สมองของผมเกิดอาการงุนงงไปชั่วขณะ ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว นี่มันรอยช้ำของศพแน่ๆ!
ผมนั่งเหม่ออยู่มุมกำแพงห้องพร้อมกับกุมขมับตัวเอง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่? ผมยังมีชีวิตอยู่แต่ทำไมถึงได้มีรอยช้ำของศพได้ นี่เป็สัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายของผมกำลังจะเน่าเปื่อย มัน...มันเป็ไปไม่ได้ หรือว่านี่เป็แค่ความฝัน?
“เพี้ยะ!”
ผมตบหน้าตัวเองอย่างแรง
เจ็บชะมัด ทั้งหมดนี่เป็ความจริง
ผมไม่กล้าข่มตานอนเพราะพอหลับตาปุ๊บในหัวของผมก็จะเต็มไปด้วยภาพรอยช้ำของศพ แล้วพอผมลืมตาขึ้นมาก็ยังเห็นรอยจ้ำที่น่าสยดสยองนั้นอยู่ จนมันทำให้ใจผมตกไปอยู่ตาตุ่มและแทบจะล้มพับลงไปทันที
......
“ลู่เฉินๆ! นายเป็อะไร?”
ผ่านไปนานพอสมควร ตู้สือซานก็แง้มประตูเข้ามาเห็นผมนั่งเหม่ออยู่มุมห้องคนเดียวเขาจึงถามขึ้นมา “นายเป็อะไรเนี่ย?”
ผมไม่คิดปิดบังเขา จึงยกแขนขึ้นมาแล้วตอบไปอย่างหมดหวัง “สือซาน ฉันกลัวว่าฉันจะ...ตายแล้ว!”
“อะไรนะ?!”
สือซานเบิกตาโพลงแล้วใช้มือหนึ่งคว้าแขนผมไว้ พลางพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “ลู่เฉิน อย่าทำให้ฉันใ เพื่อน นาย...เกิดอะไรขึ้นกับนาย เป็แบบนี้ไปได้ยังไง? นาย...นายต้องป่วยแน่ๆ...”
สือซานแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นร่างกายของผมกำลังเน่าเปื่อย เขากัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำดั่งสีเื “โธ่เว้ย เป็แบบนี้ไปได้ยังไง...”
ผมมองไปที่เพดานอย่างสิ้นหวังแล้วเล่าเื่ที่โดนฝังทั้งเป็เมื่อ 2-3 วันก่อนออกมาจนหมด
เมื่อตู้สือซานฟังจบเขาก็หันหลังกลับโดยไม่พูดอะไรสักคำ และพอเขากลับมาอีกครั้งในมือเขาก็ถือเข็มฉีดยามาด้วย จากนั้นเขาก็มองตรงมาที่ผมแล้วพูดขึ้น “เพื่อน ฉันจะไม่ปล่อยให้นายตาย!”
พูดเสร็จเขาก็เก็บตัวอย่างเืของผมไปแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฉันลืมบอกนายไป พ่อฉันเป็ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันวิจัยชีววิทยาของจังหวัด ฉันจะเอาเืของนายไปตรวจสอบที่หนานจิงอย่างละเอียด ไว้ใจฉันเถอะ ไม่เป็ไรหรอก ภายในคืนนี้เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว...”
ผมพยักหน้าแล้วตอบไปอย่างหมดหวัง “ขอบใจนะ...แต่ฉันจำได้ตอนที่นายจีบถานเสวี่ยนายเคยพูดว่าพ่อของนายทำงานธนาคาร...”
“บ้าเอ๊ย นายยังจำเื่นี้อยู่ทำไม จำไว้ว่าต้องรอฉันกลับมานะ!”
ตู้สือซานเดินออกไปข้างนอกแต่ไม่วายหันกลับมาพูดย้ำ “ลู่เฉิน นายจะตายไม่ได้ ถ้านายตายฉันคงเหงาสุดๆ เลย!”
ตู้สือซานออกไปแล้ว
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เพื่อเพื่อนอย่างผม ไอ้คนที่ขึ้นชื่อว่าี้เีตัวเป็ขนถึงกับขึ้นรถไปหนานจิงแล้ว
ท้องฟ้าเป็สีเทาหม่น ผมมาถึงดาดฟ้าของตึกเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่ภาพอดีตนับไม่ถ้วนจะปรากฏขึ้นมาเป็ฉากๆ แล้วหายไป
ผมนั่งลงบนพื้นโคลน จากนั้นลงไปนอนราบพลางปล่อยให้ใจที่วุ่นวายได้ดำดิ่งลึกลงไป ผมคิดอยู่พักใหญ่ การที่ผมได้รับอาชีพนักดาบิญญาในเกมนั้นไม่ใช่เื่บังเอิญ สาเหตุมาจากร่างกายของผมมีปัญหาขึ้นมา ถ้าพูดอย่างร้ายแรงก็คือผมตายไปแล้วจริงๆ ตอนที่โดนฝัง ณ เวลานั้นผมได้ตายไปแล้ว ทั้งหมดเป็เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง—
เหออี้
ผมไม่เคยเสียใจ และในมือขวาของผมก็ถือหนังสือปกสีน้ำเงินเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าศาสตร์การปลุกกำลังใจเอาไว้
นี่เป็ของขวัญวันเกิดที่เหออี้มอบให้ผม เธอบอกว่ามันสามารถให้กำลังใจทุกคนได้ วันไหนที่ตีบอสแล้วแพ้ต้องยุบสมาคมมันสามารถเรียกขวัญกำลังใจให้กับคนจำนวนมากได้
มุมปากของผมยกยิ้มขึ้นผมยิ้มบางอย่างอดไม่ได้
ภาพผืนหญ้าสูงสง่าและนกที่บินอยู่บนฟ้าตรงสันเขาที่มีลมเย็นพัดผ่านปรากฏขึ้นมาในสมอง เหออี้เก็บยาสมุนไพร ส่วนผมเดินตามหลังเหม่อมองดูภาพด้านหลังของเธอ เหออี้เป็ผู้หญิงที่ยืนหยัดด้วยตัวเอง เมื่อตัดสินใจไปทางไหนแล้วเธอก็จะมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ อย่างแน่วแน่ ข้อนี้เองทำให้เธอเป็ที่เคารพนับถือของผู้คนมากมาย ในขณะเดียวกันเหออี้ก็เป็ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ไม่เพียงแต่มีใบหน้าและรูปร่างที่สวยจนล่มบ้านล่มเมืองได้ แต่เธอยังมีความฉลาดและความเข้มแข็งเหนือกว่าคนอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วผู้หญิงตัวเล็กๆ จะกลายเป็รองประธานภาคพื้นเอเชียของ GGS ได้ยังไง?
ผมค่อยๆ หลับตาลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถ้าตายไปแบบนี้ได้ผมก็หวังว่าตัวเองจะได้ตายอย่างสงบ
“ซ่าๆๆ...”
ฝนตกแล้ว หยาดฝนตกหยดลงบนหน้า ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
หยาดฝนทำให้ผมหลับลึกอย่างน่าประหลาดจนกระทั่งความเ็ปแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“อ้า...”
ผมถอนหายใจยาวออกมาแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ภาพประหลาดปรากฏขึ้นตรงหน้า
ฝนหยุดแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนตัวผมก่อนที่รอยจ้ำเืน่ากลัวพวกนั้นจะพลันหายไปเหมือนน้ำที่ระเหยไปจนหมดสิ้นและแทนที่ด้วยความเ็ปแสนสาหัสจนแทบอยากตาย มันเหมือนทั้งร่างกำลังถูกวางอยู่บนเตาเผา ความเ็ปดั่งไฟเผาที่ตอกลงไปบนร่างกายช่างเ็ปเกินกว่าจะรับไหว!
ผมกำหมัดแน่นมองดูรอยจ้ำเืที่จางหายไปภายใต้แสงอาทิตย์ ตอนนี้มีประโยคหนึ่งที่บรรยายความรู้สึกตอนนี้ของผมได้ดีที่สุด : ถึงเ็ปแต่มีความสุข
ยังไม่ถึง 10 นาทีรอยจ้ำเืก็หายไปจนหมด ผิวของผมกลายเป็สีขาวเนียนราวกับผิวเด็กแรกเกิดและความเ็ปนั้นก็หายไปด้วยราวกับโรคร้ายที่สลายไปภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์
“ตึกตักๆ...”
เสียงฝีเท้ารีบเร่งดังแว่วมา ตู้สือซานกลับมาแล้ว
ผมลุกขึ้นแล้วเดินลงบันไดไปเจอกับตู้สือซานพอดี ตอนนี้เขากำลังถือแผ่นกระดาษที่มีตัวอักษรตัวเล็กตัวน้อยเต็มไปหมดพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “ลู่เฉิน ผลออกมาแล้ว!”
“เป็ยังไง?” ผมยื่นมือไปดึงกระดาษแต่ข้อความทั้งหมดเป็ภาษาอังกฤษและผมอ่านไม่ออก
สือซานสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดขึ้นว่า “เมแทมเฟตามีน เืของนายมีเมแทมเฟตามีนที่หายากชนิดหนึ่งอยู่ จะเรียกว่าเป็ไวรัสก็ได้ อืม หลังจากวินิจฉัยออกมาแล้วทำให้รู้ว่าเมแทมเฟตามีนชนิดนี้ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน แต่ผลลัพธ์ของมันออกมาอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ—มันสามารถฟื้นฟูเซลล์ที่ตายแล้วได้อย่างต่อเนื่อง!”
“อะไรนะ?!” ผมประหลาดใจ
ตู้สือซานพยักหน้า “นี่เป็สาเหตุที่ร่างกายของนายมีรอยช้ำขึ้นมา ไวรัสชนิดนี้ร้ายแรงมาก ระดับการเกิดใหม่ของเซลล์จะเร็วกว่าระดับการตายอยู่มากและเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกายนายจนมากเกินไป แต่พ่อฉันให้พวกเพื่อนๆ ของเขาวิเคราะห์ลักษณะพิเศษบางอย่างของเมแทมเฟตามีนชนิดนี้ในเวลาที่สั้นที่สุดแล้ว ฉันรู้แล้วว่ามีวิธีหนึ่งที่จะควบคุมการเกิดของเมแทมเฟตามีนนี้ได้”
“วิธีอะไร?” ผมถามด้วยเสียงต่ำ
“รังสีเอกซ์!” ตู้สือซานตอบเสียงเรียบ “รังสีชนิดนี้เป็อันตรายกับร่างกายคน แต่สามารถช่วยให้นายฟื้นสู่สภาวะปกติได้!”
ผมพยักหน้า เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมแสงอาทิตย์ถึงสามารถรักษาอาการผมได้ นั่นก็เพราะว่าในแสงอาทิตย์มีรังสีเอกซ์และวายอยู่นั่นเอง!
ตู้สือซานเดินเข้ามาแล้วตบไหล่ผมด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นมา “เพื่อนเอ๋ย ไม่ต้องกังวลไปหรอก ร่างกายของนายไม่ได้มีปัญหาอะไร อีกอย่างหมวกเล่นเกมเทียนจ้งก็มีการแผ่รังสีเอกซ์ออกมานิดหน่อยอยู่แล้วด้วย ขอแค่อยู่ในเกมร่างกายของนายก็จะไม่แย่ไปมากกว่านี้ แถมเมแทมเฟตามีนชนิดนี้ยังสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้เมื่ออยู่ในระดับที่เหมาะสม!”
“แข็งแรงขึ้น?”
ผมตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มแล้วตอบไป “หรือจะเป็โชคดีจากเื่ร้าย ฉันจะกลายเป็ยอดมนุษย์แล้วเหรอ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ตู้สือซานหัวเราะร่า “จะมีเื่ดีขนาดนั้นเกิดขึ้นบนโลกได้ยังไง ที่ฉันบอกว่าแข็งแรงขึ้นน่ะหมายความว่าความแข็งแกร่งของกระดูกและกล้ามเนื้อดีขึ้นเท่านั้นแหละ เดิมทีความสามารถของนายจะเท่ากับหนึ่งคน แต่ตอนนี้มันน่าจะกลายเป็คนครึ่งไปแล้ว แบบนี้คงต้องใช้พระเส้าหลินกวาดลานวัดตั้ง 7-8 คนมาตีนายแล้วล่ะ...”
“พระเ้า...” ผมเงียบไป เมฆหมอกครึ้มที่อยู่ในใจพลันสลายหายไป ฟังจากการอธิบายของสือซาน เมแทมเฟตามีนชนิดนี้ไม่ทำให้ถึงตายได้ งั้นก็ดีแล้ว
“เออใช่” สือซานกลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ “ผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นปรึกษากันถึงที่มาของเมแทมเฟตามีน จากการวิเคราะห์จากสถานที่เกิดเหตุและอายุของเมแทมเฟตามีนนี้พวกเขาพบว่ามีความเป็ไปได้ว่าเมแทมเฟตามีนชนิดนี้น่าจะมาจากสารพิษที่เกิดจากซากศพ จุดที่นายเกิดเื่ก็เป็สุสานโบราณพอดี!”
“สุสาน?” ผมชะงัก “สุสานอะไร?”
“สมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลายตรงนั้นเป็ที่ฝังศพของลูกหลานตระกูลขุนนางของรัฐอู๋ ต่อมาถูกถมที่แล้วเล่ากันว่าหลังกวนอูถูกฆ่า ตำแหน่งของเขาถูกส่งไปยังรัฐเว่ย ส่วนร่างของเขาก็ไว้ที่นั่น”
“ไม่ใช่หรอก ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่แล้วมั้ง?”
ตู้สือซานหัวเราะในลำคอ “ทุกอย่างบนโลกมันมีเหตุและผลทั้งนั้น ทำไมนายถึงไม่เชื่อเื่ฮวงจุ้ยหรือผีสางเทวดาบ้าง ระวังไว้เหอะวันไหนนายตื่นมาโดนิญญาเทพกวนอูสิงร่างแล้วถือมีดหั่นหมูไปท้าทายพวกมาเฟียละก็คงได้สนุกกันแน่ ฮ่าๆ...”
พอมองตู้สือซานที่หัวเราะพร้อมกับปรบมืออยู่แบบนั้นผมก็พูดไม่ออก เ้าหมอนี่ช่างไม่สนใจอะไรเอาซะเลย เวลาแบบนี้ยังมีกะจิตกะใจล้อเล่นอยู่ได้
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงบีบแตรของรถสปอร์ตสีดำดังขึ้นมาก่อนที่ตัวรถจะหยุดจอดตรงพื้นที่เล็กๆด้านล่างของตึกและผมกับตู้สือซานก็เห็นเข้าพอดี
“กึก”
ประตูรถเปิดออก จากนั้นสาวสวยก็ก้าวลงจากรถจนทำให้ผมและตู้สือซานต่างพากันตกตะลึงไปทันทีที่เห็นเธอ
ที่ผมใก็เพราะสาวสวยคนนั้นคือเหออี้ แต่สิ่งที่ทำให้ตู้สือซานตะลึงก็เพราะผู้หญิงคนนี้เพอร์เฟกต์เกินไป จากนั้นเขาก็ะโใส่เหออี้แล้วพูดออกไปพร้อมกับน้ำลายที่เริ่มไหลออกมา “แม่เ้าเว้ย! ฉันเจอสาวสวยคมบาดใจคนนี้แต่เช้าเลย จุ๊ๆ ขับแลมโบกินีแถมคนก็ยังสวยขนาดนั้น ชาติ...ชาตินี้ฉันจะแต่งงานกับเธอเท่านั้น...”
“พรึ่บ!”
ผมคว้าตัวเขาหมอบลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “สือซานนายรู้ไหมว่าเธอเป็ใคร?”
“ใคร?”
“เหออี้ หัวหน้าสมาคมนิมิติญญาดาบศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดเลยว่าเธอจะหาที่นี่เจอ!”
“หา?” ตู้สือซานหัวเราะพร้อมกับปรบมืออีกครั้ง “เ้าหมอนี่ ตาถึงดีจริงๆ นะ เหออี้คนนี้นี่สวยสุดๆแถมยังรวยอีกต่างหาก แฟนเก่าที่ฉันเคยคบเป็สิบๆ คนรวมกันยังเทียบเธอไม่ได้เลย เหอะๆ นายนี่โชคดีจังเลย...”
“ยังจะพูดเล่นอยู่อีก?” ผมเบิกตามองแล้วพูดว่า “จะให้เธอรู้ไม่ได้ว่าฉันอยู่ที่นี่...”
“ทำไม?” สือซานไม่เข้าใจอะไรเลย
ผมชี้มาที่หน้าอกตัวเอง “นายก็เห็นแล้ว ร่างกายของฉันตอนนี้เป็คนก็ไม่ใช่เป็ผีก็ไม่เชิง ถ้าเธอรู้ความจริงเข้าจะให้เธอโทษตัวเองไปทั้งชีวิตเหรอ?”
“หืม...” สือซานครางเสียงต่ำ “แล้วจะทำยังไงล่ะ?”
“ฉันต้องหลบ”
“แล้วฉันควรพูดว่าอะไรล่ะ?”
ผมกัดฟันกรอด “บอกว่าฉันตายแล้วก็แล้วกัน”
“อื้ม!”
......
ไม่นานหลังจากนั้นเหออี้ก็เคาะประตู ก่อนที่เสียงสดใสและอ่อนหวานของเธอจะดังแว่วมา “ขอโทษนะ มีคนอยู่ไหม?"
ตู้สือซานรีบไปเปิดประตูออกไปทันที แต่เมื่อเหออี้เห็นเขา เธอก็ใ ”คุณ...คุณเป็ใคร? ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของลู่เฉินเหรอ?"
“ลู่เฉิน?” ตู้สือซานขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพูดขึ้นว่า “ผมเป็เพื่อนของลู่เฉิน คุณมาหาเขามีเื่อะไรเหรอ?”
เหออี้ท่าท่างไม่เป็ธรรมชาติ คิ้วคู่งามขมวดเป็ปมเล็กน้อย แล้วทันใดนั้นเธอก็ใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง “หลีกทางให้ฉัน!”
ในฐานะรองประธานภูมิภาคเอเชียของ GGS น้ำเสียงทรงพลังของเธอแทบจะดังก้องขึ้นมาทันที ตู้สือซานที่ได้ยินแบบนั้นก็มองเธออย่างตกตะลึงแล้วหลีกทางให้อย่างว่าง่าย
เหออี้เดินเข้ามาในห้องส่วนผมก็หลบอยู่ในห้องเก็บของที่มองทะลุประตูออกไปก็จะสามารถมองเห็นด้านนอกได้
“ไม่ต้องหาหรอก ลู่เฉินไปแล้ว” ตู้สือซานวิ่งตามมาแล้วพูดออกไป
......
หัวไหล่เนียนๆของเหออี้พลันสั่นไหว เธอหันกลับไปมองตู้สือซานพร้อมสายตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ไปแล้ว ไปแล้วหมายความว่าอะไร?”
ตู้สือซานกัดฟันพูด “3 วันที่แล้วมีคนส่งข่าวมาหาผมบอกว่าลู่เฉินกับเพื่อนในเกมนัดเจอกันแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาเสียชีวิตอยู่ที่หลุมศพร้างทางใต้ของชานเมือง ศพของเขาถูกเผาไปแล้ว คุณเป็ใครกันแน่ มาหาเขาทำไม?”
“เป็...เป็ไปได้ยังไง?”
แววตาคู่สวยของเหออี้เต็มไปด้วยความใราวกับอีกนิดเดียวเธอก็จะกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว จากนั้นเธอก็ทรุดลงชนกับโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างหลังก่อนจะร้องไห้โฮออกมา น้ำตาใสๆ ไหลลงมาตามแก้มสีซีดก่อนที่เธอจะนั่งคุกเข่าลงบนพื้นแล้วปล่อยให้ขาขาวมีเสน่ห์มัดใจคนคู่นั้นเปื้อนฝุ่นด้านล่าง
“ตุบ!”
หนังสือ “ศาสตร์การปลุกกำลังใจ” ที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงตกลงมาใส่อ้อมอกของเหออี้อย่างพอดิบพอดี ดวงตาที่ขุ่นมัวของเธอมองไปที่หนังสือที่เธอมอบให้ผมเล่มนั้นก่อนที่เธอจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวและร้องไห้ออกมาในที่สุด
สือซานตะลึงงันและกระวนกระวายเมื่อยืนอยู่ข้างกายเหออี้ จะประคองก็ไม่ได้แต่จะไม่ประคองก็ไม่ได้
......
ดวงตาของเหออี้แดงก่ำ ใบหน้าที่สวยสดใสเต็มไปด้วยความกล้ำกลืนและความเศร้าโศก เธอร้องไห้แล้วร้องไห้อีกพร้อมกับกอดหนังสือ “ศาสตร์การปลุกกำลังใจ” เล่มนั้นราวกับว่ามันเป็สิ่งที่เธอรักที่สุดในชีวิต
ผมเห็นเธอเป็แบบนั้นก็แทบอยากร้องไห้ตาม แต่ผมก็พยายามเงยหน้าไว้สุดชีวิตแล้วกลืนน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาเพื่อที่ความเ็ปจะได้ไม่แพร่ขยายออกไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้