คิดถึงปัญหานี้แล้วหลินฟู่อินก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ มือที่ทำงานอยู่ก็ช้าลงไปด้วย
เพราะหลินต้าหลางสามารถเข้าเรียนได้กับซิ่วไฉชราสกุลหลินผู้นั้นเท่านั้น ผู้เฒ่าคนนั้นมีสถานศึกษา มีนักเรียนของตัวเอง
นางไม่อยากให้หลินซานหลางไปเรียนกับคนหัวโบราณ ดูเอาเถิดว่าหลินต้าหลางได้อะไรมา
หลินเฟินหลินฟางไม่รู้ว่าหลินฟู่อินคิดจะซื้อร้านเพื่อให้ในอนาคตหลินซานหลางจะได้ไปเรียนในเมืองอย่างสะดวก
นับั้แ่ทั้งคู่ติดตามหลินฟู่อินเข้าไปในเมือง สองพี่น้องก็ไม่เคยกลัวว่าหลินฟู่อินจะซื้อร้านในเมืองไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น สมุนไพรที่หลินฟู่อินให้พวกนางไปเก็บล้วนแต่ขายเป็เงินได้ พวกนางยิ่งไม่กลัวว่าเด็กสาวจะเงินหมด เพียงแต่สองพี่น้องคิดอยู่ในใจ กระทั่งเฟิงซื่อและหลินต้าเหอเองก็ยังไม่รู้เื่นี้
แต่เด็กทั้งสองได้รับอิทธิพลจากผู้ใหญ่ในบ้านมามาก จึงคิดว่ามีที่ดินดีๆ เอาไว้ทำไร่จึงจะสำคัญที่สุด หลินเฟินตื่นเต้นได้ครู่เดียวก็ขมวดคิ้วแล้วพูด “ฟู่อิน หากมีเงินเ้าก็น่าจะซื้อที่ดินดีๆ เอาไว้ หากมีที่ดิน ต่อให้ไม่ได้ทำไร่ทำนาเองก็ยังปล่อยเช่าได้”
หลินฟู่อินส่ายหน้าไม่พูดอะไร ที่จริงนางมีอีกเหตุผลที่ทำให้ไม่พูด
ทุกวันนี้ระบบภาษีในต้าเว่ยค่อนข้างคล้ายกับยุคราชวงศ์ซ่งตามประวัติศาสตร์ของหลินฟู่อินมาก ปีหนึ่งจ่ายภาษีไม่มากนัก
แต่หากมีที่ดินที่มีพืชผลมาก ก็ยิ่งต้องจ่ายภาษีหนัก ดังนั้นหลินฟู่อินจึงจะยังไม่ซื้อที่ดินใน่นี้ ต่อให้อยากซื้อจริงๆ ก็คงจะไปเลือกที่ที่แห้งแล้งหน่อยดีกว่า
ไม่ใช่นางไม่อยากจ่ายภาษี เพียงแต่นาง้าซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาการเพาะปลูกสมุนไพรดีๆ เช่นนี้จะได้กำไรสูงกว่าปลูกพืชทั่วไปมาก
เนื่องจากหลินเฟินหลินฟางไม่รู้ ทั้งคู่จึงพูดอย่างเป็ห่วง เื่นี้คงต้องคุยกันช้าๆ
ภายใต้การนำของหลินฟู่อิน ตอนนี้สองพี่น้องต่างก็ทำงานอย่างช่ำชอง พอจัดเก็บไข่ดอกสนสามพันฟองแล้ว เฟิงซื่อกับหลินต้าเหอก็รับซื้อไข่ไก่มาจนครบสี่พันฟอง
ส่วนของที่จะต้องใช้ในการทำไข่เยี่ยวม้า วัตถุดิบทั่วไปยังมีอยู่ แต่ฟางกับขี้เถ้าถูกใช้จนเกลี้ยงแล้ว หลินฟู่อินเลยให้หลินต้าเหอกับหลินซานหลางช่วยกันเข็นเกวียนตามเก็บรวบรวมขี้เถ้าจากแต่ละบ้านให้
ดีที่คนในหมู่บ้านหูลู่มักจะตักขี้เถ้าจากเตามากองไว้หน้าประตูบ้าน พอมีเยอะเข้าค่อยนำไปโปรยเป็ปุ๋ยจึงได้เก็บไม่ยาก
ทุกคนล้วนแต่เป็คนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น เมื่อรู้ว่าหลินฟู่อิน้าขี้เถ้าพวกนี้ คนใจดีก็บอกว่าจะยกให้ฟรีๆ เพราะั้แ่แรกก็ไม่ได้เป็ของมีค่าอะไรอยู่แล้ว
หลินฟู่อินค่อยๆ จดจำคนเหล่านี้ไว้ในใจทีละคน ใครที่ดีกับนาง อีกหน่อยนางจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน ส่วนใครที่ไม่อยากให้ นางก็ไม่ได้บังคับ
เมื่อเก็บฟางกับขี้เถ้าได้แล้ว วัตถุดิบอื่นก็เรียบร้อย หลินฟู่อินจึงเริ่มทำไข่เยี่ยวม้ามากกว่าสี่พันฟอง
ไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสนพวกนี้จะได้ที่ก็อีกประมาณครึ่งเดือน เมื่อคิดว่าหลังจากครึ่งเดือนนี้จะหาเงินได้ถึงหนึ่งพันเจ็ดร้อยแปดสิบตำลึงเงิน ริมฝีปากของหลินฟู่อินก็โค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม
เช้าวันนี้รถม้าหรูหรามาหยุดลงที่หน้าบ้านของหลินฟู่อิน จากนั้นบ่าวรับใช้ท่าทางสะอาดสะอ้านก็ลงมาจากรถม้าแล้วเคาะประตูบ้านนาง
ย่าหลี่เปิดประตูออกมาเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึง
“ผู้าุโท่านนี้ ที่นี่ใช่บ้านของแม่นางหลินหรือไม่?” บุรุษหนุ่มในชุดผ้าต่วนสำหรับฤดูร้อนปักลายโชคดีสีแดงเข้มก้าวลงมาจากรถม้า มองย่าหลี่นิ่งๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ย่าหลี่สงบใจลง จากนั้นจึงพยักหน้า มองบุรุษหนุ่มท่าทางสะอาดสะอ้านทว่าฉายแววนักเลงอยู่บ้างแล้วเอ่ยถาม “ที่นี่คือบ้านของหลินฟู่อินเ้าค่ะ ข้าบังอาจถามว่าท่านคือใครหรือเ้าคะ?”
เนื่องจากได้ยินเสียงที่รู้สึกว่าคุ้นหู หลินฟู่อินจึงเดินออกมาจากบ้าน สิ่งที่เห็นก็คือคุณชายใหญ่หลิวจอมเสเพลนั่นเอง พอเห็นเขามีท่าทีสุภาพขนาดนี้ก็อดที่จะมุมปากกระตุกน้อยๆ ไม่ได้
“แม่นางฟู่อิน นี่ข้าเอง จำข้าได้หรือไม่? ข้ามาจากภัตตาคารหลิวจี้…”
พอคุณชายเห็นหลินฟู่อินก็รีบชี้หน้าตัวเองแล้วพูดด้วยสีหน้าดีอกดีใจทันที
หลินฟู่อินพอจะเดาได้ว่าเขามาหาทำไม จึงได้พยักหน้ารับ “คุณชายใหญ่หลิวนี่เอง เหตุใดจึงมาที่นี่แต่เช้าเ้าคะ?”
“โอ๊ย ก็ถ้าตาแก่บ้านข้าไม่บังคับให้รีบตื่นั้แ่เช้า ป่านนี้ข้าก็ยังนอนหลับเป็ตายอยู่นั่นแหละ” คุณชายใหญ่หลิวหัวเราะฮ่าๆ เสียใหญ่โตสมท่าทีเสเพล
หลินฟู่อินเห็นเขาดูมีกำลังวังชาล้นเหลือ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนง่วงนอนเลย
“เช่นนั้นคุณชายหลิวมาชมทิวทัศน์แถวบ้านพวกข้าั้แ่เช้าหรือเ้าคะ?” เห็นเขาไม่ยอมพูดตรงๆ หลินฟู่อินเลยยิ้มหยอกล้อ
เห็นทั้งสองคุยกันอยู่หน้าประตูเช่นนี้ ย่าหลี่จึงโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูหลินฟู่อินว่า “ฟู่อิน แถวนี้คนผ่านไปมาเยอะนัก เชิญคุณชายท่านนี้เข้าไปคุยในบ้านเถอะ”
หลินฟู่อินส่ายหน้า แต่ก็ยังมองคุณชายใหญ่หลิวแล้วพูด “ขออภัยคุณชายใหญ่หลิว ในบ้านข้าไม่มีผู้าุโที่เป็บุรุษ คงไม่เชิญท่านเข้าไปนั่งด้านใน หากมีอะไรก็รีบบอกข้าเถอะเ้าค่ะ”
หลินฟู่อินเดาว่าคุณชายเสเพลท่านนี้มาเพื่อรับไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสนที่เหลือ แต่ในใจยังไม่ค่อยอยากเชื่อ เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน ไข่หกร้อยฟองที่เถ้าแก่หลิวรับไปที่ร้านหลิวจี้กลับขายหมดแล้ว?
พอคุณชายใหญ่หลิวเห็นหลินฟู่อินไม่เชิญตัวเองเข้าไป ดวงตาก็ทอวาบ กลับไปใช้ท่าทางคล้ายนักเลง “นี่แม่นางหลิน ข้าพูดตามตรงนะ ไข่หกร้อยฟองที่เ้าขายให้บ้านพวกข้านั้นขายดิบขายดีทีเดียว ตอนนี้เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยฟองแล้ว ตาแก่บ้านข้าเป็กังวลเสียจนต้องส่งข้ามารับของที่เหลือยังไงล่ะ”
ได้ยินเช่นนี้ดวงตาทรงผลซิ่งของหลินฟู่อินก็วาววับ “ได้ ข้าจะไปนำไข่ที่เหลือออกมา”
พอคุณชายใหญ่หลิวได้ยินดังนั้นก็ถูมือไปมาด้วยอารามยินดี โชคดีเหลือเกินที่เ้าจิ้งจอกเฒ่าร้านเยว่เค่อนั่นยังไม่มา
ยามนี้ในเมือง ร้านหลิวจี้บ้านเขาและร้านเยว่เค่อต่างฝ่ายต่างก็ปล่อยอาหารชนิดใหม่ออกมา นั่นคือไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสน ทำให้เกิดการแข่งขันอันร้อนแรงขึ้น
ไม่รู้เหตุใดเ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นจึงมีไข่เพียงสองร้อยฟอง ของควรจะหมดไปนานแล้วแต่ยังไม่รีบซื้อเพิ่ม คงไม่ใช่รอให้หลินฟู่อินนำของไปส่งหรอกกระมัง
หลินฟู่อินพยักหน้า นอกจากไข่สองร้อยฟองที่เคยสั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมๆ กันแล้วครั้งนี้ก็มีมากกว่าห้าร้อยฟอง
ในบรรดาพวกนี้เป็ไข่ดอกสนสองร้อยสามสิบฟอง กับไข่เยี่ยวม้าสามร้อยห้าสิบสองฟอง
เนื่องจากเป็ลูกค้าประจำ หลินฟู่อินจึงคำนวณราคาเป็เลขกลมๆ นับเพียงสามร้อยห้าสิบฟอง เป็เงินทั้งหมดสิบสามตำลึงเงินกับอีกเก้าสิบอีแปะ
“ฟู่อิน อีกหน่อยเรียกข้าหลิวฉินก็พอ ไม่ต้องเรียกคุณชายใหญ่หลิวอะไรนั่นหรอก ข้าไม่ชอบเวลาโดนเรียกยศเรียกอย่างเช่นนั้นที่สุดเลย” คุณชายใหญ่หลิวส่งเงินให้หลินฟู่อินสิบสี่ตำลึงเงิน “พวกเ้าหาเงินไม่ง่าย ข้าจะเอาเปรียบพวกเ้าได้ยังไง?”
“ดีจริงๆ อีกหน่อยข้าจะเรียกท่านว่าหลิวฉินนะเ้าคะ” หลินฟู่อินเองก็ไม่ชอบเรียกอีกฝ่ายว่าคุณชายใหญ่อะไรเช่นนั้นราวกับตัวเองต่ำต้อยกว่า
หลิวฉินเห็นนางไม่สะดุ้งแม้แต่น้อยก็ยิ่งอารมณ์ดี “ฟู่อิน ถึงครั้งนี้จะเอาของกลับไปไม่น้อยแต่เกรงว่าคงอยู่ได้ไม่นานนัก เ้ารีบผลิตออกมาให้มากๆ หน่อยเถอะ!”