มเธอถึงค่อยพาน้องชายกลับบ้านไปอย่างอารมณ์ดี
กลับถึงบ้าน คุณยายกำลังทำกับข้าวอยู่ พอเห็นสองพี่น้องเดินจูงมือกันกลับมา จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เฉินเฟิงก็ขึ้นเขาไปด้วยเหรอ เหนื่อยไหม?”
เซี่ยเฉินเฟิงเอามือตบที่หน้าอกอย่างภาคภูมิใจ “คุณยาย ผมเป็ผู้ชาย ผมต้องปกป้องพี่สาว”
ประโยคนี้ไม่เพียงคุณยายที่ได้ยิน คุณตาที่เพิ่งจะล้างหน้าเสร็จก็ได้ยินเช่นกัน
ท่านทั้งสองยิ้มพลางมองเด็กชายอย่างชื่นชม หลานชายพวกเขาช่างรู้ความจริงๆ
ต้องเป็เพราะได้ยินที่ผู้ใหญ่คุยกันแน่ถึงได้ทำแบบนี้
อู๋กวงเต๋อถามพร้อมรอยยิ้ม “โม่โม่ เช้านี้เฉินเฟิงเป็คนขอขึ้นเขาไปเองงั้นเหรอ”
เซี่ยโม่พยักหน้า “คุณตา คุณยาย เฉินเฟิงรู้ความที่สุด ตอนลงจากเขา ความที่อยากจะช่วยหนูที่สะพายตะกร้าหนัก…”
เซี่ยเฉินเฟิงเอาสองมือกุมใบหน้าที่แดงก่ำ รีบเอ่ยอย่างลนลานว่า “พี่ ห้ามพูดนะ!”
สองสามีภรรยาทำหน้าสงสัย “โม่โม่ พูดต่อสิ เฉินเฟิงเป็อะไร”
เซี่ยโม่ลอบยิ้มในใจ น้องชายเธอยังเล็ก แต่กลับอายเป็เสียแล้ว
เธอเอ่ยต่อว่า “น้องไม่อยากให้หนูพูด หนูก็คงพูดไม่ได้ พวกเราไปกินข้าวกันดีกว่าค่ะ”
สองสามีภรรยาหันไปมองหลานชายที่ยังคงมีสีหน้าเขินอาย ก่อนจะเก็บความสงสัยกลับลงท้อง
เซี่ยเฉินเฟิงช่วยจัดโต๊ะ พอคุณยายเห็นหลานชายเดินไปหยิบจาน ชาม และตะเกียบ จึงหันไปกระซิบถามหลานสาวเสียงเบาว่า “โม่โม่ ตอนขึ้นเขาเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ยายฟังสิ”
เซี่ยโม่ตอบด้วยเสียงไม่ดังนัก “น้องอยากช่วยหนู แต่ว่าลื่นล้มค่ะ”
เป็เวลาเดียวกันกับที่เซี่ยเฉินเฟิงเดินกลับมาพอดี เมื่อได้ยินว่าพี่สาวเล่าเื่ตัวเองลื่นล้มให้คุณยายฟัง ใบหน้าพลันขึ้นสีแดงก่ำ รู้สึกอับอายจนอยากจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้น
ดวงตาเด็กชายแดงเรื่อ มองพี่สาวด้วยความน้อยใจ “พี่ ผมไม่ให้พี่เล่าไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ยังเล่าอีก”
“เฉินเฟิง ยายเป็ห่วงหลาน ไม่ได้อยากจะหัวเราะเยาะซะหน่อย หลานของยายเป็เด็กที่กล้าหาญที่สุด” ใบหน้าคุณยายระบายรอยยิ้มเอ็นดู
เซี่ยโม่เสริมต่อทันทีว่า “เฉินเฟิง ตอนพี่เห็นเราล้ม พี่ปวดใจที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกภูมิใจในตัวเรา พี่เชื่อว่าถ้าเราโตเมื่อไร เราต้องปกป้องพี่ได้แน่”
“จริงเหรอครับ” เด็กชายมองพี่สาวและคุณยายอย่างไม่มั่นใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว พี่มีน้องชายที่รู้ความแบบนี้ พี่รู้สึกภูมิใจมาก เพียงแต่ที่เราทำตอนลงเขามันอันตราย ต่อไปห้ามทำอีกนะ”
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังเด็ดเดี่ยว ท่ามกลางการให้กำลังใจจากทุกคน ในที่สุดใบหน้าของเด็กชายก็มีรอยยิ้ม
อาหารเช้าวันนี้คือโจ๊กกับเมี่ยนปิ่งใส่ไข่ คงเป็เพราะตอนเช้าเดินขึ้นเขาไปกับพี่สาว เด็กชายเลยกินเมี่ยนปิ่งไข่เข้าไปถึงสองแผ่น และโจ๊กอีกชามใหญ่
อู๋กวงเต๋อเสนอออกมาเมื่อเห็นหลานชายรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย “โม่โม่ ต่อไปทุกเช้าหลานพาน้องขึ้นเขาไปด้วยสิ จะได้ให้น้องออกกำลังกาย ต่อไปจะได้ไม่ยอมไม่กินมื้อเช้าอีก”
“ได้ค่ะ แต่ว่าอีกเดี๋ยวหนูจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร หนูคงพาน้องไปด้วยไม่ได้”
เซี่ยเฉินเฟิงที่เดิมทียิ้มแย้มอย่างดีอกดีใจ ตอนนี้ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็หมองเศร้า พูดอย่างน้อยใจว่า “ทำไมล่ะครับพี่”
“เฉินเฟิง วันนี้คุณปู่จ้าวจะมาที่บ้าน ถ้าไม่มีใครอยู่ คุณปู่จ้าวจะเศร้าเอาได้ ไว้พรุ่งนี้พี่ค่อยพาเราไปด้วยดีไหม” เซี่ยโม่อธิบาย
ที่แท้ก็แบบนี้เอง
ใบหน้าเด็กชายตัวน้อยกลับมามีรอยยิ้มดังเดิม ก่อนจะชูนิ้วก้อยขึ้น “งั้นเกี่ยวก้อยสัญญา พรุ่งนี้พี่ต้องพาผมไปด้วยนะ”
“ได้!”
“เกี่ยวก้อยสัญญา ร้อยปีไม่เปลี่ยนแปลง!” สองพี่น้องเกี่ยวก้อยสัญญากัน
หลังจากรับประทานข้าวเช้าเสร็จ คุณตาคุณยายต่างแยกย้ายออกจากบ้านไปทำงาน
เซี่ยโม่สะพายตะกร้าเตรียมจะออกจากบ้านขึ้นไปบนเขา แม้เธอรู้ว่าคุณปู่จ้าวจะมาวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะมาเวลาไหน จึงตัดสินใจขึ้นเขาไปเดินดูอะไรสักหน่อย เผื่อจะได้ของติดไม้ติดมือกลับมา ที่บ้านเลยเหลือแค่เซี่ยเฉินเฟิงคนเดียว
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หมู่นี้ถึงเจอพวกสมุนไพรน้อยลง ผักป่าผลไม้ป่าก็ไม่ค่อยเห็น เธอเลยเดินขึ้นเขาไปลึกกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
พอเห็นว่าแถวนี้มีสมุนไพรเต็มไปหมด จึงก้มลงเก็บพวกมันใส่ตะกร้า
เวลานี้เองถึงค่อยพบว่ารอบด้านเงียบสนิทผิดวิสัย ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง เสียงผึ้งบินก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
เซี่ยโม่เงยหน้าแล้วมองไปรอบบริเวณ เธอเดินขึ้นเขามาจนใกล้จะถึงป่าลึกอยู่แล้ว
เธอวางแผนในใจ หากเก็บสมุนไพรตรงหน้าเสร็จเมื่อไรจะรีบออกจากตรงนี้ทันที
หลังจากเก็บสมุนไพรจนเกือบเต็มตะกร้าก็เตรียมจะเดินกลับ ทันใดนั้นเองคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ
ฟังดูคุ้นเหลือเกิน นี่คือเสียงหมูไม่ใช่หรือ?
สถานที่แบบนี้ไม่มีทางใช่หมูที่เลี้ยงตามบ้านแน่นอน จะมีก็แต่หมูป่า
เธอขึ้นเขาบ่อยครั้ง เคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ในป่าไม่เพียงมีเสือหรือหมี หากยังมีหมูป่าด้วย
คนล้วนพูดกันอีกว่า อันดับหนึ่งหมู อันดับสองหมี อันดับสามเสือ หมายความว่าในป่าสัตว์ที่อันตรายที่สุดก็คือหมูป่า!
นึกไม่ถึงเลยว่า วันนี้เธอจะโชคร้ายเจอหมูป่าเข้า เธอจะทำอย่างไรดี?
เซี่ยโม่เอาตะกร้าใส่ในโกดังสินค้า ขณะกำลังจะค่อยๆ ย่องออกจากตรงนี้ ทันใดนั้นเธอรู้สึกได้ถึงลมกรรโชกทางด้านหลัง พาให้ขนลุกขึ้นมาในฉับพลัน
ท่ามกลางความเป็ความตาย เธอไม่มีเวลาหันไปมองว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังคืออะไร รีบนึกภาพตัวเองเข้าไปอยู่ในโกดังสินค้า พริบตาต่อมาเธอก็มาอยู่ในโกดังสินค้าเรียบร้อยแล้ว
เซี่ยโม่มองเท้าที่เหยียบอยู่บนพื้นปูนของโกดังสินค้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทว่าเวลาต่อมากลับได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดดังขึ้นด้านหลัง
เมื่อหันกลับไปมอง ใบหน้าเธอเปลี่ยนเป็ตื่นตะลึง ตรงหน้าคือหมูป่าหนักประมาณสองร้อยกว่ากิโลกรัม ว่าแต่มันตามเข้ามาในโกดังสินค้าได้อย่างไร?
เธอใจนทำอะไรไม่ถูก
ที่ทำให้งุนงงยิ่งกว่านั้นคือ หมูป่าที่ตามเธอเข้ามาในโกดังสินค้า มันยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาสำรวจสอดส่ายไปทั่ว
เธอสงบสติอารมณ์ หยิบกระบองไฟฟ้าจากด้านข้างขึ้นมา แล้วเดินตรงไปที่หมูป่า
พอหมูป่าได้ยินเสียงไฟฟ้าสถิตของกระบองไฟฟ้าก็พยายามมองหาที่หลบ
่เวลาสำคัญนี้เองเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ โกดังสินค้าแห่งนี้เป็ของเธอ ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนบ้านของเธอ
ด้วยความคิดเช่นนี้ เธอจึงมีความกล้าพอที่จะพูดสั่งเ้าหมูป่าตรงหน้า กระนั้นน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังสั่นเครือ ฟังดูกล้าๆ กลัวๆ “ห้ามขยับ!”
หมูป่าที่ตอนแรกพยายามหาที่หลบ ตอนนี้กลับนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
เซี่ยโม่ยิ้มอย่างถือดี เหมือนที่ในนิยายบรรยายไว้จริงๆ อยู่ในนี้เธอเป็เ้านายของทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด หากเข้ามาอยู่ในโกดังสินค้าก็จะกลายเป็แค่มดแมลงที่ไร้ความสามารถ
เธอจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้นี่แหละ
จังหวะเดียวกันนั้น เธอยื่นกระบองไฟฟ้าไปแตะตัวมัน หมูป่าตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว
เธอชักมือกลับ ก่อนจะยื่นกระบองไฟฟ้าไปแตะตัวมันอีกครั้ง ดวงตาอีกข้างของหมูป่าเบิกโต ส่งเสียงร้องอย่างเ็ป
กระบองไฟฟ้าฟาดลงที่หัวมัน มันสลบไปเพราะกระแสไฟฟ้าและแรงกระแทก
โบราณกล่าวไว้ว่า ฉวยโอกาสตอนอ่อนแอเอาชีวิตคุณ
พอเห็นว่ามันสลบไปแล้ว เธอหามีดปลายแหลม ก่อนจะปักลงไปตรงหัวใจของมันจนสุดแรง
มีดปักทะลุหนังหนาๆ ไปถึงหัวใจของหมูป่า เืไหลนองออกมาเปื้อนตัวเธอไปหมด
เสื้อผ้าเก่าๆ ที่เธอสวมใส่อยู่ตอนนี้เปื้อนรอยเืเป็วงกว้าง
เซี่ยโม่อยากจะร้องไห้ ทำไมเธอถึงได้โชคร้ายแบบนี้นะ แต่พอได้สติกลับมา เธอก็ถึงนึกอะไรออก รีบไปหากะละมังมารองเืหมูทันที
จัดการโรยเกลือลงไป ก่อนจะใช้มือขยำ
ต่อมาไม่นาน เืหมูก็เริ่มจับกันเป็ก้อน เมื่อชาติที่แล้วหลังจากที่เธอทำงานอย่างหนักจนมีฐานะดีขึ้น ก่อนปีใหม่เธอจะไปซื้อหัวหมูทุกปี วิธีนี้พ่อค้าขายหมูเป็คนบอกกับเธอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้