"วันที่สิบเจ็ดเดือนสิบสองปีที่สามสิบรัชสมัยหงอู่ ไม่เหมาะสำหรับคนที่เกิดปีฉลู วันนี้เป็วันที่มีแสงแดดจ้ามากที่สุดของเดือน แสงแดดสาดส่องลงมากระทบพื้นธรณีจนกลายเป็แสงสีทอง ทำให้ผู้คนััได้ถึงความอบอุ่น พื้นที่ตรงนี้อย่างแรกคือติดกับูเาและแม่น้ำธรรมชาติ บรรยากาศเงียบสงบและสวยงาม อย่างที่สองมีเสียงน้ำไหลและกอไผ่ที่งดงามซึ่งทำให้สดชื่นไม่น้อย สายน้ำที่ใสพอๆ กับกระจกและหญ้าสีเขียวขจีดูราวกับเพิ่งถูกชะล้าง นกบนฝั่งกำลังจิกกินอาหาร ทั้งหมดนี้ถูกล้อมรอบด้วยเนินเขาสีเขียวชอุ่ม ภาพทิวทัศน์ที่เงียบสงบนี้ช่างเหมือนกับบทกวีรักแรกพบ ที่ชื่อว่าเงยหน้าขึ้นมองทะเลสาบ ก้มหน้าคิดถึงเมิ่งเซวียน ช่างเป็บทกวีที่ดีอะไรอย่างนี้ จดบันทึกที่ด้านหลังูเาสำนักศึกษาเฉิงซวี่… ชื่อ ‘บันทึกการข้ามเวลาสู่ราชวงศ์ิของชิงเอ๋อร์’ เป็อย่างไร ภาษาของข้าดีมากใช่หรือไม่ ดีกว่าสายน้ำคดเคี้ยวที่เขียนใน ‘บทกวีหลานถิงซวี่’หรือไม่? ตายแล้ว! ข้าใช้คำว่า ‘ไปไกลได้กว่านี้’ ตายแล้ว! ข้ากำลังจะกลายเป็นักแต่งบทกวีที่มีผลงานแล้ว”
ทะเลสาบสองฝั่งสูงเท่ากัน สาวน้อยนั่งอยู่ริมทะเลสาบ นางตีน้ำด้วยใบหญ้าเพื่อให้น้ำเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อยอย่างสบายใจ นางสวมกระโปรงที่ปักลวดลายหางหงส์สีเทา กระโปรงเอวสูงรัดรูปเผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งของเอวงาม ผมสีดำขลับถูกหวีเป็ทรงหลิวเซี่ยน ปอยผมสองข้างปล่อยระจากหลังหูลงมาจนถึงหน้าอก สวมเครื่องประดับผมรูปผีเสื้อสีชมพูอ่อน ปิ่นปักผมสองด้านเป็รูปดอกไม้ฉาฮวาสีมรกต
ดวงตาของนางปิดลง บนขนตาที่งอนยาวและหนาแน่นมีหยดน้ำแวววาว ไม่รู้ว่าเป็น้ำตาหรือน้ำค้างจากทะเลสาบ กลีบดอกไม้สีชมพูเล็กๆ ลอยกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า เหนือมวยผมของนาง และร่วงลงสู่กระโปรงหลัวจวิน ไม่นานทั่วร่างของนางก็เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ ทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ หญิงสาวที่งามดั่งสายน้ำเช่นนี้ ช่างเป็ความสวยงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ใดเปรียบ
ทันใดนั้นสาวงามก็ลืมตาขึ้น ภายใต้แววตาที่มืดมนนั้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความว่างเปล่าและโดดเดี่ยว สาวน้อยเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ชิงเอ๋อร์ อย่าโปรยดอกไม้ เดี๋ยวอาจารย์จะว่าเอาได้”
หญิงสาวในชุดสีฟ้าที่กำลังโปรยกลีบดอกไม้หัวเราะและถามนางว่า “เช่นนั้นเ้าก็รีบพูดเร็วๆ สิ ‘บทกวีริมทะเลสาบเฉิงซวี่’ ที่ข้าเขียนเมื่อครู่เป็อย่างไรบ้าง?”
“ก็ธรรมดา ฟังดูเป็ภาษาสามัญทั่วไป แม้แต่หลานสือจูของข้าก็เขียนประโยคแบบนี้ออกมาได้ แต่มันมีบางคำที่ขัดแย้งกัน... พวกเราตกลงกันว่าจะไม่เอ่ยถึงเมิ่งเซวียนไม่ใช่หรือ?” สาวน้อยลุกขึ้นยืนแล้วปัดกลีบดอกไม้ออกพลางเอ่ยถาม "คำว่า ‘ธรรมชาติ’และ ‘สดชื่น’ นั้นหมายถึงอะไร?"
“ธรรมดางั้นหรือ? เสี่ยวอี้ สายตาของเ้าช่างไม่รู้จักชื่นชมอันใดเอาเสียเลย ถ้าข้าส่งบทความนี้ให้ครูชั้นประถมพิจารณา ข้าต้องได้แปดสิบห้าคะแนนอย่างแน่นอน ข้าสุดยอดจริงๆ” หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวมีกระดุมข้าง อายุประมาณสิบเก้าปี เครื่องหน้านั้นงดงาม ดวงตาดำขลับราวกับนกที่เพิ่งถูกปล่อยออกจากกรงเพื่อไปเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามในูเาและแม่น้ำ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะขาวราวกับหิมะ แต่ก็ไม่ได้งามในแบบมาตรฐานของสตรีเพราะรูปร่างของนางดูอวบอิ่มเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
"ครูโรงเรียนประถม? นั่นก็เป็สิ่งที่บ้านของเ้ามีก่อนที่เ้าจะ ‘เดินทางข้ามเวลา’ มางั้นหรือ?" สาวน้อยอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี มีใบหน้ารูปไข่ แม้ว่าผิวของนางจะเป็สีเหลืองอ่อน แต่คิ้วก็เรียวยาวและบาง ดวงตาเป็สีดำ จมูกเล็กกระจิริดน่ารัก ปากเล็กเหมือนผลอิงเถา[1] นางมีนิสัยเงียบขรึมซึ่งแตกต่างจากหญิงสาวในชุดสีฟ้าโดยสิ้นเชิง ผู้คนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนางเพราะดวงตาที่สดใสและท่าทางสง่างาม ความงามนี้ก็เป็ความงามวัยแรกแย้มของสาวน้อยวัยสิบสามสิบสี่ปี
เลี่ยวชิงเอ๋อร์สตรีข้ามเวลาพยักหน้าเอ่ยตอบว่า “ใช่ ครูโรงเรียนประถมเป็ ‘สิ่ง’ ที่บ้านของข้ามี เฮ้อ เป็เพราะครูสอนประวัติศาสตร์ในราชวงศ์ิของข้าไม่ได้เื่ ให้พวกข้าไปศึกษาตำราเอาเอง ทำให้ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ราชวงศ์ิ และไม่สามารถแต่งงานกับตระกูลที่ร่ำรวยได้ จะว่าไปหลังจากที่จูหยวนจางตายแล้วผู้ใดขึ้นเป็ฮ่องเต้รึ?”
เหอตังกุยสตรีเกิดใหม่ได้ยินดังนั้นก็ใและมองไปรอบๆ นางเพิ่งเห็นว่าอาจารย์และเหล่าบัณฑิตกำลังดื่มเหล้าอยู่ใกล้กับลำธาร มีเพียงนกกระจอกที่ไม่เข้าใจภาษาเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่อยู่ใกล้พวกนาง นางเอ่ยตำหนิชิงเอ๋อร์ด้วยใบหน้าที่เ็า “ข้าเคยบอกเ้าหลายครั้งแล้วว่าเ้าไม่สามารถเรียกชื่อของฮ่องเต้โดยตรงได้ เ้าจะถูกปะาหากมีใครได้ยินเข้า ข้าเองก็ไม่สามารถบอกเ้าเื่นี้ได้ เพราะเ้าเป็คนพูดตรงไปตรงมา คราวหน้าเ้าอาจจะทำความลับรั่วไหลกับพี่ชายและพี่สะใภ้ของเ้าได้”
"ไม่ๆๆ" เลี่ยวชิงเอ๋อร์โบกมือแล้วกล่าวว่า “ข้าสาบานว่าข้าจะไม่คุยกับพวกเขาอีกต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะมาขอให้ข้าพูดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นพรุ่งนี้พวกเขาก็กลับเมืองหลวงแล้ว”
เหอตังกุยยืนกราน “ถึงอย่างนั้นข้าก็บอกเ้าไม่ได้ ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ก็ไม่มีผลต่อลูกสาวของครอบครัวขุนนางธรรมดาอย่างพวกเรา เราจะกินข้าวตามปกติและทำการค้าขายของพวกเราตามปกติ ก็แค่นั้น หัวข้อนี้ก็หยุดสนทนาเอาไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปห้ามเอ่ยขึ้นมาอีก หากเ้ายังพูดข้าจะจั๊กจี้เ้า”
“แต่เ้ามีคำต้องห้ามมากมาย ข้าไม่สามารถพูดถึงต้วนเสี่ยวโหลวได้ คุณลุงจูก็ไม่สามารถพูดถึงได้ ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของคุณลุงจูก็พูดถึงไม่ได้…” เลี่ยวชิงเอ๋อน์นับสี่นิ้วของนาง แต่ก็ถูกเหอตังกุยห้ามปรามแล้วเริ่มจั๊กจี้นาง เลี่ยวชิงเอ๋อร์ขอความเมตตาในขณะที่นางกำลังวิ่งหนี “น้องเสี่ยวอี้ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าจะไม่ทำแล้ว ข้าจะไม่พูดอีกแล้ว เ้าเป็คนมีวรยุทธ์ห้ามรังแกสาวน้อยอ่อนแอที่ไม่มีกำลังภายในอย่างข้า”
“จะไม่พูดอีกแล้วใช่หรือไม่? เ้าพูดถึงพวกเขาห้าครั้งต่อวัน ข้าบอกเ้าหลายครั้งแล้วว่าข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา เ้าจะให้ข้าพูดซ้ำๆ เช่นนี้อีกกี่รอบ?" เหอตังกุยจับคางของเลี่ยวชิงเอ๋อร์และดึงด้วยความโกรธ “เ้าจงใจใช่หรือไม่? พูดมา"
“อ๊ะ ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว พี่เสี่ยวโหลว พี่อยู่ไหน มาช่วยข้าหน่อย” เลี่ยวชิงเอ๋อร์จับคางสองข้างของตน แต่นางก็ถูกเหอตังกุยแอบฉวยโอกาสจั๊กจี้ที่ท้อง ทำให้นางกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
หญิงสาวทั้งสองกำลังเล่นกันอย่างมีความสุข ขณะที่ชายหนุ่มในชุดคลุมผ้าไหมสีฟ้าเดินเข้ามาที่ริมทะเลสาบที่เด็กสาวยืนอยู่ เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก เนื่องจากทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นเขา เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณหนูเหอ คุณหนูเลี่ยว ข้ามีนามว่าซ่งเฉียว ยินดีที่ได้พบพวกเ้า" เขาถือพัดพับอยู่ในมือและโค้งคำนับเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้างามราวหยกของเหอตังกุยตาไม่กะพริบ
หญิงสาวทั้งสองคนหยุดชะงักทันที เลี่ยวชิงเอ๋อร์สามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจได้ และวิ่งออกห่างจากเหอตังกุยหลายก้าว พลางเอ่ยว่า “ที่แท้ก็คุณชายซ่งผู้มีความสามารถนี่เอง เมื่อครู่นี้ตอนที่แก้วเหล้าหยุดลงตรงหน้าเ้า เ้าท่องบทกวีออกมาได้ไพเราะยิ่ง แม้ว่าข้าจะฟังไม่เข้าใจสักนิด แต่น้องสาวของข้าก็พยักหน้าตลอดตอนฟังเ้าพูด”
ซ่งเฉียวได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจไม่น้อย เขาเอ่ยว่า “ที่แท้คุณหนูเหอก็ชอบ ‘บทกวีไม้ไผ่’ ของซ่งโม่เหมือนกันหรือ ความจริงแล้วข้าจะเขียนกลอนสิบหกประโยค แต่ข้าเขียนได้เพียงแปดประโยคส่วนหน้าเท่านั้น คุณหนูเหอช่วยข้าเติมในส่วนหลังที่ขาดหายไปได้หรือไม่?”
เหอตังกุยเอ่ยขอโทษด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอโทษเ้าค่ะ ข้าเขียนกลอนไม่เก่ง จึงไม่กล้าโอ้อวดต่อหน้าคุณชาย และไม่กล้ารับบทกวีที่ไพเราะของคุณชายมาทำให้เสียราคาหรอกเ้าค่ะ”
นี่เป็ครั้งแรกที่ซ่งเฉียวได้ยินเหอตังกุยพูดหลายคำ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะโค้งตัวให้นางแล้วเอ่ยเชื้อเชิญอย่างสุดกำลัง “ได้โปรดศิษย์พี่อย่าได้ปฏิเสธข้าเลย ให้คำแนะนำแก่ข้าเสียหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ครั้งที่แล้วอาจารย์ของสำนักศึกษาชายได้นำบทกวีดีๆ ของสำนักศึกษาหญิงมาให้พวกเราฟัง แม้ว่าของศิษย์พี่จะอยู่ท้ายที่สุด แต่บทกวีที่ชื่อ ‘แมวขโมยอาหาร’ การใช้คำนั้นเรียบง่ายบริสุทธิ์ แตกต่างจากหญิงสาวคนอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยคำพูดไพเราะ บทกวีของเ้าทำให้คนรู้สึกแปลกใหม่ และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในเวลาเพียงไม่นาน”
ซ่งเฉียวอายุมากกว่าเหอตังกุยสี่ห้าปี แต่เหอตังกุยเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาเฉิงซวี่เป็เวลาสามปี เป็เื่ธรรมดาที่เขาจะเรียกนางว่า ‘ศิษย์พี่’ เพราะเขาคือบัณฑิตใหม่ในเดือนสิบของปีนี้ แต่เมื่อได้ยินเขายกย่องบทกวีของนางที่บรรยายว่า ‘แมวตัวหนึ่งได้หัวปลามาหนึ่งหัว และแมวอีกตัวหนึ่งก็มีหางปลา ส่วนกลางจะหาได้ที่ไหน สุนัขที่อยู่ใกล้กำแพงด้านทิศตะวันตกเอ่ยถาม’ เหอตังกุยอับอายจนเหงื่อซึมนางเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าบทกวีของข้าจะเผยแพร่ไปถึงสำนักศึกษาเฉิงซวี่ได้ ช่างน่าอายนัก หลังจากผ่านการแนะนำสั่งสอนของท่านอาจารย์หลายคนมาสามปี ข้าก็สามารถส่งบทกวีเช่นนี้ได้เท่านั้น มันไม่มีค่าพอให้ทุกท่านได้อ่านเลยจริงๆ คุณชายลืมมันไปเถิดเ้าค่ะ”
เหอตังกุยคิดว่าบทกวีที่นางแต่งขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจนั้นจะต้องถูกอาจารย์เจิ้งและอาจารย์คนอื่นๆ ทิ้งไปอย่างแน่นอน แต่นางคิดไม่ถึงว่าบัณฑิตหญิงในสำนักศึกษาหญิงจะเกียจคร้านกว่าเมื่อก่อน นอกจากหญิงสาวที่มีความสามารถเพียงไม่กี่คนที่้าแสดงความสามารถเช่น กวนจันและอู่ยวี่อิ๋ง แล้ว ยังมีบัณฑิตหญิงไม่เกินสิบคนจากเกือบหนึ่งร้อยคนที่ส่งการบ้าน ด้วยความเดือดดาลของอาจารย์เจิ้ง นางจึงใช้การบ้านของเหอตังกุยมาทำเป็อาวุธสำคัญในการ ‘สร้างแรงบันดาลใจ’ นำออกไปให้คนอื่นได้ชม... ดูสิ คุณหนูเหอที่แม้ว่าจะเขียนบทกวีไม่ได้แต่นางก็ยังส่งมอบงานของนาง พวกเ้าได้รับการศึกษาที่ดี และสามารถเขียนบทกวีได้แต่กลับเกียจคร้านจะจับพู่กันขึ้นมาเขียน ในใจของพวกเ้าไม่รู้สึกละอายใจต่องานของเหอตังกุยเลยหรือ?
“ที่ไหนกันล่ะขอรับ” ซ่งเฉียวถือพัดพร้อมโค้งคำนับ และเดินเข้าไปใกล้เหอตังกุย กระซิบเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนที่คุณหนูเหอเข้าสำนักศึกษาเมื่อสามปีก่อน คุณหนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถือพู่กันเขียนอย่างไร แต่ตอนนี้เ้าสามารถเขียนตัวอักษรตัวบรรจงที่สวยงามได้ เห็นได้ชัดว่าพร์ของเ้านั้นยอดเยี่ยมมาก และถ้าเ้า้าเรียนรู้วิธีการเขียนบทกวีให้มากกว่านี้ ข้าก็ยินดีที่จะสอนเ้าโดยเริ่มจากการเขียนขั้นพื้นฐานที่สุด"
มือซ้ายของเหอตังกุยเจ็บเพราะช่วยคนหัวแตกเมื่อครึ่งปีก่อน ดังนั้นนางจึงใช้มือขวาเขียนได้เท่านั้น แม้ว่านางจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเขียนอักษรให้แย่ที่สุด แต่นางก็ยังคงเป็นักเขียนอักษรที่ดีที่สุดในสำนักศึกษาหญิง อาจารย์เจิ้งยังขอให้นางคัดลอกบทความและติดไว้บนผนังของทุกห้องเรียนของสำนักศึกษาหญิงเพื่อให้ทุกคนได้เห็นได้ชื่นชม
เหอตังกุยเอ่ยปฏิเสธ “ขอบคุณคุณชายซ่งมากเ้าค่ะ ข้ารู้อักษรเพียงสองตัวก็นับว่ารู้มากพอแล้ว จะให้เรียนมากกว่านี้ก็คงจะไร้ประโยชน์ แต่ถ้าคุณชายซ่งเข้าร่วมการสอบขุนนางที่จะจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้านี้ เวลาอ่านหนังสือของเ้าก็มีค่ามาก ข้าไม่อยากทำให้เ้าเสียเวลาเปล่าๆ”
เมื่อเลี่ยวชิงเอ๋อร์เอ่ยตอบอย่างไม่รีบร้อน ก็เห็นว่าซ่งเฉียวเดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว เขาเกือบจะยืนอยู่ข้างเหอตังกุยเต็มที ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดึงเหอตังกุยออกมาพลางเอ่ยว่า “งานฉวี่สุ่ยหลิวฉางยังไม่จบ ไปกันเถอะ พวกเราไปเล่นกันสักครู่ แก้วชาหยุดตรงหน้าพวกเราสองคน ข้าจะรับผิดชอบดื่มมันและเขียนบทกวีเอง การผสมผสานที่แข็งแกร่งของพวกเราจะทำให้คนทั้งงานนี้ตกตะลึงกันอย่างแน่นอน”
ขณะที่เลี่ยวชิงเอ๋อร์พูดนางก็ดึงเหอตังกุยออกไปและเดินตรงไปยังส่วนที่มีคนมากที่สุดของลำธาร และซ่งเฉียวก็ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอยู่ตรงนั้น เขาตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็หยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อและรีบเดินตามพลางเอ่ยว่า “แม่นางทั้งสองไม่ต้องกลัวข้า ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงอยากเป็สหายกับคุณหนูเหอเท่านั้น คุณหนูเหอ นี่คือจดหมายของข้า เนื้อหาด้านในนั้นมี…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงัก เพราะกวนจันและอู่ยวี่อิ๋งกำลังเดินมาทางนี้ ซ่งเฉียวจึงเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “หวังว่าคุณหนูเหอจะอ่านจดหมายฉบับนี้อย่างละเอียด” เขายื่นจดหมายให้เหอตังกุยด้วยสองมือ และโค้งคำนับเล็กน้อย
เหอตังกุยยังคงปฏิเสธและเอ่ยเนิบๆ ว่า “ข้าไม่รู้ตัวอักษรมากนัก คุณชายมีเื่อันใดก็พูดออกมาตอนนี้เถอะเ้าค่ะ ข้าจะตั้งใจฟัง” เลี่ยวชิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำว่า ‘จดหมาย’ สองตาของนางก็ลุกวาวทันที ก่อนจะเข้าไปคว้าจดหมายและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็ไร ข้ารู้ ข้าจะช่วยเ้าอ่านเอง” ไม่รอให้ซ่งเฉียวพูดอะไร กวนจันและอู่ยวี่อิ๋งก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว ถนนทั้งสองด้านนั้นกว้างขวาง แต่คนทั้งสองนี้เห็นได้ชัดว่าเดินตรงมาทางพวกเขา
เหอตังกุยและเลี่ยวชิงเอ๋อร์มองหน้ากันและกัน จากนั้นก็มองไปที่พวกนาง และเอ่ยขึ้นในใจพร้อมกัน ‘เ้าคนน่ารังเกียจมาอีกแล้ว’
ั้แ่กวนอวิ๋นออกจากสำนักศึกษาไปยังเมืองหลวงเพื่อเรียนรู้ศิลปะการชงชาเมื่อปีที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกวนจันและอู่ยวี่อิ๋งก็ดีขึ้นมาก พวกนางตัวติดกันเหมือนกับน้ำตาลข้น เหอตังกุยและเลี่ยวชิงเอ๋อร์ซึ่งเป็เหมือนเพื่อนเก่าั้แ่เริ่มเรียนที่สำนักศึกษาก็เป็เหมือนน้ำตาลข้นเหนียวอีกคู่หนึ่ง แม้ว่าเลี่ยวจือหย่วนจะยังอาศัยอยู่ในตระกูลกวน แต่มีเพียงกวนอวิ๋น กวนป๋ายและกวนโม่เท่านั้นที่เป็ลูกพี่ลูกน้องกับนางจริงๆ แต่กวนจันเป็ลูกสาวของอนุที่เลี่ยวชิงเอ๋อร์ใช้คำว่า ‘เด็กสตรีผู้มีสองหน้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็ลูกอนุที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม’ ส่วนอู่อิ๋งก็มักจะดูถูกชาติกำเนิดของเหอตังกุย เนื่องจากเลี่ยวชิงเอ๋อร์กับเหอตักุยเห็นมาแต่ไกลว่ากวนจันกับอู่อิ๋งน้ำตาลคู่นี้กำลังเดินมาทางพวกนาง หากทั้งสองคนนั้นเดินตรงมาที่พวกนางโดยเฉพาะ ก็หมายความว่าพวกนางคิดจะมาหาเื่
“คุณชายซ่ง เ้าส่งจดหมายให้ใครไม่ว่า แต่ส่งจดหมายให้นางนี่หรือ” อู่อิ๋งเอ่ยเสียงสูงด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เ้าเป็บัณฑิตใหม่ที่เพิ่งเข้ามายังสำนักศึกษาเฉิงซวี่ เ้ายังไม่รู้อะไร พวกข้าอยู่ที่นี่ เหล่าคุณชายก็มักจะส่งจดหมายให้บุตรสาวอาจารย์ในเรือน บุตรสาวคนขายข้าว แต่ไม่มีใครส่งจดหมายให้นาง ข้าขอเตือนเ้าก่อนว่าเอาจดหมายนั้นกลับไป แล้วก็ไปสืบข่าวมาให้ดี จากนั้นก็ค่อยตัดสินใจว่าจะฉีกหรือเผาจดหมายนั้นทิ้งไปซะ”
ซ่งเฉียวตะลึงงันไปครู่หหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่เหอตังกุย และพบว่านางกำลังมองมาที่ตน ดังนั้นเขาจึงรีบโบกมือกล่าวว่า “ข้าได้ยินหมดแล้ว เื่ที่แม่ของเ้าแต่งงานใหม่และเ้าก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ที่จวนตระกูลฝั่งแม่ เมื่อเ้าอ่านจดหมายแล้วจะเข้าใจเอง ข้าเขียนเอาไว้ชัดเจนในจดหมายฉบับนั้น”
เหอตังกุยเหลือบมองไปที่จดหมายในมือของเลี่ยวชิงเอ๋อร์ ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าขอแนะนำว่าให้คุณชายนำจดหมายกลับไปเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้คิดจะมีคนรัก”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์คิดในใจว่า ‘คนสมัยโบราณมีวิธีนี้เท่านั้นหรือในการสารภาพรัก ทั้งที่หญิงงามยืนตัวเป็ๆ อยู่ต่อหน้า แต่เขากลับเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพียงย้ำให้นางอ่านจดหมาย อยากจะรู้จริงๆ ว่าด้านในนี้เขียนอะไรบ้าง…’ เมื่อนางคิดได้เช่นนี้ ภายใต้การส่งสัญญาณของเหอตังกุยนางจึงส่งจดหมายคืนให้ซ่งเฉียวอย่างไม่เต็มใจ แต่ซ่งเฉียวกลับยืนกรานไม่รับไป ชั่วขณะนั้นบรรยากาศก็น่าอึดอัดเสียเหลือเกิน กวนจันและอู่อิ๋งมองดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเ็า และในสายตานั้นก็แฝงความเกลียดชังเหลือประมาณ เมื่อสองปีก่อนต้วนเสี่ยวโหลวล้มเหลวในการชักชวนป๋ายหยางป่ายให้มาเป็ขุนนางในราชสำนัก ในเวลาเดียวกันก็มีคดีใหญ่เกิดขึ้นที่เมืองหลวง ดังนั้นต้วนเสี่ยวโหลวจึงจำเป็ต้องกลับไปทำหน้าที่ทันที และเขาก็พาหลิงเมี่ยวอี้ที่หนีออกจากบ้านเป็เวลานานกลับไปกับเขาด้วย เมื่อหลิงเมี่ยวอี้มาถึงหน่วยจิ่นอีเว่ยที่เมืองหยินหม่า หมู่บ้านเขาป๋ายซา นางก็ไม่ยอมก้าวไปด้านหน้า ต้วนเสี่ยวโหลวจึงทำได้เพียงมอบนางให้เลี่ยวจือหย่วนที่เป็ผู้ดูแลอยู่หมู่บ้านดูแลนาง
จากนั้นหลิงเมี่ยวอี้ก็ได้ยินชาติกำเนิดของเหอตังกุยมาจากเลี่ยวจือหย่วนว่า เหอตังกุยถูกบิดาของนางทอดทิ้งหรือก็คือเหอจิ้งเซียนลุงของนาง และได้รู้ว่ามารดาของเหอตังกุยมีชื่อเสียงไม่ค่อยจะดีนัก ต่อมานางก็แต่งงานใหม่กับชายอีกคน แต่หลังจากนั้นข่าวเหล่านี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหยางโจว และกระจายเข้าไปในสำนักศึกษาเฉิงซวี่อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้พยานหลักฐานอื่นๆ จากหลัวป๋ายฉยง ‘เื่เสื่อมเสียชาติกำเนิดของสตรีอันดับหนึ่ง’ นี้เป็ที่กล่าวขานนานถึงสองเดือนจึงได้หยุดลงทำให้เหอตังกุยกลายเป็คนที่ทุกคนต่างก็รู้จัก
ในปีแรกที่เหอตังกุยเข้าเรียนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ นางได้รับการเสนอชื่อในการคัดเลือก ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้ในตอนสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเหล่าคุณชายนั้นลงคะแนนเสียงอย่างไร เพราะนางหนีออกไปกับเลี่ยวชิงเอ๋อร์ก่อน เหอตังกุยจึงไม่รู้ว่านางได้ตำแหน่ง ‘สตรีอันดับหนึ่ง’ มาได้อย่างไร หลังจากนั้นจดหมายที่มาจากสำนักศึกษาชายก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะเรียน โต๊ะกู่ฉิน กระดานหมากรุกของนาง บางครั้งยังฝากจดหมายให้กุยป่านเจียวที่มารอรับนางหลังเลิกเรียนด้วย
ในปีที่สอง ชาติกำเนิดที่เสื่อมเสียของเหอตังกุยก็ถูกเปิดโปง และเผิงเจี้ยน ‘ผู้เชี่ยวชาญในการหาเสียง’ ผู้สนับสนุนที่ซื่อสัตย์ของนางก็กลับเมืองหลวงไปพร้อมกับพี่ชายทำให้เหอตังกุยไม่ได้รับเลือกเป็ ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ ในขณะที่นางกำลังรู้สึกโชคดีที่ไม่ต้องจัดการกับจดหมายรักที่โผล่ขึ้นมาบ่อยๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในปีที่สองนางจะยังได้รับจดหมายรักถึงสิบเอ็ดฉบับ จำนวนนี้มากกว่าหานซินซินที่ได้รับตำแหน่ง ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ ถึงห้าฉบับ
สองเดือนก่อนการคัดเลือก ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ ในปีที่สาม หานซินซินกลับบ้านเพื่อแต่งงาน อู่ยวี่อิ๋งจึงกลายเป็ ‘คุณหนูอันดับหนึ่ง’ ด้วยคะแนนเสียงที่สูงที่สุด แต่สองเดือนผ่านไปนางไม่เพียงไม่มีใครส่งจดหมายรักให้เท่านั้น แต่ยังเห็นบัณฑิตชายส่งจดหมายให้เหอตังกุยถึงสามคน ด้วยเหตุนี้อู่ยวี่อิ๋งที่มีความคับแค้นใจอยู่เต็มอกจึงตัดสินใจว่าจะทำให้เหอตังกุยตกที่นั่งลำบาก และจะแกล้งนางให้เ็ปต่อหน้าคนที่รักนางทุกคน แต่สิ่งที่อู่ยวี่อิ๋งไม่รู้ก็คือ สิ่งที่จะทำให้นางเ็ปนั้นไม่ได้อยู่ในคำว่า ‘ลูกนอกสมรส ลูกสาวที่ถูกทอดทิ้ง มารดาที่เสื่อมเสียเกียรติ’ คำเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เหอตังกุยสะทกสะท้านมาตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่นางไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือชื่อของเมิ่งเซวียนและต้วนเสี่ยวโหลว สองคำนี้ก็เป็คำที่นางตกลงกับเลี่ยวชิงเอ๋อร์ว่าจะไม่เอ่ยถึงมันอีก
“พวกเ้า!” อาจารย์เจิ้งวิ่งมาทางที่พวกนางยืนอยู่และชี้ พลางตำหนิว่า “เดิมทีคนที่มางานนี้ก็มีน้อยอยู่แล้ว พวกเ้ายังไม่ไปเข้าร่วมอีก พวกเ้าไม่เห็นที่เงียบๆ ตรงนั้นหรือ? รีบไปนั่งตรงนั้นเร็วๆ เข้า”
เพราะอีกครึ่งปีก็จะปีใหม่แล้ว อากาศจึงหนาวเย็นและชื้น ดังนั้นงานเลี้ยงฉวี่สุ่ยซางในครั้งนี้จึงน่าเบื่อเป็อย่างมาก การแสดงความสามารถของบัณฑิตหญิงก็ไม่มี เพราะเหล่าคุณหนูบ่นว่านิ้วของพวกนางแข็งจากความหนาวจึงไม่สามารถเล่นกู่ฉินได้ การต่อสู้ของบัณฑิตชายก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าดู เพราะในปีที่ผ่านมาเมิ่งเซวียนแม่ทัพน้อยได้แสดงทักษะเฉพาะตัวเจ๋อฮวาเฟยเย่มาแล้ว ดังนั้นใน่สองปีที่ผ่านมาศิลปะการต่อสู้ของผู้อื่นจึงไม่ใช่เื่แปลกใหม่สำหรับทุกคนแล้ว
เพราะคำสั่งของอาจารย์เจิ้ง พวกเขาทั้งห้าคนจึงเดินไปคนละทิศละทาง ซ่งเฉียวกำชับเหอตังกุยให้พิจารณาจดหมายของตนให้ดีอีกรอบ จากนั้นเขาก็กลับฝั่งบัณฑิตชายที่อยู่อีกฝั่ง ส่วนเหอตังกุยและเลี่ยวจือหย่วนก็ไม่คิดจะสนใจพวกนางทั้งสองคนอีก เลือกไปนั่งบนแท่นหินแห้งๆ ที่ข้างริมลำธาร และเริ่มดื่มสุราดอกเหมยหอมร้อนๆ ที่ทางสำนักศึกษามอบให้
ตลอดสามปีที่ผ่านมาป๋ายหยางป่าย เมิ่งเซวียน ต้วนเสี่ยวโหลว สองพี่น้องตระกูลเผิง ทุกคนที่กล่าวมาล้วนออกไปจากสำนักศึกษาแล้ว เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยทางฝั่งตรงข้ามของริมลำธาร เหอตังกุยก็เกิดเศร้าใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางยกสุราดอกเหมยขึ้นดื่มสามแก้วติดต่อกัน เพื่อบรรเทาความเหงาที่ไม่อาจบรรยายได้ ตอนนี้นางมีสหายหญิงที่ชื่อว่าชิงเอ๋อร์ และได้เปิดการค้าขายที่ชื่อว่าร้านฉวนจี้ถังและหอนางโลมอี้หงร่วมกัน ตอนนี้นางมีตั๋วเงินและโฉนดที่ดินจำนวนมากในมือ นางยังจะมีสิ่งใดให้เสียใจอีกเล่า ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว
เลี่ยวชิงเอ๋อร์คว้าแก้วในมือของนางและเอ่ยเตือนว่า “เ้าดื่มเหล้าเช่นนี้ไม่ได้ หากเ้าดื่มเหล้าตอนเสียใจมันจะทำร้ายร่างกายของเ้า แต่ถ้าเ้าดื่มเหล้าตอนมีความสุขเหล้านี้จะบำรุงร่างกายของเ้า พวกเรามาพนันว่า ‘รูปปั้นคนอยู่ที่มือไหน’ กันเถอะ หากใครแพ้ก็ดื่มเหล้า” เสียใจเพราะบุรุษไม่นับว่าคุ้มค่าอันใด คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอี้ที่ฉลาดมาโดยตลอดจะมี่เวลาหนึ่งที่โง่เขลาเหมือนกัน แม้ว่าตนจะถูกเกาเจวี๋ยปฏิเสธ แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอันใด นางตั้งหน้าตั้งตาหาเงินและทำกำไรให้ได้เป็กอบเป็กำ
ดังนั้นสาวน้อยที่มีความทุกข์ใจเป็ของตัวเองทั้งสองคนก็เริ่ม ‘ทายรูปปั้นคน’ กันอย่างเงียบๆ ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังเซ็งแซ่และดื่มสุราดอกเหมยที่ค่อยๆ เย็นลงอย่างช้าๆ เพื่อให้ผ่านพ้น่เวลาว่างๆ ใน่บ่ายของฤดูหนาวนี้
......
[1] ผลอิงเถา หมายถึง เชอร์รี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้