แม้ฉินซีจะเสียดายโอกาสแบบนี้มาก แต่ถ้าจะให้เขาไปขอร้องเฉินเจวี๋ย เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสำเร็จ ถึงแม้ในสายตาของคนอื่น เขากับเฉินเจวี๋ยจะดูสนิทสนมกันมาก แต่ตัวเขาเองรู้ชัดว่าความจริงเขากับเฉินเจวี๋ยไม่ได้มีความสัมพันธ์ล้ำลึกต่อกัน และเขาก็ไม่ได้มีอำนาจพอจะไปขอให้เฉินเจวี๋ยช่วยเื่นี้ ฉินซีเงียบไปหลายวินาที ก่อนที่เขาจะยิ้มพร้อมดันแก้วเบียร์ตรงหน้าให้ห่างออกไป “ขอโทษด้วยนะครับ ผู้กำกับสวี่ แต่ว่าเื่นี้ผมคงช่วยอะไรไม่ได้”
สีหน้าของสวี่เทานิ่งแข็งไป เขาคิดว่าฉินซีตั้งใจจะหลีกเลี่ยง จึงยกแก้วสุราเคาะลงบนโต๊ะเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจ “ฉินซี นี่เป็โอกาสดีนะ”
ฉินซียังคงส่ายหน้า “ใช่ว่าผมถือตัวอะไร แต่ว่าระหว่างผมกับคุณเฉินไม่ได้มีความสนิทสนมกันขนาดที่พวกคุณคิดจริงๆ ครับ”
สวี่เทาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ด้วยรู้สึกเสียดายในความ ‘ไร้ไหวพริบ’ ของฉินซี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยินดี เขาก็ไม่สามารถแนะนำต่อไปได้ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดเื่นี้ต่อแล้ว หลังจากนี้ถ้ามีละครอะไร ฉันจะเรียกให้ไปออดิชั่น ห้ามปฏิเสธเชียว” สวี่เทาพูดหยอกล้อ เดิมทีในตอนแรกเขาก็ต้องตาฉินซีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังได้เห็นศักยภาพในตัวของฉินซีแล้วด้วย ต่อมาเมื่อรู้ว่าเขารู้จักกับเฉินเจวี๋ย นั่นก็เป็เพียงการปักดอกไม้ลงบนผ้าไหมทอง[1] แม้จะไม่ได้ตามประสงค์ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ฉินซีคิดไม่ถึงว่าสวี่เทาจะใจกว้างขนาดนี้ เขายิ้มออกมา “แน่นอนครับ ผู้กำกับสวี่สั่งมา ผมก็ไม่กล้าขัดหรอกครับ”
สวี่เทาเองก็ยิ้มตาม “นายเป็ถึงปรมาจารย์เทพตงฟางปู๋ป้าย ใครจะกล้าออกคำสั่งนายกัน?”
นอกจากตอนถ่ายทำแล้ว สวี่เทาก็เป็คนที่ง่ายๆ สบายๆ คนหนึ่ง เมื่อคิดดูแล้ว การที่เขาพาฉินซีมายังร้านอาหารเล็กๆ แบบนี้ได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบวางท่าอะไร หลังจากพูดสิ่งที่ตั้งใจจนหมดแล้ว บรรยากาศการสนทนาของทั้งสองก็กลายเป็ผ่อนคลาย เมื่อคิดไปถึงอะไรก็พูดออกมา และนั่นก็ทำให้การทานอาหารมื้อนี้ไม่ได้อึดอัดไปเพราะการปฏิเสธของฉินซี
สวี่เทาบอกว่าจะเป็ฝ่ายเลี้ยงฉินซีเอง จากนั้นเพียงครู่เดียวเขาก็เข้าไปจ่ายเงินอย่างว่องไว ฉินซีบอกว่าครั้งอื่นเขาจะเป็ฝ่ายเลี้ยงคืนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
หลังจากขึ้นรถมาแล้ว ฉินซีก็ถอนหายใจ
ดูเหมือนว่าในบางครั้งการผูกสัมพันธ์กับเฉินเจวี๋ยจะเป็ทั้งความช่วยเหลือ และในบางครั้งยังสามารถนำพาความยุ่งยากมาให้ด้วยเช่นกัน
จู่ๆ โทรศัพท์ในมือของฉินซีก็สั่น เมื่อสักครู่เขายังพูดถึงเฉินเจวี๋ยอยู่เลย และในตอนนี้เฉินเจวี๋ยก็ส่งข้อความมาหาเขา เพื่อเตือนไม่ให้เขาลืมเื่ที่จงซิงอู๋ชวนไปทานข้าวมาพอดี ฉินซีอ่านเนื้อหาภายในข้อความ จากนั้นก็ตกเข้าสู่ภวังค์ความสับสนโดยไม่ได้คาดคิด เฉินเจวี๋ยเป็สิ่งนอกการคาดหมายเดียวของเขาหลังจากกลับชาติมาเกิดใหม่ หลังจากนี้เขาควรจะรับมือกับเฉินเจวี๋ยอย่างไรดี?
…...
หลายวันมานี้ฉินซีไม่มีเวลาเลย และท่ามกลางความยุ่งวุ่นวายนี้ เพียงพริบตาก็มาถึงวันนัดหมายทานข้าวอย่างไร้การบอกกล่าวของจงซิงอู๋ ฉินซีจัดการตัวเองอย่างทุกที หลังจากนั้นก็เรียกรถไปยังสถานที่แห่งนั้น
เพราะสวี่เทาโพสต์คลิปพิเศษอย่างเป็ทางการของฉินซีลงบนอินเทอร์เน็ต ทำให้จำนวนแฟนคลับของฉินซีเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้จะยังเป็เพียงนักแสดงหน้าใหม่คนหนึ่ง แต่ตอนนี้เวลาออกไปไหนก็ต้องปกปิดกันบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจเป็เหมือนครั้งก่อนที่เขาเดินไปซื้ออาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งชี้มาที่เขาด้วยใบหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็ะโออกมา “ฉินซี!!!” น้ำเสียงของเด็กสาวดูราวกับดังก้องไปทั่วซูเปอร์มาร์เก็ต ตอนนั้นฉินซีใจนร่างกายโซเซจนทำกองกระป๋องน้ำโคล่าที่ถูกตั้งไว้พังครืนลงมา ฉินซีทั้งอายทั้งทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงอ่อนโยนกับแฟนคลับ แล้วมอบลายเซ็นและปลอบอีกฝ่าย ก่อนจะหนีออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างว่องไว
และเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก ฉินซีจึงทำได้เพียงยอมจ่ายเงินเรียกรถแท็กซี่ออกไป อย่างน้อยพวกคุณลุงคนขับรถก็ไม่รู้ว่าเขาเป็ใคร
“ถึงแล้วครับ”
ฉินซียื่นเงินออกไป จากนั้นก็เปิดประตูเดินลงจากรถ ทว่าเมื่อเดินลงมาก็ชนเข้ากับคนที่ยืนอยู่ข้างถนน เขารู้เพียงตัวเองชนเข้ากับแผ่นอกของอีกฝ่าย ฉินซียกมือขึ้นกันศีรษะของตัวเองอัตโนมัติ ผลคือมีสองมือยื่นมาวางบนหัวของฉินซี ฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง แสงอาทิตย์ทำให้ตาของเขาพร่าเลือนเล็กน้อย จนต้องหรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเขาก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น “ไม่เห็นฉันยืนอยู่นอกรถหรือไง?”
ร่างของฉินซีสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะลดมือลง คนที่อยู่ตรงหน้าเขา ถ้าไม่ใช่เฉินเจวี๋ยแล้วจะเป็ใครได้อีก?
เพียงแต่ในตอนนี้ ภาพของเฉินเจวี๋ยซ้อนทับกับภาพของเฉินเจวี๋ยในอดีต มันเป็เวลาแสนเนิ่นนาน กว่าฉินซีได้เห็นเฉินเจวี๋ยในชุดสูทสีดำ ตัดเย็บพอดีตัว ปกปิดเรือนร่างผอมเพรียวที่ดูแลมาเป็อย่างดีเอาไว้ภายในอีกครั้ง เนื่องจากกระดุมของตัวเสื้อถูกติดไว้อย่างเรียบร้อยให้ความรู้สึกสง่างามยากจะยับยั้ง ฉินซีหลุดถามอย่างไม่ตัว “ทำไมวันนี้คุณไม่สวมชุดลำลองมาล่ะครับ?”
ก่อนหน้านี้ในความคิดของฉินซี พวกคนระดับสูงต้องแต่งชุดสูทผูกเนกไทเรียบร้อยตลอดเวลา แต่หลังจากได้รู้จักกับเฉินเจวี๋ย เขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต้องสวมใส่ชุดสูท แม้ว่าเฉินเจวี๋ยจะสวมชุดง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้คน ก็ยังให้ความรู้สึกสูงส่งกว่าใคร เดิมทีเขาไม่ได้้าชุดสูทหรูหรามาช่วยเพิ่มภูมิฐานให้เลยสักนิด และยิ่งเขาดูธรรมดาเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้เขาดูแตกต่างจากคนอื่นมากเท่านั้น
คิ้วของเฉินเจวี๋ยขมวดเข้าหากัน จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นคลายคอเสื้อออกโดยไม่ได้สนใจเลยว่าท่าทางของตัวเองจะทำให้คนอื่นต้องยับยั้งชั่งใจแค่ไหน เขาลากตัวฉินซีเข้าไปด้านในอย่างเป็ธรรมชาติพร้อมพูดขึ้น “เมื่อเช้ามีประชุมก็เลยเปลี่ยนไม่ทัน”
ฉินซีเองก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพียงแต่ไม่ได้ขมวดคิ้วเพราะเื่เสื้อผ้า แต่เป็เพราะรู้สึกว่าตัวเองเดินใกล้ชิดกับเฉินเจวี๋ยมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างหาก
เฉินเจวี๋ยไม่ให้เขาได้มีโอกาสคิดอะไรต่อ ทั้งสองเดินผ่านโถงทางเดินออกไป จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไปยังห้องส่วนตัว
จงซิงอู๋รออยู่ด้านในแล้ว เดิมทีเขาก็กำลังขยับพวกชามและตะเกียบตรงหน้าอยู่ แต่เมื่อทั้งสองเดินเข้ามา จงซิงอู๋ก็รีบเผยยิ้มและลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณเฉินกับฉินซีมาด้วยกันเหรอครับ?”
เฉินเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร
ฉินซีจึงทำได้เพียงบังคับให้ตัวเองพูดแทนเฉินเจวี๋ย “เปล่าครับ ผมกับคุณเฉินบังเอิญเจอกันด้านนอกพอดี เขาก็เลยพาผมเข้ามา”
ปากของจงซิ่งอู๋ตอบรับ “อื้อๆ” ออกมา แต่สีหน้าของเขากลับทำให้คนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูราวกับได้เห็นความสัมพันธ์ที่ถูกซุกซ่อนของเฉินเจวี๋ยและฉินซีอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้ในหัวของฉินซีจะมึนตื้อดูงงงวย แต่เบื้องหน้าก็ยังต้องเผยรอยยิ้มเอาไว้ เขากับเฉินเจวี๋ยนั่งลงพร้อมกัน จากนั้นพนักงานก็เข้ามาเสิร์ฟอาหารต่อ จงซิงอู๋รินชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็อธิบายกับฉินซีด้วยรอยยิ้ม “คุณเฉินไม่ดื่มแอลกอฮอล์ พวกเราก็เลยดื่มอันนี้กัน”
แน่นอนว่าฉินซีไม่ได้ออกความเห็นอะไร เดิมทีเขาก็ไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว ฉินซีจึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและหยิบตะเกียบขึ้นเริ่มทานอาหาร
ดูเหมือนว่าจงซิงอู๋จะรู้อะไรบางอย่างจากเฉินเจวี๋ย จึงเอ่ยถามนักแสดงหน้าใหม่อย่างฉินซีขึ้นมาด้วยความสนใจ “ได้ยินว่านายจะไปถ่ายละครเื่ตำนานยุคฉินเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้า วางตะเกียบลงและเงยหน้าสบตากับจงซิงอู๋อย่างมีมารยาท การสบตาระหว่างสนทนากับผู้อื่นถือเป็มารยาทขั้นพื้นฐาน
และในตอนที่ฉินซีคิดว่าจงซิงอู๋จะแนะนำเกี่ยวกับประสบการณ์การถ่ายละครในฐานะรุ่นพี่ในวงการ จงซิงอู๋กลับยิ้มสดใสขึ้นมา “คุณเฉินมีส่วนลงทุนในละครเื่นี้ด้วยใช่ไหม?”
ฉินซีรู้สึกว่ามีหินก้อนหนึ่งตกลงไปในใจของเขาดัง “ตุบ” และนั่นก็คือความสิ้นหวังที่ได้เห็นว่าเทพเ้าชอบเื่ซุบซิบขนาดนี้...
หลังจากที่จงซิงอู๋พูดออกมา และพบว่าไม่มีใครสนใจตัวเอง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ดูอึดอัด แต่โชคดีที่เขาเป็เทพเ้าในวงการบันเทิงมาเนิ่นนาน ไม่นานเขาก็หุบรอยยิ้มลง และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป
“ผู้กำกับสองคนของตำนานยุคฉินคือเฝิงผิงเฉิงกับกงเซ่าใช่ไหม? ฉันเคยทำงานกับผู้กำกับทั้งสองคนมาก่อน เฝิงผิงเฉิงชอบนักแสดงที่รูปลักษณ์ภายนอกดูดี สำหรับนักแสดงแบบนี้ ต่อให้ทำฉากเสียเท่าไรก็ไม่มีทางถูกตำหนิรุนแรง ส่วนกงเซ่าเป็พวกตรงไปตรงมา หากมีเื่อะไรไปทำให้เขาไม่ชอบใจ เขาก็จะมีอคติไปอีกนาน เกรงว่าต้องใช้เวลาหลังจากนั้นอีกสักพักกว่าภาพลักษณ์ในใจของเขาจะเปลี่ยนไปได้ กงเซ่าเป็คนที่รับมือได้ยากคนหนึ่ง แต่ถ้านายได้สนิทกับเขาแล้ว ขอเพียงทักษะการแสดงของนายเต็มที่ เขาก็จะให้การแนะนำสนับสนุน เขาไม่เคยใจแคบที่จะให้คำแนะนำแก่พวกมือใหม่ เพียงแต่...” จงซิงอู๋พูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ตอนที่ฉันยังเป็มือใหม่ กงเซ่าเย้ยหยันฉันไว้ไม่น้อยเลย เขาไม่ค่อยเชื่อว่าพวกมือใหม่จะมีทักษะการแสดงที่ดี เขารู้สึกว่าตอนนี้วงการบันเทิงวุ่นวายไปหมด ก็เลยยิ่งไม่ชอบพวกมือใหม่ที่พยายามโอ้อวดแสดงความสามารถ และตอนนั้นฉันก็คือมือใหม่ที่พยายามโอ้อวดแสดงความสามารถคนนั้นสำหรับเขา...”
ฉินซีรีบพยักหน้าตอบรับ เขารู้สึกราวกับตัวเองได้ฟังความลับเล็กๆ น้อยๆ ในวงการบันเทิงมาไม่น้อย… คิดไม่ถึงว่าเทพเ้าอย่างจงซิงอู๋จะมี่เวลาแบบนั้นมาก่อน
ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครต่างก็ต้องเดินผ่านเส้นทางมือใหม่ไปด้วยกันทั้งนั้น… ไม่มีใครพิเศษไปกว่าใคร!
เวลาจงซิงอู๋เล่นก็เล่น แต่เมื่อจริงจังขึ้นมา เขาก็เล่าประสบการณ์ในกองถ่ายให้ฉินซีฟังอย่างจริงจังไปไม่น้อย ั้แ่เื่ทักษะการแสดง จุดสำคัญของบทบาท วิธีการฝึกบทไปจนถึงจะป้องกันตัวเองในกองถ่ายอย่างไร ดูแลตัวเองอย่างไร เขาอธิบายทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ฉินซีฟังด้วยความตั้งใจ เฉินเจวี๋ยเองก็ไม่รีบร้อน เขานั่งดื่มชาอย่างเอื่อยเฉื่อยที่ด้านข้าง แม้แต่อาหารก็ไม่ได้สนใจจะทาน เหมือนว่าเขากำลังฟังการสนทนาของทั้งสองไปพร้อมกับคิดเื่อื่นอยู่
รอจนจงซิงอู๋เล่าประสบการณ์จนจบ จู่ๆ ฉินซีก็ได้ยินจงซิงอู๋ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เขาเซ็นสัญญากับบริษัทของคุณเฉินหรือยังครับ?” แต่ประโยคนี้เขากลับหันไปถามเฉินเจวี๋ย
เฉินเจวี๋ยส่ายหน้า จากนั้นก็วางแก้วชาลงบนโต๊ะ “ยัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจงซิงอู๋ยังคงประดับอยู่เช่นเดิม “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพยายามหน่อยนะ” แต่ประโยคนี้กลับไม่รู้ว่าเขากำลังบอกกับใครกันแน่ เมื่อฉินซีได้ยินแล้ว เขาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ ราวกับทั้งสองคนกำลังคุยเื่ที่เขาไม่อาจเข้าใจได้อยู่
เดิมทีจุดประสงค์ในวันนี้ของพวกเขาก็ไม่ใช่เพื่อมาทานอาหาร เพียงแค่นัดเจอกันเสียหน่อยเท่านั้น ทั้งสามลุกขึ้นเดินออกจากห้องส่วนตัว เมื่อมาถึงหน้าประตู เฉินเจวี๋ยก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เฉินเจวี๋ยตอบรับปลายสายไปด้วยใบหน้าตึงเครียด แล้วรีบร้อนออกไป
แน่นอนว่าจงซิงอู๋ไม่มีทางทิ้งฉินซีไว้ที่หน้าประตู เขาหันมามองฉินซี “ให้ฉันไปส่งจะดีกว่าไหม? พอจะบอกได้หรือเปล่าว่าพักอยู่ที่ไหน?”
“แน่นอนว่าบอกได้ครับ” ฉินซีขึ้นรถของจงซิงอู๋ไป
ที่มุมมืดหนึ่งด้านหลังของพวกเขามีเงาร่างของคนขยับเบียดกันไปมาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเสียง “แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ” ก็ดังติดต่อกันเบาๆ ดูเหมือนว่าจะมีแสงสีเงินเปล่งประกายออกมาจากตรงนั้นหลายเส้น แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนนมีมากเกินไป ทำให้ไม่มีใครสังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้
……
[1] ปักดอกไม้ลงบนผ้าไหมทอง หมายถึงการทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้ว ดีขึ้นไปอีก