เฉียวเยว่รู้สึกว่า แม้ตนเองจะเป็แม่นางยันต์แปดทิศ [1] แต่เื่สื่อสารเข้าสังคมนางไม่เก่งเลยสักนิด มิเช่นนั้นหนึ่งวันคงไม่ยาวนานเหมือนหนึ่งปีเช่นนี้
แม้เฉียวเยว่จะอยู่ในจวนสกุลิ่เพียงหนึ่งวัน แต่พอกลับไปถึงบ้านก็รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าไปสำนักศึกษาสตรีเสียอีก อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั่วร่างต้องคลานขึ้นเตียง
"โอ้ ์ วันหลังอย่าให้ข้าออกไปอีกเลย" นางบ่นพึมพำ
อวิ๋นเอ๋อร์เห็นคุณหนูเจ็ดท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง ก็ป้องปากหัวเราะ เอ่ยถามเสียงเบา "คุณหนูไม่สบายหรือเ้าคะ?"
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างสุดกำลัง "ก็ใช่น่ะซี เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"
หากพี่จ้านไม่ชวนไป "ทดสอบอาหาร" เกรงว่าคงจะอัดอั้นตันใจกว่านี้
เฉียวเยว่พยายามเงยหน้า ทำท่าเหมือนจะตายให้ได้ "อวิ๋นเอ๋อร์ประคองข้าหน่อย ข้าจะอาบน้ำ"
อวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก "คุณหนูอย่าเล่นอีกเลย"
อันที่จริงเฉียวเยว่มิได้เหนื่อยขนาดนั้น นางเพียงเหนื่อยใจ ก็เลยแกล้งงอแงไปอย่างนั้นเอง
เฉียวเยว่ลุกขึ้นมานั่ง แล้วถามเสียงเบา "ท่านพ่อกับฉีอันกลับมาแล้วหรือยัง?"
พวกนางมิได้กลับมาพร้อมกับบิดาและน้องชาย อย่างไรเสียก็มีสิ่งพึงหลีกเลี่ยงระหว่างชายหญิง ปรกติเมื่อมีการจัดงานเลี้ยงส่วนตัว ก็มักจะมีการแยกระหว่างบุรุษกับสตรี คนที่ไม่คำนึงถึงอะไรเลยเช่นหรงจ้านมักมีน้อยมาก
"กลับมาแล้วเ้าค่ะ ไปเรือนหลักกันแล้ว"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ "ได้ยินว่าปีนี้จะมีการจัดงานเลี้ยงในครอบครัว"
เด็กๆ ในบ้านอายุเริ่มมากขึ้น ถึงเวลาต้องออกเรือนแล้ว
"ให้มาเชิญกี่รอบ ข้าก็ไม่อยากไปร่วมงาน" เฉียวเยว่บ่น
"ไม่อยากไปร่วมงานอันใด?"
ไท่ไท่สามเข้ามาในห้อง เห็นนางเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ก็ขมวดคิ้วตำหนิ "นี่เ้าทำอะไร นั่งให้มันดีๆ หน่อย เป็สตรีแท้ๆ นั่งไม่เป็นั่ง ยืนไม่เป็ยืน"
เฉียวเยว่ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างเชื่อฟัง ดวงหน้าน้อยยิ้มตาหยีอย่างประจบสอพลอ "ท่านแม่ ก็ข้าเหนื่อยนี่ ยามมีคนนอกอยู่ด้วย ข้ารับรองว่าจะทำตัวดีๆ"
หากพิศมองให้ดี เฉียวเยว่นับว่าเป็โฉมสะคราญโดยแท้ แม้อายุเพียงสิบสอง แต่ในความสง่างามแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนหนึ่งส่วน เป็สาวน้อยน่ารักสดใสที่ผู้ใหญ่นิยมชมชอบ ดูไร้เดียงสาปราศจากเล่ห์กล
ไท่ไท่สามย่อมรู้ หากไม่ใช่เพราะเช่นนี้ วันนี้คงไม่มีฮูหยินสองสามท่านเข้ามาหยั่งเชิงเื่หมั้นหมายของเฉียวเยว่
นางจับมือของบุตรสาว แล้วเอ่ยเสียงเบา "เ้านี่นะ ไม่ทำให้คนวางใจได้เลย มีคนนอกก็ทำตัวดี ไม่มีคนนอกก็ทำตัวตามอำเภอใจ นับวันก็ยิ่งไม่ถูกต้อง"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ พลางยิ้มพร่างพราย "ไม่ถูกตรงไหนหรือเ้าคะ"
ไท่ไท่สามพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางจิ้มหน้าผากเ้าตัวเล็กที่มีท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใด แล้วเอ่ยว่า "ไม่ถูกตรงไหน? ตรงไหนก็ไม่ถูกทั้งนั้นแหละ"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ยกมือน้อยๆ ขึ้นโบกไปมา "ข้าเป็เด็กดีนะเ้าคะ"
เื่แสร้งทำตัวน่ารัก บุตรสาวคนนี้คืออันดับหนึ่งในใต้หล้า
"เ้าอย่ามาเสแสร้งกับข้าหน่อยเลย วันหน้าห้ามเ้าอยู่ในบ้านอย่างหนึ่งนอกบ้านอย่างหนึ่ง หากทำเช่นนี้จนเคยตัว ยามอยู่ข้างนอกอาจติดนิสัยทำตามอำเภอใจได้ง่าย"
"เ้าไม่อยากไปทดสอบอาหารที่จวนอวี้อ๋องหรือ?" นางนึกก่อนขมวดคิ้วถามอย่างลังเล
เฉียวเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด "ข้าจะไม่อยากไปได้อย่างไร ท่านแม่ก็รู้ ข้าผู้นี้เป็คน..."
ยังไม่ทันพูดจบ ก็เกาศีรษะยิ้มเอ่ยว่า "ท่านแม่คงเข้าใจผิดไปกระมัง? เมื่อครู่ที่ข้าบอกว่าไม่อยากไปเข้าร่วม หมายถึงงานเลี้ยงเ่าั้ มิใช่ไปทดสอบอาหารของพี่จ้านเสียหน่อย"
นางเอ่ยเสียงเบา "ข้าชอบไปจวนของพี่จ้านที่สุด"
เห็นเฉียวเยว่เป็เช่นนี้ ไท่ไท่สามก็พยักหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างชื่นชม "หรงจ้านเด็กคนนี้ แท้จริงแล้วเป็คนดีมาก"
เฉียวเยว่พยักหน้ารับอื้อๆ
"ตอนไปนำของขวัญขอบคุณไปด้วย อย่าเสียมารยาท"
เฉียวเยว่พยักหน้าอีก พลางยิ้มอย่างน่ารัก
อันที่จริงซูซานหลางรู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก บุตรสาวไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว การให้บุตรสาวอยู่กับชายโสดอย่างหรงจ้านสองต่อสองยากจะเลี่ยงความไม่เหมาะสม แต่ไม่เหมาะก็ส่วนไม่เหมาะ เขาคิดเช่นนี้ แต่ภรรยากลับเห็นต่าง
เขาจึงต้องมองบุตรสาวไปจวนอวี้อ๋องอย่างช่วยไม่ได้ ภายในใจว้าวุ่นสับสนอย่างยิ่ง
เฉียวเยว่ไปทดสอบอาหารที่จวนอวี้อ๋อง เื่นี้มีคนรู้ไม่น้อย ทุกคนคิดว่าสตรีเฉลียวฉลาดอย่างไท่ไท่สามคงจะปฏิเสธอวี้อ๋อง แต่นางถึงกับไม่ปฏิเสธ เป็เื่ที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน
พวกเขารู้สึกไม่เข้าใจ การกระทำของไท่ไท่สามยังแสดงถึงท่าทีส่วนหนึ่งของจวนซู่เฉิงโหว จะว่าเป็เื่ใหญ่ก็ได้ หรือจะว่าเป็เื่เล็กก็ได้เหมือนกัน นี่เป็ความคิดของซูซานหลาง
ไท่ไท่สามย่อมตระหนักได้ถึงความเป็จริงข้อนี้ แต่นางมีวิจารณญาณของตนเอง สิ่งเหล่านี้ซูซานหลางย่อมรู้อยู่แก่ใจ เขายอมรับในจุดนี้ แต่ก็ยังร่ำร้องในใจนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ไม่ว่าจะเป็อย่างไร เฉียวเยว่ก็ไม่รู้เื่ราว นางสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเต็มไปด้วยความรู้สึกเฝ้ารอ
พ่อบ้านเห็นคุณหนูเจ็ดสกุลซูมาถึงก็ออกไปต้อนรับคนเข้ามาในจวน เฉียวเยว่อมยิ้มพลางเอ่ยถาม "ท่านอ๋องของพวกเ้าเริ่มเตรียมของแล้วหรือ?"
"ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ" พ่อบ้านตอบ
เฉียวเยว่ยิ้มพราย "เฝ้ารอเลย"
จะว่าไปก็นับว่าพ่อบ้านเห็นคุณหนูเจ็ดสกุลซูั้แ่เล็กจนเติบโตขึ้นมา "ท่านอ๋องของพวกเราวุ่นวายแต่เช้า ปีใหม่ของทุกปีท่านอ๋องจะคิดค้นอาหารเลิศรสใหม่ๆ อันที่จริง..." พ่อบ้านเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนกระซิบบอก "อันที่จริงไทเฮาทรงไม่อยากให้ท่านอ๋องเข้าครัวหรอกขอรับ"
เฉียวเยว่มองพ่อบ้านด้วยความประหลาดใจ แต่นางก็นึกได้ทันที นางเดาว่าพ่อบ้านเอ่ยประโยคนี้น่าจะมีความหมายซ่อนเร้น แต่นางกลับแสดงสีหน้าไร้เดียงสา "แต่ข้าคิดว่าเพียงพี่จ้านมีความสุขก็พอ เื่อื่นหาได้สำคัญถึงเพียงนั้น"
เฉียวเยว่ยิ้มพูดอย่างมีเหตุผล "ไม่ว่าอย่างไร ความสุขของพี่จ้านคือสิ่งสำคัญที่สุด อย่างอื่นไม่สำคัญสักนิด"
พ่อบ้านตกตะลึง หลังจากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า "คุณหนูเจ็ดพูดมีเหตุผลอย่างยิ่ง"
เฉียวเยว่พยักหน้า เดินผ่านระเบียงทางเชื่อมยาวเหยียดเข้ามา นางยื่นมือออกไปเล่นเสาที่กลายเป็น้ำแข็ง แล้วเอ่ยเสียงเบา "เสาน้ำแข็งเหล่านี้ควรกะเทาะออกจะดีกว่า มิเช่นนั้นจะไม่ปลอดภัย อย่าเห็นว่าเป็เพียงน้ำแข็ง แต่แท้จริงแล้วคมมาก"
เฉียวเยว่ดูเหมือนโผงผางหยาบกระด้าง แต่ที่จริงนางเป็คนละเอียดอ่อน พ่อบ้านอมยิ้มรับคำ เดิมทีเขาเองก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน เพราะในจวนไม่มีเด็ก มีแต่ความเงียบเหงา แต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครนึกถึงจุดนี้
"คุณหนูเจ็ดกล่าวถูกต้อง ดูข้าสิ สะเพร่าจริงๆ"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน "ตอนเล็กๆ ข้าค่อนข้างซุกซน ท่านพ่อท่านแม่จึงต้องระมัดระวังเป็พิเศษ ข้าก็เลยรู้น่ะ"
"คุณหนูถ่อนตนไปแล้วขอรับ"
ระหว่างสนทนากัน เฉียวเยว่ก็มาถึงห้องครัว นางเห็นหรงจ้านอยู่ข้างใน เขาสวมอาภรณ์สีคราม ่ไหล่กว้างเอวสอบแคบ เพียงมองจากแผ่นหลังก็รู้ว่าเป็ชายหนุ่มรูปงาม
เฉียวเยว่ยังไม่ขยับ หรงจ้านกลับเอ่ยปากก่อน "มาแล้วก็ไม่รู้จักทักทาย เ้านี่ไม่ไหวจริงๆ"
"ข้าเพียงไม่อยากรบกวนท่านเท่านั้นเอง" เฉียวเยว่หัวเราะ
นางไม่เหยียบเข้าไปในครัว เพียงแค่ยืนมองอยู่หน้าประตู นิสัยของหรงจ้านเป็อย่างไรนางรู้ดี เขารักความสะอาด ไม่ชอบให้ผู้อื่นล่วงล้ำ 'อาณาเขต' ของตนเอง
พ่อบ้านพาเฉียวเยว่มาส่ง แล้วก็กลับไปทันที เฉียวเยว่ยืนพิงประตูราวกับจอมเสเพลน้อย "คารวะพี่จ้าน"
หรงจ้านตอบอืมเสียงเบา
"ข้าเข้าไปได้หรือไม่?" เฉียวเยว่พูดต่อ
หรงจ้านหันกลับมา มองเฉียวเยว่อย่างพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้า เสื้อคลุมขนจิ้งจอกฟูฟ่องขับเสริมให้ดวงหน้าเล็กจ้อยยิ่งสวยสดงดงามอย่างน่าประหลาด หรงจ้านรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะตัวร้อนขึ้นมาเล็กน้อย เขากลืนน้ำลายอย่างที่แทบจะไม่สังเกตเห็น หลังจากนั้นเม้มปากเอ่ยว่า "เข้ามาเถอะ"
เฉียวเยว่ยิ้มออกมาทันที นางเข้ามาถึงก็มองสำรวจไปโดยรอบ "ข้าช่วยอะไรท่านได้บ้าง?"
หรงจ้านตอบเสียงเรียบ "เ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พอ อย่าให้ขนจิ้งจอกฟูฟ่องปลิวมาใส่อาหาร"
เฉียวเยว่หัวเราะ ชูมือกล่าวว่า "พี่จ้านวางใจได้ ไม่อยู่แล้ว"
นางยกมือประคองใบหน้า "ปีใหม่ปีนี้ พี่จ้านเข้าวังหรือไม่?"
หรงจ้านเงยหน้าขึ้น คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "มีปีไหนที่ข้าไม่เข้าวังบ้างเล่า? เ้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องวกไปวนมาเช่นนี้ ไม่จำเป็ต้องเล่นลูกไม้เหล่านี้กับข้า พูดในสิ่งที่เ้าคิดก็พอ ข้าหมดหัวข้อแล้ว พูดมาตามตรงเถอะ"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ แต่แอบงุนงงอยู่บ้าง "ข้าไม่ตรงไปตรงมาที่ไหน แค่อยากถาม หากไม่เข้าวัง ท่านมาเป็แขกจวนข้าได้หรือไม่?"
หรงจ้านชำเลืองมองนาง "ไปทำกับข้าวให้เ้าที่บ้านหรือ? หน้าของเ้าอยู่ไหน?"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่เป็มิตรเอาเสียเลย คอยจะฉีกหน้านางทั้งวัน เฉียวเยว่ขบริมฝีปากเอ่ยเสียงเบา "ท่านแย่ที่สุด ข้ามิได้คิดอันใดเลย แค่เห็นว่าท่านอยู่คนเดียวจะเหงาหรือไม่"
แท้จริงแล้วเฉียวเยว่มาจวนนี้เป็ครั้งที่สอง แต่นางก็รู้สึกไม่สบายอย่างยิ่งเหมือนครั้งแรกไม่มีผิด ที่นี่ให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเหมือนน้ำแข็ง
ไม่ทำให้นางรู้สึกสบายเหมือนกับจวนซู่เฉิงโหว แม้จะเป็ฤดูหนาว แต่ทุกหนแห่งล้วนให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ที่นี่ไม่มีเลยสักนิด พอเข้ามาถึงนางก็รู้สึกถึงไอเย็นที่พุ่งเข้ามาหาจากรอบด้าน
หนาวจะแย่
เฉียวเยว่เชิดหน้า "ข้าหวังดีหรอกนะ"
หรงจ้านหยุดความเคลื่อนไหวที่มือ หันไปมองเฉียวเยว่ เขาไม่ขยับเขยื้อน เพียงมองนางเฉยๆ
เฉียวเยว่มองพิจารณาเขาด้วยความข้องใจ "ข้ามีอะไรหรือ?"
นางออกจากจวนมาแต่เช้า มิได้ทาสีผึ้งบำรุงผิว เครื่องสำอางไม่น่าจะหลุด แล้วเพราะเหตุใดเล่า?
หรงจ้านเดินตรงเข้าไป เอื้อมมือเข้าไปจะลูบพวงแก้มของนาง แต่เมื่อเข้าไปใกล้ใบหน้าก็หยุดลงครู่หนึ่ง มองดวงตากลมโตวาววับดุจหยาดน้ำกับริมฝีปากแดงของนาง
ดวงหน้าเล็กจ้อยของเฉียวเยว่ถูกฝ่ามือของเขาล้อมกรอบย่อมจะยิ่งเล็กลงไปอีก
"หน้าข้ามีอะไรหรือ?"
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ ไม่รู้ว่าหรงจ้านจะทำอะไร แต่หลังจากนึกดูแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย "ท่านซาบซึ้งในตัวข้าใช่หรือไม่?"
หรงจ้านมองเฉียวเยว่อยู่อย่างนี้สักพัก ก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า "เฉียวเยว่ ตอนข้าพบเ้าครั้งแรก เ้าเพิ่งห้าขวบ บัดนี้เ้าอายุสิบสองแล้ว"
เฉียวเยว่พยักหน้า นางยื่นนิ้วมือไปจิ้มมือเขา "ดังนั้นท่านลูบข้าเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ?"
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้น ใบหน้าของเขาเพียงมีรอยยิ้มก็ทำให้คนไม่อาจละสายตา เฉียวเยว่ก็เช่นเดียวกัน
หรงจ้านก้มเอวลงมาเล็กน้อย เข้าไปใกล้เฉียวเยว่ แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า "ข้าหน้าตาดีหรือไม่?"
...
[1] แม่นางยันต์แปดทิศ หมายถึงสตรีที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเื่ของชาวบ้าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้