ในชาติก่อน เฉินเฟิงเคยเข้าร่วมงานแต่งระหว่างลูกพี่ลูกน้องห่างๆ คนนี้กับประธานบริษัทสาวของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เฉินอวี่จงอายุเพียง 17 ปี และกำลังทุ่มเทให้กับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในบ้านเกิดแถบตงเป่ย ซึ่งเป็โอกาสทองสำหรับเฉินเฟิง
เฉินเฟิงเลือกใช้แผน "สั่งสอนว่าที่ภรรยาในอนาคต" กับหยางฮุ่ยเหยียน
เขาตั้งใจจะรอจนเธอบรรลุนิติภาวะ และแต่งงานกับเธอเพื่อเข้าควบคุมปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป
ส่วนเื่หลิ่วอีอีนั้น ไม่ต้องกังวลไป เพราะเฉินเฟิง้าแค่แต่งงานกับหยางฮุ่ยเหยียนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น
ควรจะรู้ด้วยว่าปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปเป็ถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ั์ใหญ่ที่สามารถเทียบเคียงกับเฉียนต๋ากรุ๊ปได้
ปี 1981 หยางฮุ่ยเหยียนเกิดที่เมืองซุ่นเต๋อ มณฑลกวางตุ้ง เธอใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุขและเรียบง่ายในบ้านเกิด
ประวัติส่วนตัวของหยางฮุ่ยเหยียนใน่วัยเรียนนั้นดูธรรมดาเป็อย่างมากเมื่อเทียบกับลูกเศรษฐีคนอื่นๆ
เธอมีบุคลิกเรียบง่าย ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น และพูดน้อย หากใครสักคนบอกคนอื่นๆ ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในอนาคต ก็น่าคิดเหมือนกันว่าจะมีใครเชื่อสักคนไหม
เมื่อถึง่มัธยม หยางฮุ่ยเหยียนกลับมาที่มณฑลกวางตุ้งและเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติในเครือปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป
เธอเป็เด็กสาวชาวบ้านที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและเรียบง่าย ในด้านรูปร่างหน้าตาก็มีความคล้ายคลึงกับแม่มากกว่า ปกติเธอจะอ่อนน้อมถ่อมตนและมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ แต่ไม่ค่อยพูดจากับใครมากนัก
ใน่แรกหยางกั๋วเฉียงมักจะพาหยางฮุ่ยเหยียนลูกสาวคนรองในวัยสิบสามปีและลูกสาวคนที่สามที่อายุไม่ถึงสิบปีเข้าร่วมประชุมบริษัทในฐานะผู้สังเกตการณ์
หยางกั๋วเฉียงมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถทางธุรกิจให้ลูกๆ ของเขาั้แ่ยังเด็ก เขามักจะอธิบายการตัดสินใจและความหมายที่ซ่อนอยู่เื้ัคำพูดแต่ละคำของเขาในที่ประชุมให้พวกเธอฟังหลังการประชุม
นี่เป็เหตุผลว่าทำไมหยางฮุ่ยเหยียนในวัยเพียงสิบสี่ปี ถึงมานั่งอยู่ในรถเพื่อรอต้อนรับชายหนุ่มที่กล้าเข้าซื้ออาคารสองหลังที่สองไม่เสร็จยาวนานถึงสามปีอย่างเฉินเฟิง
"พ่อหนุ่ม ใจกล้าดีนี่ ซื้ออาคารสองหลังที่ทางเราค้างเติ่งอยู่ตั้งสามปีในราคาแปดแสนหนึ่งหมื่น! พอจะบอกหน่อยได้ไหม ทำไมถึงซื้อ?"
ภายในรถ หยางกั๋วเฉียง ประธานแห่งปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปยื่นไวน์แดงให้เฉินเฟิงหนึ่งแก้ว ก่อนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
"พวกเราเซ็นสัญญากันก่อนจะคุยเื่อื่นดีกว่าครับ แปดแสนหนึ่งหมื่นนี้รับเป็เงินสดหรือโอนผ่านบัตร?"
หลังจากจิบไวน์แดงไปหนึ่งอึก เฉินเฟิงก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ก่อนหยิบบัตรธนาคาร ICBC ของเขาออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทั้งหยางกั๋วเฉียงและหยางฮุ่ยเหยียนต่างจ้องมองเฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ
เฉินเฟิงดูเป็ชายหนุ่มในวัยประมาณยี่สิบที่ตั้งใจมาประมูลอาคารสองหลังนี้จริงๆ
แค่การเสนอราคาให้อาคารที่ถูกทิ้งร้างสองหลังนี้ก็เป็เื่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับสองพ่อลูกคู่นี้มากพออยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับรีบร้อนอยากเซ็นสัญญาและโอนเงินทันที ซึ่งมันทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก
โดยปกติแล้ว ในการทำธุรกรรมทางธุรกิจแบบนี้ ถึงแม้จะเซ็นสัญญาแล้ว ก็ใช่ว่าเงินจะถูกโอนเร็วขนาดนั้น
"นี่คือหนังสือสัญญา ถ้าอ่านแล้วไม่มีปัญหาอะไรก็เซ็นชื่อได้เลย"
หยางกั๋วเฉียงเป็คนแรกที่ตั้งสติได้จากความงงงวย และยื่นหนังสือสัญญาสองฉบับให้
เฉินเฟิงอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วพบว่าไม่มีช่องโหว่ใดๆ เป็แค่สัญญาปกติ
เนื้อหาหลักคือโอนสิทธิ์การพัฒนาอาคารสองหลังเป็จำนวนแปดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ให้กับคู่สัญญาในราคาแปดแสนหนึ่งหมื่นหยวน
หยางกั๋วเฉียงเซ็นชื่อและประทับตราของปี้หลงเยี่ยนเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
เฉินเฟิงจึงเซ็นชื่อตัวเองและชื่อบริษัทในช่องคู่สัญญาของสัญญาทั้งสองฉบับ ก่อนเอ่ยปากว่า
"ผมซื้อในนามบริษัท ดังนั้น ผมต้องใช้ตราประทับของบริษัทผมด้วย ถึงตอนนั้นผมจะโอนเงินจำนวนแปดแสนหนึ่งหมื่นให้คุณก็ตาม"
ทันทีที่พูดจบ เฉินเฟิงยื่นสัญญาหนึ่งฉบับคืนและเก็บบัตรธนาคาร ICBC เข้ากระเป๋า
ได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดหยางฮุ่ยเหยียนก็เผยรอยยิ้มพร้อมยิงคำถาม
"แบบนี้สิถึงจะปกติ ตอนนี้คุณพอจะตอบคำถามพ่อของฉันเมื่อสักครู่ได้หรือยังคะ?"
เฉินเฟิงหันมองเด็กสาวและตอบว่า
"ความร่วมมือของเรายังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ วันนี้ผมเพิ่งจะรับผู้เฒ่าหวังแห่งเฉียนต๋ากรุ๊ปเป็พ่อบุญธรรม ผมสนใจสิทธิ์การพัฒนาที่เหลืออีกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของอาคารสองหลังนี้ ผมเลย้าหารือเกี่ยวกับรายละเอียดเื่นี้ทั้งหมดก่อน หลังจากความร่วมมือของพวกเราทั้งหมดเสร็จสิ้นจริงๆ ผมถึงจะตอบคำถามของคุณได้"
สิ้นประโยค เฉินเฟิงก็หยิบโทรศัพท์เครื่องใหญ่ออกมายิงเบอร์หาผู้เฒ่าหวังอีกครั้ง
"คุณพ่อบุญธรรมครับ งานเลี้ยงเป็ยังไงบ้าง?"
เสียงหัวเราะของผู้เฒ่าหวังดังลอดจากปลายสายเป็คำตอบ
"งานเลี้ยงเพิ่งจบไปเมื่อกี้นี้เอง เมื่อกี้ใช้ไปหลายร้อยล้านเลย รวมทั้งเก้าแสนหนึ่งหมื่นของแกด้วย ฉันจ่ายให้หมดแล้วนะ ยังไงก็เป็ผู้ถือส่วนแบ่งเป็อันดับสองในเฉียนต๋ากรุ๊ปของเราแล้ว แล้วคราวนี้จะขอบคุณฉันยังไง? เอ้อ แต่ฉันก็สนใจอาคารสองหลังนั่นของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปเหมือนกัน คิดว่ากำลังจะโทรหาตาเฒ่าหยางพอดี"
ได้ยินเช่นนั้น เฉินเฟิงยกยิ้มมุมปาก
"ได้ครับ รอผมได้เงินก้อนแรกแล้วผมจะคืนให้คุณพ่อทันทีเลย ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในรถกับผู้เฒ่าหยาง กำลังเซ็นสัญญามูลค่าแปดแสนหนึ่งหมื่น ผมโทรหาพ่อก็เพื่อให้พ่อคุยกับผู้เฒ่าหยางโดยตรงนี่แหละครับ เกี่ยวกับเื่ที่เฉียนต๋ากรุ๊ป้าซื้อสิทธิ์การพัฒนาที่เหลืออีกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของอาคารทั้งสองและที่ดินทั้งหมด"
สิ้นเสียงพูด เฉินเฟิงก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องใหญ่ให้กับหยางกั๋วเฉียงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
หยางกั๋วเฉียงมองเฉินเฟิงด้วยความใยิ่งกว่า ก่อนจะรับโทรศัพท์มาพูดคุย
"พี่หวังเป็ยังไงบ้าง สบายดีไหม ได้ยินว่าเมื่อตอนเย็นพี่ประมูลได้ที่ดินดีๆ มากมายในเขตเจียงตงใช่ไหม? น่าเสียดาย ผมมีงานประมูลอาคารสองหลังที่ต้องเข้าร่วมคืนนี้ ผมก็เลยไปร่วมประมูลที่นั่นไม่ได้"
ทางปลายสาย เมื่อผู้เฒ่าหวังแห่งเฉียนต๋ากรุ๊ปได้ยินเสียงสหายเก่าหยางกั๋วเฉียง เขาก็หัวเราะร่าและแซวกันเล่นๆ พอเป็พิธี
"น้องหยาง ไม่เห็นต้องทำกันแบบนี้เลย ถ้าไม่อยากพัฒนาอาคารนั่นต่อก็มาบอกพี่สิ ปัดโถ่ ทำไมต้องจัดงานประมูลอะไรไม่ได้เื่แบบนี้? พี่ได้ยินจากลูกบุญธรรมมาว่าไม่มีเ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คนไหนเสนอราคาเลย มีแต่ลูกบุญธรรมคนเดียวที่เสนอราคาให้ ลูกบุญธรรมของพี่ช่วยนายได้ทันเวลาพอดี เมื่อวานนี้ก็ด้วย ในที่สุดโรงแรมเฉียนต๋าของฉันในโม๋ตูก็หลุดจากสภาพขาดทุนสักที เพราะเขาเพิ่งเข้าซื้อกิจการไปในราคายี่สิบล้าน"
ผู้เฒ่าหวังพูดถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเขากับเฉินเฟิงผ่านโทรศัพท์
"พี่หวัง ผมไม่ได้มีปัญหากับพี่นะ ผมรู้ว่าพี่ยุ่งมากเลยไม่กล้าเอาเื่ยุ่งยากอะไรแบบนี้มาให้พี่เสียเวลา เมื่อกี้นี้ หลานชายเฉินบอกว่าพี่สนใจเหมาอาคารของผม?!"
หยางกั๋วเฉียงรีบอธิบาย
"ตามนั้นแหละ บอกราคามาเลย ฉันอยากซื้อสิทธิ์การพัฒนาที่เหลืออีกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์รวมทั้งตัวอาคารกับโฉนดที่ดินทั้งหมดเลย!"
ผู้เฒ่าหวังบอกความ้าอย่างตรงไปตรงมาผ่านโทรศัพท์
แม้ว่าหยางกั๋วเฉียงจะเห็นว่าเฉินเฟิงสนใจอาคารสองหลังนั้นมาก
แต่ตัวเขายังไม่มั่นใจว่าจะขายเท่าไหร่ เขาจึงพูดด้วยความลังเล
"ยี่สิบล้านแล้วกันพี่ จริงๆ ตอนแรกผมแค่อยากหาผู้ร่วมประกอบการธุรกิจมาร่วมกันพัฒนามากกว่า แต่เอาเข้าจริง ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่า อนาคตตรงนี้จะเป็ยังไง ผมขายให้ราคาเดียวกับโรงแรมพี่เลยก็แล้วกัน"
