เห็นเพียงโจวฉี่เซียนส่ายศีรษะและเอ่ยปาก “ค่าเล่าเรียนข้าไม่้า แต่ทุกครั้งที่มีวันหยุด ข้าจะขอมากินข้าวบ้านเ้าได้หรือไม่? จำไว้ว่า ต้องมีเนื้อด้วย”
เสิ่นม่านแสร้งยิ้มใสซื่อ “ดูไม่ออกจริงๆ ว่าท่านจะเป็นักกิน?”
นักกินก็นักกินเถิด ถึงอย่างไรคนที่ยอมสยบในกำมือนางก็ไม่ได้มีแค่โจวฉี่เซียน
คำขอแค่นี้ ไม่นับว่าเป็คำขอด้วยซ้ำ! แม่ครัวชั้นเลิศเสียอย่าง ก็ต้องพึ่งอาหารเลิศรสในการครองโลกใบนี้ไม่ใช่หรือ?
เสิ่นม่านเตรียมน้ำชาด้วยความไวขั้นเทพ และให้เด็กน้อยทั้งหลายรีบยกน้ำชาคำนับอาจารย์ โจวฉี่เซียนอารมณ์ดี เขาล้วงหาของอยู่นาน ล้วงแล้วล้วงอีก ทำเอาเสิ่นม่านมองจนตื่นเต้นไปด้วย
กลัวเขาจะเหมือนเทพอภินิหารจี้กงที่ล้วงยาวิเศษออกมาจากอกเหลือเกิน
ดีที่โจวฉี่เซียนไม่ได้มีของวิเศษเช่นนั้น เขาเพียงแค่ล้วงเงินสี่อีแปะออกมา จากนั้นแบ่งให้พวกเขาทั้งสามคนละหนึ่งเหรียญ หลังแจกเรียบร้อย ยังยิ้มแย้มและลูบศีรษะของพวกเขา
“วันนี้ออกมาเร่งรีบไปหน่อย อาจารย์นิสัยเรียบง่าย ไม่ได้เตรียมของขวัญมา เหรียญอีแปะทนทานต่อกาลเวลาสามชิ้นนี้ ถือเป็ของรับขวัญจากอาจารย์ก็แล้วกัน”
เสี่ยวตง เสี่ยวหลาน และต้าเป่า “…”
เพิ่งเคยเจออาจารย์ที่เรียบง่ายถึงเพียงนี้
มุมปากของเสิ่นม่านกระตุก เรียบง่ายอะไรกัน แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพราะยากจน?
หลังคำนับอาจารย์เรียบร้อย โจวฉี่เซียนเตรียมกล่าวลา ก่อนไปยังขอห่อกุ้งผัดพริกหอมกับหมูน้ำแดงที่กินไม่หมดกลับไปด้วย
เสิ่นม่านเห็นว่าเขาชอบ จึงห่อปลาเค็มกับผลไม้แช่แข็งที่ทำเองยัดให้เขาอีกหนึ่งห่อใหญ่ โจวฉี่เซียนดวงตาเป็ประกายได้คืบจะเอาศอก ถือโอกาสขอสุรามันเทศที่สกุลเสิ่นหมักเองไปด้วย
เมื่อมีห่อเล็กห่อใหญ่เช่นนี้ จึงกลับไม่สะดวก ด้านนอกยังมีหิมะตกหนักและอากาศหนาวเหน็บ เสิ่นม่านกลัวว่าคนเมาจะไปหลับอยู่กลางทางจนหนาวตายอยู่ข้างนอก
หนิงโม่ให้เยี่ยนชีนำเกวียนส่งเขากลับไปลานศิลป์ โจวฉี่เซียนปากพูดว่า ‘เกรงใจเหลือเกิน’ ทว่าตัวเขารีบปีนขึ้นเกวียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากนั่งมั่นคงแล้ว ก็หันไปส่งยิ้มให้เสิ่นม่าน
“แม่ครัวน้อย วันนี้เ้าล้มละลายแล้วนะ”
ด้วยจรรยาบรรณในหน้าที่ เสิ่นม่านแสร้งยิ้มจอมปลอม “วันนี้กินไปตั้งมากมาย เรียกหญิงงามสักครั้งจะเป็ไรไป?”
เ้าหมอนั่นกลับผล็อยหลับไปในหนึ่งวินาทีและกรนเสียงดังราวฟ้าผ่า
เสิ่นม่าน: ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกำลังด่ามารดา
อากาศนับวันยิ่งหนาวเย็น เสิ่นม่านรับรู้ได้อย่างอ่อนไหวว่า หลังจากที่หนิงโม่กลับมาจากตำบลเหมยฮัวกับนางครั้งนั้น เขาดูเหมือนจะตั้งใจเลี่ยงการอยู่กับนางตามลำพัง
ขอเพียงนางไปขายเต้าฮวยหรือดูงานก่อสร้าง หนิงโม่ก็จะอ่านตำราอยู่บ้าน ดูคนงานโม่ถั่วเหลือง อย่างไรก็ตาม หากตัดเวลาเจอกันตอนกินข้าวแล้ว เวลาส่วนใหญ่มักจะอยู่บ้านตามลำพัง หรือไม่ก็ออกไปตั้งแผงเต้าฮวยกับเยี่ยนชีที่ตำบล
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ยินดีที่จะอยู่กับนางนั่นแหละ
บรรยากาศสุขสันต์ที่นางคอยขัดเกลาให้เขาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ ตอนนี้กลับคืนเป็ศูนย์ ราวกับย้อนกลับไปตอนที่เพิ่งรู้จักกับเขาอย่างไรอย่างนั้น เ็าสูงส่งดั่งเทพเซียนผู้ละซึ่งทางโลก
น่าแปลก แต่นางไม่มีเวลาคุยเื่นี้กับเขาตามลำพัง เนื่องจากถึงเทศกาลล่าปา [1] แล้ว
แคว้นฝูเหลียงมีธรรมเนียมเก่าแก่ วันเทศกาลล่าปา จะมีผู้ใหญ่บ้านเป็ผู้จัดงาน ผู้ใดที่มีเงินก็ควักเงิน มีเสบียงควักเสบียง มีแรงก็ออกแรง จากนั้นต้มโจ๊กหม้อใหญ่ในหมู่บ้านและจัดงานกินเลี้ยงกันทั้งหมู่บ้านอย่างอิ่มหนำสำราญ
เปรียบเหมือนทุกคนลำบากมาทั้งปีและรวมตัวกันทานอาหาร จากนั้นสรุปรวมผลเก็บเกี่ยวของปีนี้และวาดแผนสำหรับอนาคต
ขอเพียงเป็เทศกาลล่าปา ไม่ว่าจะเป็ขอทานหรือผู้ลี้ภัยล้วนมีโจ๊กให้กิน นับว่าเป็การเฉลิมฉลองกันทั่วหล้า
เมื่อเป็เช่นนี้ เสิ่นม่านจึงจ่ายค่าแรงให้คนงานล่วงหน้าหนึ่งวัน จากนั้นให้วันหยุด ทุกคนได้เงินค่าแรงต่างก็ยิ้มแย้มและแยกย้ายไปทำงาน
เทศกาลล่าปาจำต้องให้ทุกคนเข้าร่วม วันรุ่งขึ้น เสิ่นม่านให้ชุ่ยฮัวที่ยังต้องเลี้ยงลูกอยู่เฝ้าบ้าน ส่วนคนอื่นช่วยกันนำผักกับเสบียงธัญญาหารหลายสิบชั่งและหมูยี่สิบกว่าชั่งไปโถงบรรพชนพร้อมกับนาง
โรงครัวด้านหลังโถงบรรพชนมีการตั้งหม้อขนาดใหญ่จำนวนห้าถึงหกใบ ทั้งยังมีชาวบ้านมากันมากมาย มีไม่น้อยที่หอบกันมาทั้งครอบครัว ทั้งยังมีคนแปลกหน้าบ้าง สภาพผอมซูบตัวเหลือง ดูแล้วเหมือนเป็ผู้ลี้ภัย
ในหมู่บ้าน นอกจากครอบครัวร่ำรวยที่ควักเงินแล้ว มีเพียงเสิ่นม่านที่นำสิ่งของมาด้วยมากที่สุด
โดยเฉพาะ่ปีนี้ บ้านอื่นมักจะนำไข่ไก่กับมันเทศมา เสิ่นม่านกลับนำหมูมาด้วยยี่สิบชั่ง ทำให้คนไม่น้อยถึงกับตาวาว
ส่วนใหญ่คนที่ยุ่งกับงานในโรงครัวมักจะเป็สตรี ผู้ใหญ่บ้านจัดแจงหน้าที่ให้ทุกคนทำความสะอาดโถงบรรพชนครั้งใหญ่ แล้วก็กวาดหิมะบนถนนทุกเส้นในหมู่บ้าน รวมถึงใบไม้ที่ร่วงมาอุดคูน้ำข้างทาง
ชายหญิงแบ่งหน้าที่ชัดเจน เสิ่นม่านพาเด็กๆ ถือเสบียงเข้าไปในโรงครัว จากนั้นช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ
นางจางเป็คนชอบเอาเปรียบ เมื่อเห็นเนื้อหมูในมือของเสิ่นม่าน ดวงตาเ้าเล่ห์เป็ประกายทันใด และรีบคว้าของในมือนางมา จากนั้นเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เอาของมาให้ข้า ข้าจะจัดการเอง”
เสิ่นม่านไม่ให้นาง แต่แค่นยิ้มและยื่นของให้กับนางเจียง ภรรยาผู้ใหญ่บ้าน
“ท่านน้า ของเหล่านี้ฝากไว้ที่ท่าน ข้าวางใจกว่า”
นางจางหน้าบึ้งดวงตากลิ้งกลอกใบหน้าบิดเบี้ยว
“อะไรนักหนา กลัวข้าจะเอาเนื้อบ้านเ้าหรือ? ของแค่นี้เอง ไหนๆ ก็เอามาแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็ของหมู่บ้าน ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง!”
เสิ่นม่านตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ในเมื่อข้านำมาด้วย แน่นอนว่าต้องแบ่งให้ทุกคนในหมู่บ้านกิน ข้าไม่ได้บอกว่าเ้าจะแอบห่อไปเอง จะร้อนตัวไปไย?”
“น้องเสิ่นพูดจาไร้เหตุผลนัก ในเมื่อเ้าไม่ยินยอมเอาของให้ท่านอาข้าดูแล แล้วเหตุใดจึงบอกว่านางจะแอบห่อไป?”
มีคนยื่นศีรษะมาจากด้านหลังเตา ซึ่งก็คือจางซิ่วอวิ๋นที่ไม่เจอนานหลายวัน
ไม่เจอนาน หญิงผู้นี้ยังคงแต่งหน้าเข้มและเย้ายวน ดีที่พื้นฐานใบหน้าดูดี เวลาดูจึงมีความงดงามอยู่บ้าง
ทว่าพอสวมชุดสีชมพูหวาน แต่มานั่งจับฟืนอยู่หน้าเตา มองอย่างไรก็รู้สึกตลก
วันนั้นที่นางพูดพล่ามถึงเื่สกปรกโสมมมากมายตรงหน้าหมู่บ้าน จึงกลายเป็ของว่างคู่น้ำชาหลังอาหารของบรรดาป้าน้าอาทั้งหลายในหมู่บ้าน มีคนด่านางว่าหน้าไม่อาย เสน่หาถึงผู้ชาย
จางซิ่วอวิ๋นเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ก็รู้จักอาย จึงหดอยู่ในกระดองหลายวัน หากไม่ใช่เทศกาลล่าปา นางคงไม่กล้าออกมา!
เมื่อเห็นทั้งสองปะทะกับเสิ่นม่านเช่นนี้ นางเจียงจึงออกมาสงบศึก
“เอาล่ะ เสบียงอาหารและเนื้อหมูไว้ที่ข้า อีกเดี๋ยวจะปรุงและแบ่งสันปันส่วนให้ทุกคนกิน หากพวกเ้ากลัวเสียเปรียบก็กินเยอะหน่อยก็แล้วกัน”
จางซิ่วอวิ๋นไม่ได้พูดจาและตบฝุ่นบนตัว จากนั้นเดินออกจากโรงครัวไป นางจางถ่มน้ำลายและเดินตามหลานสาวไป
เมื่อทั้งสองมาถึงจุดที่คนน้อย นางจางก็เริ่มด่า
“นางหมูตก์ ช้าเร็วข้าจะต้องจัดการนางให้ได้!”
จางซิ่วอวิ๋นหัวเราะเบาๆ “ท่านอา ท่านไม่ต้องโมโหไป พ้นคืนนี้ไป ท่านจะจัดการนางเช่นไรก็ตามสบาย”
จู่ๆ นางก็โพล่งออกมาเช่นนี้ ป้าจางถึงกับงุนงงและถาม “นี่มันอย่างไรกัน? หรือว่าเ้ามีแผนอะไรดีๆ?”
แผนดีๆ หรือ? จัดการผู้หญิงหนึ่งคน จะใช้วิธีไหนได้?
จางซิ่วอวิ๋นเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
“ท่านอยากได้โรงทำเต้าหู้ของสกุลเสิ่นไม่ใช่หรือ? หลังจากคืนนี้ มันจะกลายเป็ของครอบครัวเรา!”
-----
เชิงอรรถ
[1] เทศกาลล่าปา (腊八节 là bā jié) ตรงกับ ขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 เนื่องจากเทศกาลล่าปาอยู่่ปลายฤดูหนาว พืชผลถูกเก็บเกี่ยว รอเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง ทุกครัวเรือนว่างจากการทำการเกษตร จึงเตรียมไหว้บรรพบุรุษ และเทวดาฟ้าดิน ขอให้บรรพบุรุษปกป้องคุ้มครองและฟ้าดินประทานพรให้อากาศดี ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทั้งยังเป็เดือนแห่งการล่าสัตว์อีกด้วย
